<h2>Ericsson Mobility Report เผยข้อมูลสถิติฉบับล่าสุด ผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ โดยสิ้นปี 2024&nbsp; มีผู้ใช้บริการ 5G ทั้งหมดแตะ 2.3 พันล้านราย คิดเป็น 25% ของผู้ใช้งานทั่วโลก พร้อมคาดการณ์จากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2030 ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนเครือข่ายมือถือทั่วโลกจะโตเกือบ 200% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5G Standalone (5G SA) และ 5G Advanced ได้รับการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นเครือข่าย 5G ที่ผู้ให้บริการการสื่อสาร (CSPs) ให้ความสำคัญเป็นหลักตลอดช่วงทศวรรษที่เหลือจากนี้ เนื่องจากผู้ให้บริการต่างปรับใช้ความสามารถใหม่ ๆ เพื่อสร้างบริการที่เน้นการส่งมอบคุณค่ามากกว่าปริมาณดาต้าเน็ต โดยการวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลเชิงสถิติด้านเครือข่ายในรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งได้ขยายระยะเวลาการคาดการณ์ไปจนถึงสิ้นปี 2030&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้อัตราการเติบโตของปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนเครือข่ายมือถือจะลดลง โดยปีนี้ประเมินการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 21% แต่คาดว่าภายในสิ้นปี 2030 จะยังเติบโตขึ้นเกือบสามเท่าจากตัวเลข ณ ปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานฉบับนี้ยังเผยให้เห็นว่าผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกๆ กำลังนำเสนอโมเดลการส่งมอบคุณค่าที่อยู่บนพื้นฐานของการเชื่อมต่อที่แตกต่าง (Differentiated Connectivity) เพื่อรับประกันว่าจะได้รับคุณภาพการเชื่อมต่อในระดับสูงในเวลาที่ต้องการใช้มากที่สุด พร้อมสร้างโอกาสการสร้างรายได้และการเติบโตใหม่ๆ โดยมียูสเคสที่เกี่ยวข้องจากผู้ให้บริการอย่าง T-Mobile ในสหรัฐอเมริกา และ Elisa ในฟินแลนด์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/JQ5bgudu34o3jwkcsUv5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="JQ5bgudu34o3jwkcsUv5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าเครือข่ายของอีริคสัน กล่าวว่า "การสร้างความแตกต่างในบริการและโอกาสที่เกิดขึ้นจากประสิทธิภาพนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่ออุตสาหกรรมของเรากำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยปัจจัยนี้ได้ถูกเน้นย้ำในรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์เชิงลึก ข้อมูลเชิงสถิติ และยูสเคสจากลูกค้า การเปลี่ยนผ่านไปสู่เครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถโปรแกรมได้ที่เปิดกว้างและทำงานบนคลาวด์จะช่วยผู้ให้บริการสามารถนำเสนอและคิดค่าบริการตามคุณค่าที่ส่งมอบได้ ไม่ใช่แค่ปริมาณดาต้าเน็ต โดยรายงานฉบับนี้ยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับสิ่งที่อุตสาหกรรมของเราสามารถทำได้และขั้นตอนที่จำเป็นในการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพทั่วโลกสำหรับการพัฒนาการเชื่อมต่อที่แตกต่าง หรือ Differentiated Connectivity โดยย่านความถี่ 5G Mid-Band ได้ถูกนำไปใช้งานเพียงประมาณ 30% ของไซต์ทั้งหมดทั่วโลกนอกจีนแผ่นดินใหญ่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากจำนวนผู้ให้บริการการสื่อสารประมาณ 320 รายที่เปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน น้อยกว่า 20% ที่เปิดให้บริการ 5G SA ซึ่งการเพิ่มความหนาแน่นของไซต์ย่านความถี่ขนาดกลางและ 5G SA ถือเป็นตัวเร่งสำคัญในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพทั้งหมดของ 5G รวมถึงความสามารถด้านการโปรแกรมและความอัจฉริยะของเครือข่าย ซึ่งภายในสิ้นปี 2030 เกือบ 60% ของจำนวนผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลก 6.3 พันล้านราย จะเป็นผู้ใช้งาน 5G Standalone (SA)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือทั่วโลก คาดว่าภายในสิ้นปี 2030 เครือข่าย 5G จะรองรับการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือประมาณ 80% ของจำนวนดาต้าเน็ตบนมือถือทั้งหมด เทียบกับ 34% ณ สิ้นปี 2024 ขณะที่บริการ Fixed Wireless Access (FWA) ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเป็นยูสเคส 5G ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากบรอดแบนด์มือถือ (eMBB)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในสี่จากหกภูมิภาค มากกว่า 80% ของผู้ให้บริการการสื่อสารเปิดให้บริการ FWA แล้ว โดยมีจำนวนผู้ให้บริการ FWA ที่นำเสนอแพ็กเกจตามความเร็ว ด้วยการใช้พารามิเตอร์การรับส่งข้อมูลที่คล้ายคลึงกับเคเบิลหรือไฟเบอร์ เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 43% ในช่วงปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับยุโรปตะวันตกมีการเติบโตอย่างรวดเร็วของการเปิดให้บริการ FWA ที่อิงตามความเร็ว โดย 52% ของผู้ให้บริการในภูมิภาคนี้ได้เปิดให้บริการ FWA ไปแล้ว เทียบกับ 32% จากเมื่อปีก่อน และในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานี้ ยุโรปคิดเป็น 73% ของยอดการเปิดตัว 5G FWA ทั้งหมดทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากคาดการณ์ว่าในสิ้นปี 2030 จะมีปริมาณการเชื่อมต่อเครือข่าย FWA ทั่วโลกถึง 350 ล้านการเชื่อมต่อ ซึ่งเกือบ 80% จะเป็นการเชื่อมต่อผ่าน 5G&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานยังกล่าวถึง AI รวมถึงแอปพลิเคชัน Generative AI ที่ถูกผสานรวมไว้ในสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป นาฬิกา และผลิตภัณฑ์ FWA ที่อาจส่งผลต่อการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย ผลักดันการเติบโตของปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือให้สูงเกินกว่าการคาดการณ์พื้นฐาน ณ ปัจจุบัน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/UP6n278uVwVaAJVv2oQD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="UP6n278uVwVaAJVv2oQD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สถิติสำคัญอื่นๆ ในรายงานฉบับนี้ยังรวมถึงการคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2024 จะมียอดผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลกสูงเกือบ 2.3 พันล้านราย คิดเป็น 25% ของผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดทั่วโลก และคาดว่ายอดผู้ใช้บริการ 5G จะเติบโตแซงหน้าผู้ใช้ 4G ทั่วโลกในช่วงปี 2027&nbsp;คาดว่าการนำเทคโนโลยี 6G มาปรับใช้ช่วงแรก จะเริ่มในปี 2030 โดยจะเน้นไปที่การต่อยอดและขยายความสามารถของ 5G SA และ 5G Advanced&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงาน 40 หน้านี้ ยังประกอบด้วยบทความยูสเคส 3 เรื่องหลัก ได้แก่:1. T-Mobile takes network slicing from pilots to real-world scenarios (with T-Mobile in the U.S. About network slicing use cases.) 2. Premium FWA services enabled in Finland with 5G SA (with Elisa in Finland. About Elisa’s 5G SA FWA offering.)3. A multi-New Radio (NR) carrier strategy for best performance (with stc in the Kingdom of Saudi Arabia (KSA).อ่านรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเต็ม เดือนพฤศจิกายน 2024 ได้ที่<a href="https://www.ericsson.com/en/reports-and-papers/mobility-report/reports/november-2024" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">ลิงก์นี้</a> ภาพ:&nbsp;Ericsson Mobility Report เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/global/cloudflare-year-in-review-2024-thailand-and-global" alt="Cloudflare เผยรายงานประจำปี 2024 พบทั่วโลก “อินเทอร์เน็ตล่ม” กว่า 220 ครั้ง บ่อยขึ้นกว่าปีก่อนหน้า">Cloudflare เผยรายงานประจำปี 2024 พบทั่วโลก “อินเทอร์เน็ตล่ม” กว่า 220 ครั้ง บ่อยขึ้นกว่าปีก่อนหน้า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Ericsson ชี้ ปี 2024 มีผู้ใช้บริการ 5G ทั้งหมดแตะ 2.3 พันล้านราย คิดเป็น 25% ของผู้ใช้งานทั่วโลก

