<h2>วีซ่าเผยช่วง 8 เดือนแรกปี 2567 พบว่า การใช้จ่ายในกลุ่ม Mass ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย แต่การใช้จ่ายต่างชาติในไทยพบว่า บางกลุ่มใช้จ่ายมากขึ้นจากทริปที่มีระยะเวลายาวขึ้น ล่าสุด ร่วมมือกับ ททท. เร่งวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมนักท่องเที่ยว ดึงต่างชาติเที่ยวมากขึ้น ตั้งเป้าขยายจุดชำระเงินทั่วไทยโดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็กและกลางอีก 2-3 แสนร้านค้าในปี 2567 นี้ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ช่วง 8 เดือนแรกปี 2567 นี้ พบว่า ยอดการใช้จ่ายของคนไทยในกลุ่ม Mass ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็น ขณะที่ฐานบัตรผู้ใช้วีซ่าของไทยที่มีอยู่ราว 10 ล้านคน ในปีนี้ยังไม่เติบโตมากนัก มีเพียงฐานกลุ่มบนที่ยังเติบโตดี รวมถึงฝั่งยอดการใช้จ่ายของชาวต่างชาติในไทย พบว่า บางกลุ่มมียอดการใช้จ่ายมากขึ้นจากทริปที่มีระยะเวลายาวขึ้น เช่น สหรัฐ ที่มียอดใช้จ่ายหลักหลายหมื่นบาทต่อทริป ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลของวีซ่าพบว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้จ่ายในไทยสูงสุด 5 อันดับแรก&nbsp;ได้แก่ 1) สหรัฐ 2) สิงคโปร์ 3) จีน 4) สหราชอาณาจักร 5) ญี่ปุ่น (ส่วนคนไทยใช้จ่ายในต่างประเทศสูงสุดยังคงเป็นญี่ปุ่น) โดยกลุ่มลูกค้าต่างชาติยังมีการใช้จ่ายกระจุกตัวในหัวเมืองหลัก กว่า 70% ของยอดใช้จ่ายรวมเป็นการใช้จ่ายในกรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต ส่วนเมืองรองยังมีสัดส่วนราว 20%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นเพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ ล่าสุด วีซ่าร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผ่านการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือยกระดับการท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมทางการเงิน โดยจะมีการสนับสนุนทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้จ่าย และอื่นๆ เพื่อนำมาต่อยอดกลยุทธ์การตลาด ทำต่อยอดในการทำแคมเปญการท่องเที่ยว และขยายจุดรับชำระเงินแบบดิจิทัล (เช่น โครงการ STAR ขยายจุดรองรับการชำระเงินของวีซ่าในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก รวมถึงฐานลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ท่ามกลางการแข่งขันในระบบการชำระเงินที่สูงขึ้น เช่น การมี QR code พร้อมเพย์ที่ดูเหมือนจะไม่มีค่าธรรมเนียม ทำให้มีตัวเปรียบเทียบมากขึ้น ดังนั้นทางวีซ่าจึงต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ผ่านการขยายฐานจุดรับชำระเงินในเมืองรอง รวมถึงตั้งเป้าหมายในปี 2567 จะขยายในร้านค้าขนาดเล็กและกลางอีกราว 200,000-300,000 ร้านค้าทั่วไทย จากปัจจุบันมีจุดรับชำระเงินทั้งหมด 400,000 ร้านค้า (ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่) ภาพ: วีซ่า เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/what-companies-invest-in-data-centers-and-cloud-services-in-thailand" alt="'ไทย' ฮอตแค่ไหน สำหรับการลงทุน 'ดาต้าเซ็นเตอร์' และ 'คลาวด์'">'ไทย' ฮอตแค่ไหน สำหรับการลงทุน 'ดาต้าเซ็นเตอร์' และ 'คลาวด์'</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วีซ่าเผยคนไทยกลุ่ม Mass ใช้จ่ายชะลอลง ปรับแผนปี 67 รุกเพิ่มจุดจ่ายเงินร้านเล็ก 2-3 แสนทั่วไทย

