<h2 class="p3">ซอฟต์แวร์ของ Autodesk ครองวงการสถาปัตย์มากว่า 3 ทศวรรษ แต่ถ้าจะหยุดยั้งการตกยุค Andrew Anagnost ก็ต้องสร้างธุรกิจขึ้นใหม่</h2>
Andrew Anagnost คือประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Autodesk บริษัทอายุ 36 ปีซึ่งเป็นผู้บุกเบิกซอฟต์แวร์ช่วยออกแบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ (computeraided design หรือ CAD) Anagnost ได้รับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2017 หลังจากบริษัททำศึกยืดเยื้อกับผู้ลงทุนที่ต้องการเข้ามาคุมกิจการ และหัวหน้าคนเก่าของเขาลาออกไป
แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะใช้เวลาหลายปีเพื่อค้นหาบทที่ 2 ผ่านการซื้อสตาร์ทอัพและทุ่มเงินไปกับงานวิจัยที่ไม่น่าจะสำเร็จง่ายๆ แต่ภารกิจของ Anagnost เรียบง่ายกว่านั้น คือการเลือกธุรกิจที่เป็นผู้ชนะ
Wall Street เดิมพันว่าเขาเลือกผู้ชนะได้ถูกต้องแล้ว เพราะราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมูลค่าหุ้นในตลาดอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 13 เท่าของรายได้ ซึ่งถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่กับบริษัทที่ขาดทุนมาตั้งแต่ปี 2016
ธุรกิจที่ Anagnost เลือกคือ ซอฟต์แวร์เพื่อธุรกิจซื้อขายอาคาร ทักษะของบริษัทที่เคยอยู่เบื้องหลังอัลกอริทึมสำหรับงานออกแบบอาคารและชิ้นส่วนเครื่องจักร ตอนนี้นำมาใช้กับงานอันยุ่งเหยิงด้านบริหารจัดการโครงการก่อสร้างแทน ซึ่งแปลว่าบริษัทจะต้องโยนธุรกิจด้านอื่นทิ้งไปและสละพนักงาน 1,200 คน


<figure><img class="wp-image-4401 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/autocad2016-e1549457334591.png" alt="" width="800" height="430" /><figcaption> AutoCAD ซอฟต์แวร์ที่ใช้ออกแบบได้ทุกอย่างตั้งแต่ตึกระฟ้าไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์ (PHOTO CREDIT: Autodesk Forum)</figcaption></figure>
ย้อนไปเมื่อปี 1997 ในตอนนั้น Autodeskเป็นบริษัทผู้ชนะ สถาปนิกและวิศวกรใช้ซอฟต์แวร์ AutoCAD ออกแบบทุกอย่างตั้งแต่ตึกระฟ้าไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์ และ 20 ปีต่อมา AutoCAD และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานออกแบบก็ยังคิดเป็น 80% ของยอดขายทั้งหมด
ทว่า หลังจากทศวรรษแห่งการเติบโต บริษัทก็ตกที่นั่งลำบากในช่วงเศรษฐกิจถดถอยเมื่อปี 2009 Carl Bass CEO บริษัทในช่วงนั้น ลงทุนอย่างหนักกับการวิจัยและพัฒนาโครงการหลากหลาย แต่ก็ไม่ได้สินค้าอะไรที่ใหญ่เท่า AutoCAD
เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือการที่ระบบคลาวด์ (Cloud computing) เข้ามาเขย่าและเปลี่ยนแปลงวงการซอฟต์แวร์ ทำให้ Autodeskก็ต้องร่วมขบวนไปกับบริษัทอื่นอย่าง Adobe และเปลี่ยนจากการทำซอฟต์แวร์แบบใส่กล่องขาย มาเป็นซอฟต์แวร์แบบออนไลน์ขายในรูปแบบการจ่ายค่าใช้งานตามระยะเวลา (subscription)
ขณะนี้บริษัทจึงต้องทุ่มเทสร้างธุรกิจใหม่ และ Anagnost มองว่าธุรกิจก่อสร้างเป็นตลาดใหม่ที่สุกงอมพอให้เข้าจู่โจมได้ กลุ่มคนที่ติดตามธุรกิจนี้อยู่คาดการณ์ว่าตลาดสำหรับซอฟต์แวร์ด้านงานก่อสร้างทั่วโลกจะมีมูลค่าถึง 1 หมื่นล้านเหรียญในปี 2020


<figure><img class="wp-image-4402 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/bim-360-glue-model-visibility_11309234-e1549457428944.jpg" alt="" width="800" height="600" /><figcaption> BIM 360 เครื่องมือบริหารจัดการงานก่อสร้างที่หวังเป็นซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยทำรายได้ให้กับบริษัท (PHOTO CREDIT: forconstructionpros.com)</figcaption></figure>
เครื่องมือบริหารจัดการชื่อ BIM 360 ของAutodesk สามารถเตือนวิศวกรได้เมื่อโครงการกำลังล่าช้าหรือไม่ตรงตามข้อกำหนด และสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จแล้วเกือบ 100 แห่งในไอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร ซอฟต์แวร์ BIM 360 ก็ช่วยตรวจสอบการบำรุงรักษาอาคารโรงเรียนและโรงพยาบาลได้

