<h2>ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งนอนใจ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรัฐบาลมีผลให้นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่มีแผนจะอนุมัติหรือว่าประกาศใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้าต้องชะลอและเลื่อนออกไปจนถึง ช่วงปลายของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แต่ด้วยกำลังซื้อบางส่วนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้ รวมถึงการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ประกอบการหลายๆ รายผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย ส่งผลให้รายได้และผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว</h2><h2> </h2><h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาของปี 2567 คือ กลุ่มแสนสิริ มีรายได้เป็น อันดับ 1 จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ</h2><h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 2 คือ กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯเช่นกัน และ กลุ่มศุภาลัยตามมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 22,792 ล้านบาท</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรก มากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ อันดับที่ 4 กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น&nbsp;ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และอันดับที่ 5 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 13,534 ล้านบาท<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/cw9LPk8DxVR2G59fWHsi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="cw9LPk8DxVR2G59fWHsi.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ศุภาลัย มีกำไรมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก ตามมาด้วย อันดับ 2 กลุ่มแสนสิริ ที่มีกำไร 4,009 ล้านบาท และ อันดับ 3 เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามทั้ง แสนสิริ และ เอพีฯ อาจจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/kLjBwx4beuwrfQD6Fppt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="kLjBwx4beuwrfQD6Fppt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยบวกที่จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกำลังซื้อมากนัก เพราะสิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่เป็นเรื่องของการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และมีการลดราคาลงด้วยในบางครั้ง หรือมีมาตรการทางการตลาดอื่นๆ ที่ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริงๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี ภาพ: Property DNA เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ttb-usedcar-nov-2024" alt="ttb ลุยสินเชื่อรถมือสอง ตั้งเป้าปี 68 Roddonjai มียอดขาย 5 หมื่นคัน ท่ามกลางตลาดรถใหม่ยังติดลบ"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/awc-performance-throughout-9-months-of-2024-revenue-of-15-billion-baht" alt="AWC โชว์ผลงานตลอด 9 เดือน ปี 67 กวาดรายได้รวม 1.5 หมื่นล้าน ธุรกิจโรงแรมแข็งแกร่งเฉพาะ Q3 กำไรพุ่ง 42%">AWC โชว์ผลงานตลอด 9 เดือน ปี 67 กวาดรายได้รวม 1.5 หมื่นล้าน ธุรกิจโรงแรมแข็งแกร่งเฉพาะ Q3 กำไรพุ่ง 42%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิด 5 อันดับบริษัทอสังหาไทยที่มีรายได้สูงสุดในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567

จาก ‘ที่ดินตาบอด’ สู่โครงการถนนหอการค้าไทย มูลค่า 5 หมื่นล้าน จากความร่วมมือ 8 บิ๊กอสังหาฯ ไทย