<h2>Honor แบรนด์มือถือในเครือ Huawei ได้ฤกษ์ใส่เกียร์บุกตลาดไทย ส่งรุ่นกลาง Honor 8X ลงสนาม หวังเจาะกลุ่มวัยรุ่นคนเมือง วางภาพลักษณ์แบรนด์นวัตกรรมในราคาย่อมเยา ตั้งเป้าขึ้น Top 4 ตลาดสมาร์ทโฟนไทย</h2>
Akin Li ประธาน Honor ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า แบรนด์ Honor (ออเนอร์) เริ่มเข้ามาศึกษาตลาดในไทยเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2561 และเริ่มทำการตลาดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาได้รับผลการตอบรับที่ดี มียอดขายเติบโต 100% ทุกเดือน ทำให้บริษัทตัดสินใจบุกไทยเต็มตัว โดยมีการตั้งออฟฟิเชียล สโตร์ขึ้นที่ชั้น 5 มาบุญครองเซ็นเตอร์ และแต่งตั้ง ลี-ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ นักแสดงจาก GMM TV เป็นพรีเซนเตอร์ รวมถึงโหมทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง และสื่อนอกบ้าน (OOH)

Li กล่าวว่า สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ไทยนับเป็นตลาดสำคัญของบริษัทร่วมกับเวียดนาม (ประเทศอื่นๆ ที่มีการวางจำหน่ายในภูมิภาคนี้ เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ฯลฯ) โดยประเมินว่าไทยมีมูลค่าตลาดโทรศัพท์มือถือราว 3-3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/435b8ccd0b1187b443b93f78b3836d5d.jpg" alt="" width="638" height="427" /><figcaption> (ซ้าย) Akin Li ประธาน Honor ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ขวา) ลี-ฐานัฐพ์ พรีเซนเตอร์ Honor ประเทศไทย</figcaption></figure>

สำหรับ Honor เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนระดับกลาง ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์มีสมาร์ทโฟนราคาเครื่องละตั้งแต่ 120-500 เหรียญสหรัฐฯ ที่วางแนวทางทำตลาดทั่วโลกเจาะกลุ่มวัยรุ่นคนเมือง นำเสนอภาพลักษณ์นวัตกรรมความบันเทิงและงานดีไซน์ในราคาย่อมเยา ด้านกลยุทธ์การขายของ Honor จะเน้นการทำตลาดและช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้ในประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศแม่ของแบรนด์ Honor สามารถตีตลาดเป็นมือถือ E-Brand อันดับ 1 ของจีน

Li กล่าวต่อว่า ในประเทศไทย Honor จะคงกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเดียวกัน และเน้นความเป็น E-Brand เช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันมีพันธมิตรตัวแทนจำหน่ายคือ Lazada, Shopee, JD.Central และร้านค้าอย่าง TG Fone, C.S.C, AIS และ True

ส่วนรุ่นที่เริ่มเปิดจองแล้ววันนี้และจะวางขายจริงวันที่ 3 พ.ย.61 คือ Honor 8X ในตระกูล X Series ราคาเริ่มต้น 7,990 บาท ชูจุดเด่นสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูง 91% ระบบ AI ภายในเครื่องที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงาม และแบตเตอรี่ 3,750 mAh ช่วยให้วัยรุ่นกลุ่มเป้าหมายเล่นเกมหรือชมภาพยนตร์ได้ต่อเนื่อง 7-8 ชั่วโมง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c1833b0ea2fcdfefa0502d03eee6015c.jpg" alt="" width="638" height="638" /><figcaption> Honor 8X</figcaption></figure>

“ในไทยเรามองว่ามีตลาดสองกลุ่ม คือกลุ่มเมืองกับกลุ่มชนบท ซึ่งเราจะเน้นกลุ่มเมือง ในราคา 7,000-10,000 บาทต่อเครื่อง ถือเป็นกลุ่มที่เล็กกว่าถ้าเทียบกับตลาดใหญ่ของไทยที่เกาะกลุ่มราคาราว 5,000 บาท แต่เชื่อว่ามีช่องว่างตลาด เรามองเห็นลูกค้าที่ต้องการมือถือคุณภาพดีแต่ราคาไม่ต้องสูงมากอยู่”