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/world/technology/tooey-courtemanche-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87.html">Tooey Courtemanche นายช่างใหญ่ไฮเทคแห่ง Procore ดึงธุรกิจก่อสร้างขึ้นระบบคลาวด์</a></li>
</ul>
Brian Tolles นักวิเคราะห์ของ Jackson Square Partners ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ของบริษัทกล่าวว่า Autodeskก้าวหน้าไปเร็วกว่าคู่แข่งที่มีขนาดใกล้เคียงกัน และมีช่องทางเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าบริษัทเล็กที่จ้องโอกาสในธุรกิจเทคโนโลยีก่อสร้างอยู่
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของ Anagnost “บริษัทยังต้องสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญ ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นว่าสินค้าใหม่ตัวไหนจะติดตลาด” Stephen Bersey นักวิเคราะห์ของ Mitsubishi UFJ Securities ในสหรัฐฯ กล่าว
สำหรับสินค้าใหม่อย่าง BIM 360 Project IQ ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่Autodesk พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสำหรับใช้กับงานในไซต์ก่อสร้าง ซอฟต์แวร์ใหม่นี้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลนับสิบปีที่เก็บมาจากลูกค้าและประเด็นปัญหาที่ลูกค้าเคยพบ 39 ล้านรายการ (เช่น ความเสียหายจากน้ำ) เพื่อทำนายว่าในไซต์ก่อสร้างจะมีปัญหาใดบ้างที่ต้องเร่งดูแล
“ผมอยากให้ Autodesk เป็นบริษัทที่ช่วยให้งานก่อสร้างมีความเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น” Anagnost กล่าว แล้วเขาก็เริ่มพูดเรื่องล้ำยุค เช่น การสร้างฐานตึกด้วยคอนกรีตโดยใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ การวางผังเมืองในโลกที่รถยนต์ขับเคลื่อนได้เอง และการสร้างโรงงานขนาดจิ๋วสำหรับช่างฝีมือในเว็บ Etsy เขากล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ และเราจะได้เห็นภายในไม่เกิน 1 ทศวรรษ
&nbsp;
เรื่อง: Kathleen Chaykowski และ Alex Konrad
เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง


<hr />

<a href="http://bit.ly/ForbesTHJan2019">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มของ "พิมพ์เขียวเพื่อปั้นโมเดลใหม่" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/ForbesTHJan2019"><img class="alignnone wp-image-4278" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/Forbes-Thailand-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2562-Bill-Heinecke.jpg" alt="" width="250" height="328" /></a>

พิมพ์เขียวเพื่อปั้นโมเดลใหม่ให้กับ “Autodesk”

<h2>ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะกลางทะเลบนแนวเขตรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลก ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นมีการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวทุกๆ 5 นาที ในจำนวนนั้น จะมีแผ่นดินไหวราว 2,000 ครั้งที่รุนแรงจนผู้คนสามารถรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนได้ชัดเจน</h2>
ความเสี่ยงดังกล่าวทำให้อาคารในประเทศญี่ปุ่นมีกฎหมายบังคับติดตั้งระบบ ป้องกันแผ่นดินไหว เทคโนโลยีของบริษัทวิศวกรรมแดนปลาดิบจึงรุดไปในระดับแถวหน้าของโลก

Forbes Thailand มีโอกาสเยี่ยมชมระบบป้องกันแผ่นดินไหวใหม่ล่าสุด จากการเทียบเชิญของ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งนำชมระบบดังกล่าวในอาคารเซอร์วิส อะพาร์ทเมนท์ Splendid Hanaten ที่เมือง Osaka ประเทศญี่ปุ่น อาคารความสูง 14 ชั้นนี้ก่อสร้างและบริหารโดย Shinwa Group บริษัทแม่ของชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) และมีการนำเทคโนโลยีระบบ NS-SSB ของบริษัท Shinnittetsu Sumikin Engineering มาใช้ ป้องกันแผ่นดินไหวในโครงการ

วิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด พร้อมด้วยทีมงานวิศวกรจาก Shinwa Group เป็นผู้นำชม โดยวิชัยกล่าวถึงระบบป้องกันแผ่นดินไหวแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Earthquake Resistant Structure ก่อนว่า ปกติแล้วระบบเดิมจะเป็นการสร้างฐานรากของตึกให้แข็งแรงมากที่สุดโดยการใช้ปริมาณเหล็กเส้นและคอนกรีตที่สูงกว่าอาคารทั่วไป ซึ่งทำให้รองรับความรุนแรงของแผ่นดินไหวได้ ตึกไม่ทรุดหรือแตกร้าว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของระบบดั้งเดิมคือ แม้ว่าอาคารจะไม่ได้รับความเสียหาย แต่ตัวอาคารจะเคลื่อนตัวและเขย่าตามแรงสั่นสะเทือน ซึ่งทำให้สิ่งของในอาคารเลื่อนหล่นแตกหัก ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยสูญเสียทรัพย์สิน นอกจากนี้ แม้ว่าตึกจะไม่เสียหายแต่จะมีการเคลื่อนตัวออกไปจากจุดเดิมได้