<h2>SC Asset ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง และมีนวัตกรรม ลุยโครงการแนวราบ  เปิด 15 โครงการใหม่ มูลค่า 25,000 ล้านบาท เดินหน้ารักษาตำแหน่งผู้นำแบรนด์บ้านหรูอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค ไตรมาส 1/2567 พร้อมเปิด 2 โครงการบ้าน Luxury ทำเลศักยภาพ ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อช่วงไตรมาส 4/2566 สร้างยอดขาย สูงถึง 660 ลบ. Sold out เฟสแรก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มงกุฎ เตโชฬาร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี  แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC&nbsp;เผยว่าในปี 2567 มีแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นแผนธุรกิจ ที่สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ SC the Evolution สร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตบนความหลากหลาย ภายในไตรมาส 1 จะเปิดโครงการ 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด” และ “บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์” ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำบ้านหรู นอกจากนี้ยังมีแบรนด์บ้านใหม่ล่าสุด Connoisseur (คอนนาเซอร์) บ้านระดับ Ultra Luxury ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/aHweXNdPZUEwYSUZPekC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aHweXNdPZUEwYSUZPekC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>มงกุฎ เตโชฬาร</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในไตรมาสที่ 1/2567 นำร่องเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,750 ล้านบาท ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-กม.15  (Grand Bangkok Boulevard Bangna km.15) มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คฤหาสน์หรู 2 ชั้น 3 แบบบ้าน New Series ที่ถ่ายทอดความยิ่งใหญ่และสง่างามของสถาปัตยกรรม ‘โกธิค’ พระราชวังของกษัตริย์และอัศวินอันทรงเกียรติแห่งเกาะโรดส์ PALACE OF THE GRAND MASTER, GREECE สู่คฤหาสน์หรูที่จะสะท้อนรสนิยมของผู้อยู่อาศัยได้จริง บนเนื้อที่กว่า 35 ไร่ โดยมีจำนวนทั้งหมด&nbsp;73 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 432-584 ตารางเมตร&nbsp;ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 30-50 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; โดยโครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-กม.15 ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพติดถนนใหญ่บางนา-ตราดเข้าออกโครงการสะดวก เข้าสู่กลางเมืองด้วย ทางพิเศษบูรพาวิถี ที่เชื่อมต่อไปยังทางพิเศษเฉลิมมหานคร และใกล้วงแหวนกาญจนาเชื่อมต่อเส้นทางได้หลากหลาย รายล้อมด้วยการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว, MRT สายสีเหลือง และในอนาคตจากโครงการรถไฟฟ้า Light Rail บางนา-สุวรรณภูมิ  อีกทั้งยังแวดล้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล สถานศึกษา &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ บางแค  (Bangkok Boulevard Signature Bangkhae) มูลค่าโครงการ 1,850 ล้านบาท &nbsp; &nbsp;&nbsp;บ้านหรูซีรีส์ใหม่ MODERN COLONNADE STYLE ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘พิพิธภัณฑ์ การเดินเรืออัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์’ มาสร้างสรรค์การพักผ่อนอันเหนือระดับในบ้าน ของคุณเอง โดดเด่นตั้งแต่หน้าโครงการด้วย LUXURY CLUBHOUSE ดีไซน์หรูสะดุดตา พรั่งพร้อมด้วย FACILITY ครบครันพร้อม “LIVING SOLUTIONS” นวัตกรรมใหม่ ที่รู้ใจผู้อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น&nbsp; &nbsp; โครงการนี้ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 32 ไร่ มีจำนวน&nbsp;61 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 391-516 ตารางเมตร&nbsp;ราคาเริ่ม 23 - 35 ล้านบาท โดยบ้านเดี่ยวหรู 2 ชั้น ขนาดที่ดิน 87.3-214.9 ตารางวา <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/kZk1q1gHJYWm4jPRp59Z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="kZk1q1gHJYWm4jPRp59Z.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมกันนี้ มงกุฎยังให้ความเห็นถึงตลาดบ้านหรูใน Segment 20 ล้านบาทขึ้นไปว่า  ตลาดบ้านหรูเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้ามาพัฒนามากขึ้นในปีที่ผ่านมา  แต่ SC Asset มีประสบการณ์และเป็นผู้นำด้านการพัฒนาบ้านใน segment นี้ มาเป็นระยะเวลานาน&nbsp; &nbsp; "เราจึงมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าใน segment นี้เป็นอย่างดี เราได้มีการทำ research กับกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อนำข้อมูลเทรนด์การอยู่อาศัยรวมถึงนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาสินค้าให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้า ซึ่งผลลัพท์จากสิ่งที่เราทำก็ได้สะท้อนออกมาในรูปแบบของยอดขายของโครงการที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้า รวมถึงโครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2566 สร้างปรากฎการณ์ Sold Out เฟสแรกด้วยการคว้ายอดขายทะลุเป้าถึง 660 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 27,000 ล้านบาท" <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/K9C8xHLHB5Wi5Gfdsv9U.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="K9C8xHLHB5Wi5Gfdsv9U.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,480"></figure></div>​&nbsp; &nbsp; โดยตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ทุกโครงการของ SC จะมาพร้อมนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ การอยู่อาศัย เช่น เทคโนโลยีติดตามดูแลความปลอดภัยด้วยระบบ Command Centre และ เทคโนโลยีอัจฉริยะ ผ่าน RueJai Intelligence พร้อมเทคโนโลยี Standard อื่นๆ อาทิ  จุดรองรับ EV Charger, ระบบ Active Air Quality, Smoke Heat Detector เป็นต้น&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เพื่อสะท้อนความเป็นตัวตนอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว SC Asset ได้รับเกียรติจากนางเอกสุดฮอต แอฟ-ทักษร ภักดิ์สุขเจริญ และ เลดี้ปราง-กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล มาร่วมแชร์มุมมองเกี่ยวกับการเลือกที่อยู่อาศัย และ ไลฟ์ไสต์การใช้ชีวิต มุมโปรดภายในบ้าน ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/minor-hotels-open-avani-in-china" alt="Minor Hotels เปิดตัวแบรนด์ ‘โรงแรมอวานี’ ครั้งแรกในประเทศจีน">Minor Hotels เปิดตัวแบรนด์ ‘โรงแรมอวานี’ ครั้งแรกในประเทศจีน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดแผน SC Asset ลุยแนวราบ 15 โครงการ มูลค่ารวม 25,000 ล้าน

ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ยกระดับอสังหาฯ ปั้น SCOPE ด้วยจุดต่าง “อินเตอร์เนชันแนลพรีเมียม”

ยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง ก่อเกิดโอกาสและนวัตกรรมใหม่ๆ ทุกเวลา ส่งผลให้คุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำากัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทอสังหาริมทรัพย์คุณภาพชั้นนำ ปรับกลยุทธ์และวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับพลวัต หนึ่งในนั้นคือการสร้าง CO.Lab สถานที่ทำงานแห่งใหม่ที่ก่อเกิดความคิดสร้างสรรค์ ตอบโจทย์การเป็น “Living Solutions Provider” มุ่งมั่นส่งมอบความสุขและที่อยู่อาศัยคุณภาพเยี่ยมแก่ทุกคน

“ที่ทำงานต้องให้พลังงาน มอบความสุขและความคิดสร้างสรรค์กับเรา เช่นเดียวกับการสร้างบ้านให้ลูกค้า เมื่อเขาออกไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ แล้วกลับเข้าบ้าน บ้านก็ควรเป็นสถานที่เติมเต็มพลังและความสุข”

<img class="alignnone size-full wp-image-15029" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Sc1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ด้วยแนวคิดดังกล่าวของคุณณัฐพงศ์ ผู้เป็นซีอีโอของ SC นำสู่การสร้าง CO.Lab บนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร ภายในสำนักงานของ SC ถนนวิภาวดี ออกแบบโดยเน้นฟังก์ชันให้ทุกคนสามารถใช้งานร่วมกัน    เปิดรับแสงแดดภายนอกสร้างความสดชื่น มีพลัง มีชีวิตชีวา ใช้โทนสีที่หลากหลาย สื่อถึงความสดใสและความผ่อนคลายและเน้นแนวคิดความยืดหยุ่น ผ่านการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายได้สะดวกรวดเร็วตามการใช้งาน ทั้งหมดเพื่อเอื้อต่อการเกิดความคิดสร้างสรรค์ เหนือสิ่งอื่นใด CO.Lab ยังสัมพันธ์กับนโยบาย แนวคิด และวัฒนธรรมองค์กรอย่างกลมกลืน ซึ่งภายใต้การนำของคุณณัฐพงศ์ SC ได้ผ่านการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนมาแล้ว 3 ครั้งด้วยกัน

ครั้งแรกคือ “Rebranding” ในปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงที่องค์กรมุ่งสู่รายได้หมื่นล้านบาท เน้นสร้างแบรนด์  และโลโก้ของ SC ให้ทุกคนรู้จักและจดจำว่า เป็นแบรนด์อสังหาฯ ลักชัวรีที่อบอุ่น เป็นที่มาของสโลแกน “For Good Mornings” หรือเช้าที่ดีของลูกค้าทุกคน จากนั้นในปี 2015 ซึ่ง SC มีรายได้สูงกว่าหมื่นล้านบาทแล้วได้ “Repositioning” ทำบ้านเดี่ยวทุกราคา จากเดิมที่เน้นบ้านราคาระดับบน โดยยังคงคุณภาพสูงสุดไว้เช่นเดิม

“การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 3 คือ ‘Re-Invention’ ในปี 2018 เพราะเป็นช่วงที่พฤติกรรมผู้อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่สุด มีเรื่องดิจิทัล เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนการใช้ชีวิตของผู้คน SC จึงเลิกคิดว่า
ตัวเองเป็น developer เพราะมองได้แค่มุมจากเรา และเปลี่ยนมุมมองใหม่เป็น ‘Living Solutions- Provider’ ลูกค้าคือศูนย์กลาง มุมมองเราก็จะกว้างขึ้น ทำงานกับคนต่างอินดัสตรีมากขึ้น ซึ่งเมื่อเราโฟกัสที่ลูกค้าแล้ว หากลูกค้าเปลี่ยนไป อย่างไรเราก็พร้อมจะปรับตัวตลอดเวลา” ซีอีโอของ SC อธิบาย พร้อมเผยถึงหนึ่งในสิ่งที่จุดประกายให้เปลี่ยนองค์กรเป็น “Living Solutions Pro vider” ว่า คือหนังสือ ‘The Digital- Matrix New Rules for Business Transformation Through Technology’ โดย Venkat Venkatraman ที่เล่าเรื่อง แลนด์สเคปของธุรกิจยุคนี้ และพฤติกรรมมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะ disruptive technology และบริษัทจะหาทางรับมืออย่างไร