Li กล่าวว่า Honor พร้อมจะทำตลาดไทยในระยะยาว โดยมีเป้าหมายนำแบรนด์ Honor ขึ้นเป็นแบรนด์ 4 อันดับยอดขายสูงสุดของไทย หรือต้องทำมาร์เก็ตแชร์ให้ได้อย่างน้อย 10% ภายใน 3-4 ปีนี้ เขายอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก เมื่อพิจารณาว่าไทยเป็นตลาดเปิดที่มีทุกแบรนด์จากทั่วโลกเข้ามาแข่งขัน แต่บริษัทเชื่อในศักยภาพของ Honor ซึ่งบุกตะวันตกไปแล้วก่อนหน้านี้โดยประสบความสำเร็จเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับ 4 ในฝรั่งเศส และอันดับ 2 ในรัสเซีย

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ ไตรมาส 3 ปี 2560 จากศูนย์ข้อมูลการตลาด IDC ระบุว่า ส่วนแบ่งการตลาด 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ Samsung (34.4%), Oppo (15.4%), Huawei (11.3%), Vivo (10.3%), True (9.8%) ส่วนแบรนด์อื่นๆ รวม 18.7%

สำหรับแบรนด์ Honor เป็นแบรนด์ลูกของ Huawei ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2556 โดย Huawei วางตำแหน่งทางการตลาดให้แบรนด์แม่พัฒนาโทรศัพท์มือถือระดับกลางถึงไฮเอนด์เป็นหลัก ส่วน Honor เป็นแบรนด์ระดับกลางจนถึงราคาประหยัดเจาะกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งจุดเริ่มต้นเป็นการท้าชิงตลาดกับ Xiaomi ในจีนก่อนจะบุกตลาดไปทั่วโลก

Honor แบรนด์ลูก Huawei บุกไทย ตั้งเป้าขึ้น Top 4 ตลาดมือถือภายใน 4 ปี

<h2>Nokia ภายใต้บ้านใหม่ HMD Global กลับมาทำตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก วางเป้าขึ้นสู่ท็อป 3 ภายใน 3 ปี ด้านตลาดประเทศไทยเตรียมวางขาย 3 รุ่นแรกเดือนมิถุนายนนี้ เจาะกลุ่มเจนฯวาย ชูจุดขาย แบรนด์แข็งแกร่ง ระบบ Pure Android และตัวเครื่องทนทาน</h2>
James Rutherfoord รองประธานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก HMD Global เปิดเผยว่า โทรศัพท์มือถือแบรนด์ Nokia เริ่มกลับมาทำตลาดใหม่ในปี 2017 นี้ ภายใต้บ้านใหม่คือ HMD Global ซึ่งเป็นผู้ได้สิทธิในการจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของโทรศัพท์มือถือและแทบเล็ตแบรนด์ Nokia ตั้งแต่ปี 2016-2025 และปีนี้บริษัทจะเริ่มต้นทำตลาดด้วยสมาร์ทโฟน Nokia รุ่น 3,5 และ 6

<figure><img style="width: 680px; height: 470px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/7012b10dd91362a4af13759be790b26e.png" alt="" width="680" height="470" /><figcaption> James Rutherfoord รองประธานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก HMD Global</figcaption></figure>

โดย HMD Global เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2016 จดทะเบียนบริษัทและมีสำนักงานใหญ่ในประเทศฟินแลนด์ มีพันธมิตรหลัก ได้แก่ Nokia ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์, Android ระบบปฏิบัติการจาก Google และ Foxconn ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

HMD Global ได้เริ่มทำตลาดโดยขยายสำนักงานภูมิภาคพร้อมจับมือกับพันธมิตรตัวแทนจัดจำหน่ายในแต่ละประเทศแล้ว 50 ประเทศ วางเป้าหมายจะขยายตลาดให้ถึง 120 ประเทศภายในปีนี้

James กล่าวต่อว่า แผนการตลาดทั่วโลกของ Nokia ต้องการเจาะกลุ่มตลาดเจนเนอเรชั่นวาย เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่และมีอิทธิพลสูง มีการใช้งานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลมาก รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งจากการวิจัยตลาดพบว่าแบรนด์ Nokia ยังคงแข็งแรงในกลุ่มคนเจนฯวายไทย ถึงแม้ประเทศไทยจะมีการแข่งขันตลาดสมาร์ทโฟนที่ท้าทาย แต่เชื่อว่าแบรนด์, ระบบปฏิบัติการ Pure Android รวมถึงคุณภาพวัสดุตัวเครื่องที่ทนทานเพราะสกัดจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียว เหล่านี้จะเป็นจุดแข็งของ Nokia