Shinwa Group เปิดชั้นใต้ดินให้ชมฐานรากแบบใหม่ของการรองรับแผ่นดินไหวในอาคาร Splendid Hanaten โดยระบบ NS-SSB คือแนวคิดใหม่โดยการใช้หลักไจโรสโคปมาปรับใช้

<figure><img class="size-full wp-image-3825" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/DSCF3323-e1547820619107.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> วิศวกร Shinwa Group นำชมอุปกรณ์ Base Isolator แทรกตัวระหว่างเสาอาคารกับฐานราก</figcaption></figure>

ระบบ NS-SSB จะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Base Isolator เป็นจานเหล็กสองแผ่นที่ประกบลูกบอลไว้ตรงกลาง จากนั้นนำอุปกรณ์นี้ไปวางแทรกไว้ระหว่างเสาหลักของอาคารกับเสาเข็มที่เจาะเป็นฐานรากใต้ดิน ในกรณีของอาคาร Splendid Hanaten มีเสาหลักทั้งหมด 12 ต้นจึงต้องใช้อุปกรณ์นี้ 12 ตัวเข้าคู่กับเสาแต่ละต้น

วิศวกรจาก Shinwa Group กล่าวว่า อุปกรณ์ Base Isolator จะทำให้เสาอาคารแยกออกจากฐานราก เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนตัวอาคารจะเคลื่อนตัวในแนวระนาบอย่างช้าๆ แทนการสะเทือนโดยตรงอย่างเดิม และเสาจะกลับสู่ศูนย์กลางในจุดเดิมเสมอ จึงไม่มีปัญหาอาคารเคลื่อนที่ อีกทั้งทำให้คนในอาคารไม่รู้สึกถึงแผ่นดินไหวและทรัพย์สินไม่เคลื่อนตัวหากความรุนแรงนั้นต่ำกว่า 5.0 ตามมาตราริกเตอร์ ในแง่การรักษาโครงสร้างอาคารสามารถรองรับได้ถึง 7.0 ตามมาตราริกเตอร์ อาคารจะไม่เกิดความเสียหาย

<figure><img class="size-full wp-image-3826" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/DSCF3325-e1547820724538.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> อุปกรณ์ Base Isolator ที่ใช้สำหรับ ป้องกันแผ่นดินไหว</figcaption></figure>

นอกจากอุปกรณ์ Base Isolator แล้ว ในชั้นใต้ดินมีการติดตั้งเข็มสกัดเหล็กไว้เพื่อบันทึกการเคลื่อนตัวของแผ่นดินไหวสำหรับนำไปใช้วิเคราะห์การทำงานหลังแผ่นดินไหวสิ้นสุดด้วย โดยวิศวกร Shinwa Group กล่าวว่า ที่ต้องใช้ระบบแมนนวลอย่างเข็มสกัดแผ่นเหล็ก ไม่ใช่เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นเพราะระหว่างเกิดแผ่นดินไหวมักจะมีเหตุไฟฟ้าดับ ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์แมนนวล

ทั้งยังมีการติดตั้งระบบท่อชั้นใต้ดินเหนือฐานรากด้วยท่ออ่อนเพื่อป้องกันการแตก รวมถึงสายไฟที่โยงใยในชั้นใต้ดินจะมีการเผื่อความยาวไว้มากเผื่อกรณีที่มีการสั่นสะเทือนจะทำให้สายไฟมีโอกาสขาดยากขึ้น

<figure><img class="size-full wp-image-3827" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/DSCF3316-e1547820814951.jpg" alt="" width="533" height="800" /><figcaption> แท่นเข็มสกัดเหล็กที่จะทำงานเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือน</figcaption></figure>

สำหรับเทคโนโลยี ป้องกันแผ่นดินไหว NS-SSB เริ่มมีการติดตั้งในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2561 แม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่แต่ราคาสูงกว่าระบบเดิมเพียง 5% เนื่องจากตัวระบบดั้งเดิมเองต้องลงทุนสูงมากกับปริมาณเหล็กและคอนกรีตที่ใช้เสริมฐานราก ต้นทุนจึงไม่ต่างกันมากนัก หากเทียบกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัยจึงคุ้มค่า และระบบป้องกันที่ดีกว่าย่อมทำให้ผู้อยู่อาศัยมั่นใจที่จะเลือกโครงการนั้นๆ มากกว่า จึงส่งผลต่อยอดขายหรืออัตราการเช่าของอาคาร

วิชัย กล่าวปิดท้ายว่า สำหรับชินวะ เรียลเอสเตท (ประเทศไทย) ยังไม่มีการนำระบบป้องกันแผ่นดินไหวจากญี่ปุ่นเข้ามาใช้เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของไทยยังไม่มีความจำเป็นมากนัก แต่การนำชมนี้ต้องการสื่อสารถึงความต้องการพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างและอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องของ Shinwa Group

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events