เพื่อเดินหน้าสู่จุดหมาย SC จึงพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง อาทิ มี co-creation กับพาร์ทเนอร์ใน ecosystem เช่น ริเริ่ม “Sun Share Project” กับ BCPG ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทางเลือก โดยทดลองให้หลังคาบ้านจำนวนหนึ่งของลูกค้า SC ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ หากอนาคตมีการผลิตเป็นจำนวนมาก    ก็สามารถจำหน่ายบนแพลตฟอร์มบล็อกเชนได้

<img class="alignnone size-full wp-image-15127" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Sc12.jpg" alt="" width="720" height="480" />

SC สร้างสรรค์ Living Solution Platform เพื่อมอบ Solutions ที่รู้ใจให้ลูกค้า ภายใต้แนวคิด Human-Centric โดยพัฒนาแอปพลิเคชัน “Baan RueJai” (บ้านรู้ใจ) เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกบ้าน ทั้งบริการแจ้งซ่อมบำรุง การติดต่อสอบถาม ที่รวดเร็วทันใจ อัพเดทข่าวสารและสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงภายในแอปพลิเคชัน มีฟีเจอร์ “RueJai Subscription” บริการแพ็กเกจดูแลบ้านรายเดือน อาทิ บริการจัดสวน ทำความสะอาด ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ของ  ลูกบ้าน พร้อมพัฒนาฟีเจอร์อื่นๆ อย่าง รีไฟแนนซ์ ระบบควบคุมการทำงานภายในบ้าน ฯลฯ

“พอมุมมองเราเปลี่ยนเป็นลูกค้าคือศูนย์กลางเมื่อไรที่เราเห็นปัญหาของลูกค้า โซลูชันต่างๆ จะออกมาเอง”  คือความเห็นของผู้บริหารระดับสูงของ SC

วัฒนธรรมองค์กรเป็นอีกสิ่งที่คุณณัฐพงศ์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยปลายปีที่ผ่านมาได้ประกาศวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ภายใต้แนวคิด #SKYDIVE สู่การเป็น “Living Solutions Provider” ซึ่งมีค่านิยม 4 ประการ คือ “Care” ใส่ใจเพื่อน รู้ใจลูกค้า “Courage” กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำเพื่อนำเสนอสิ่งใหม่ “Collaboration” ทำงานร่วมกับเพื่อนต่างแผนกหรือต่างบริษัท และ “Continuous Improvement” เรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อพัฒนาตัวเองไม่สิ้นสุด

<img class="alignnone size-full wp-image-15117" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/WIZ1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ซีอีโอของ SC ย้ำว่า วัฒนธรรมองค์กรคือสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่อง ขณะนี้พนักงานทุกคนปฏิบัติงานสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าวมากขึ้นและสิ่งหนึ่งที่ จะช่วยสนับสนุนวัฒนธรรมองค์กรให้ยิ่งแข็งแกร่ง คือการมีสถานที่ทำงานที่ออกแบบโดยมีรากฐานจาก #SKYDIVE ความคิดสร้าง CO.Lab ซึ่งจะเป็นพื้นที่ทำงานร่วมกัน    จึงเกิดขึ้นปลายปี 2017 ใช้เวลาศึกษา ออกแบบ และสร้างราว 1 ปี ก่อนเปิดใช้เมื่อต้นปีนี้ ซึ่งนอกจาก CO.Lab ยังมีโซน Social Lunch พื้นที่ราว 1,000 ตารางเมตร ออกแบบด้วยแนวคิดแคนทีนมหาวิทยาลัยที่ทุกคนสามารถนั่งรับประทานอาหารตรงไหนก็ได้ ทำให้พนักงานเข้า ถึงผู้บริหารระดับสูงได้ง่ายขึ้น

หลังจากเปิดให้พนักงานเข้าใช้ CO.Lab มาได้ระยะหนึ่ง สิ่งที่คุณณัฐพงศ์เห็นคือ นอกจากส่งเสริม “Collaboration” แล้วยังเห็น “Courage” พนักงานกล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งหลายครั้งทำให้ผู้บริหารทราบถึงวิธีคิดใหม่ๆ ที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดการทำงานให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น

“วิสัยทัศน์ของ SC คือ ราวปี 2050 เราจะมีผู้อยู่อาศัยประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งการที่เราจะทำอย่างนั้นได้ วัฒนธรรมองค์กรต้องแข็งแรง เพื่อสร้างเช้าที่ดีให้ลูกค้าทุกคน ซึ่งเรากำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมายนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ” ซีอีโอของ SC สรุปอย่างมุ่งมั่น

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events