<figure><img style="width: 680px; height: 395px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/fe366df0ebc9c4851e68d1c19f8d6642.png" alt="" width="680" height="395" /><figcaption> สมาร์ทโฟน Nokia รุ่นใหม่ มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android </figcaption></figure>

“ระบบ Pure Android มีข้อดีคือจะสามารถอัพเดท patch ได้อย่างสม่ำเสมอ ใช้เวลาในแต่ละครั้งไม่มาก เพราะปกติแบรนด์อื่นจะออกแบบ UI มาผสมกับระบบ Android ทำให้การอัพเดท patch ใหม่แต่ละครั้งจะต้องรอการออกแบบ UI ให้เรียบร้อยก่อน แต่ Nokia จะใช้ Pure Android ที่มาจาก Google โดยตรง การอัพเดทที่สม่ำเสมอจึงช่วยให้ป้องกันไวรัสต่างๆ ได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น” James อธิบาย

<figure><img style="width: 680px; height: 490px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/783dd8b6db0721d291f19830f8b01828.png" alt="" width="680" height="490" /><figcaption> บรรยากาศบูธ Nokia ในงาน Thailand Mobile Expo 2017 ช่วงวันที่ 18-21 พ.ค.60 ณ ศูนย์ฯสิริกิติ์ ซึ่งเปิดพรีออเดอร์โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ของ Nokia ด้วย</figcaption></figure>

ด้าน Sandeep Gupta ผู้จัดการประจำประเทศไทยและตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย HMD Global กล่าวว่า แผนการตลาดในกลุ่มเจนฯวายเชื่อว่าจะได้ผลดี จากกระแสตอบรับที่ดีหลังบริษัทประกาศจะนำแบรนด์ Nokia กลับมาในตลาดเมื่อปลายปีก่อน และจากการนำร่องเปิดขาย Nokia 6 ในประเทศจีนก่อนหน้านี้ สามารถขายหมดภายใน 30 วินาที และ 75% ของผู้ซื้อล้วนเป็นกลุ่มวัยรุ่น

ดังนั้น HMD Global เชื่อว่าจะผลักดันให้ Nokia กลับมาเป็นแบรนด์โทรศัพท์มือถือในกลุ่ม 3 อันดับแรกของโลกได้ภายใน 3 ปี รวมถึงในประเทศไทย

<figure><img style="width: 680px; height: 473px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/e7120d272b8927aa1a325b6ee61f134b.png" alt="" width="680" height="473" /><figcaption> Sandeep Gupta ผู้จัดการประจำประเทศไทยและตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย HMD Global</figcaption></figure>

สำหรับแผนการจัดจำหน่ายในไทย จะเริ่มวางจำหน่าย 3 รุ่นแรก คือ Nokia 3, 5 และ 6 ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ผ่านพันธมิตรเครือข่ายมือถือและร้านค้ารีเทล นอกจากนี้จะมีการจัดตั้งเว็บไซต์ของ Nokia เพื่อวางจำหน่ายออนไลน์ รวมถึงอยู่ระหว่างเจรจาเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอื่นๆ เช่น Lazada, Amazon เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์ต่อไป

<figure><img style="width: 680px; height: 530px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/a2eff662c61d4f007634e40edfccac50.png" alt="" width="680" height="530" /><figcaption> Nokia 6 รุ่นท็อป หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว RAM 3GB กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล ราคาเปิดตัว 7,990 บาท วางขายสิ้นเดือนมิถุนายน 2017</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 455px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/239ea4478c990b91a6ce9c79e13f2307.png" alt="" width="680" height="455" /><figcaption> Nokia 5 รุ่นกลาง หน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว RAM 2GB กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล ราคาเปิดตัว 6,490 บาท วางขายสิ้นเดือนมิถุนายน 2017</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 515px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/64d8961115942f1ab50bbdba2f2859a7.png" alt="" width="680" height="515" /><figcaption> ​Nokia 3 รุ่นเล็ก หน้าจอขนาด 5.0 นิ้ว RAM 2GB กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล ราคาเปิดตัว 4,850 บาท วางขายสัปดาห์ที่สองของเดือนมิถุนายน 2017</figcaption></figure>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events