<h2>วีซ่า เผยข้อมูลเชิงลึกจากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study) ที่ชึ้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยมากถึง 80% ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดโดยเฉลี่ยนานถึง 9 วัน โดย 'Gen Z - Gen Y' เป็นผู้นำเทรนด์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เทรนด์การใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดในประเทศไทยถือว่ามาแรงมาก และแนวโน้มเชิงบวกนี้ ยังสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกและการเพิ่มขึ้นของอีคอมเมิร์ซ ที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองต่างให้ความสำคัญกับความสะดวก ปลอดภัย และการรับชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสอันดีของผู้ประกอบการที่จะปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”&nbsp; &nbsp; จากผลการสอบถามชี้ให้เห็นถึงเทรนด์การใช้จ่ายแบบไร้เงินสดที่ยังคงเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย โดยพบว่า กว่า 81% ของผู้บริโภค พยายามจะใช้จ่ายโดยไม่พึ่งพาเงินสด โดยผู้นำเทรนด์เป็นผู้บริโภคจากกลุ่มเจน Z (อายุระหว่าง 18 - 23 ปี) และเจน Y (อายุระหว่าง 24 ถึง 39 ปี) ในสัดส่วน 85% เท่ากัน​&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นด้วยว่าผู้บริโภคชาวไทยมีความมั่นใจมากขึ้นในการที่จะใช้ชีวิตนอกบ้านโดยถือเงินสดในมือลดลง โดย 47% เลือกที่จะถือเงินสดในกระเป๋าสตางค์น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทรนด์นี้เกิดขึ้นจากช่องทางการรับชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลควบคู่ไปกับการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดของผู้บริโภค เช่น QRCode บัตรชำระเงิน E-Wallet ฯลฯ นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุว่าได้สังเกตเห็นช่องทางการรับชำระเงินแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นในหลายหมวดหมู่ โดยเฉพาะหมวดอาหารและเครื่องดื่ม (79%) การค้าปลีก (67%) การจับจ่ายที่ร้านสะดวกซื้อ (67%) ซูเปอร์มาร์เก็ต (64%) และบริการขนส่ง อาทิ แท็กซี่และบริการใช้รถเดินทางร่วมกัน เป็นต้น (60%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ไทยจะมีผู้ให้บริการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) จึงมีการใส่ในแบบสมอถามพบว่ากว่า 54% ของผู้บริโภคชาวไทย (54%) สนใจบริการของ&nbsp;Virtual Bank โดยกลุ่มที่ให้ความสนใจมากที่สุดคือกลุ่มเจน Y (68%) และเจน X (53%) และบริการของ Virsual Bank ที่ผู้ตอบแบบสอบถามกระตือรือร้นที่จะใช้มากที่สุด คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การบริการตนเองเต็มรูปแบบ (81%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บริการแบบไลฟ์ผ่านแอปพลิเคชันดิจิทัล (80%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การใช้ข้อมูลทางการเงินทางเลือกสำหรับประเมินสินเชื่อ (78%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคชาวไทยพิจารณาในการใช้งาน Virsual Bank นั้น ความปลอดภัยยังฟีเจอร์ที่ได้รับการจัดลำดับให้มีความสำคัญสูงสุด โดย 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่าต้องการชำระเงินและทำธุรกรรมที่ปลอดภัย ตามด้วยความเร็วในการทำธุรกรรม (55%) และการใช้งานสะดวก ง่ายดาย ไม่ซับซ้อนและสำเร็จได้ภายในไม่กี่คลิก (46%)<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/NoPmRhAdadfCHuGV247A.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NoPmRhAdadfCHuGV247A.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,1018" style="" data-index="0"></figure></div> ​ <a href="https://www.freepik.com/free-ai-image/glowing-skyscrapers-illuminate-crowded-city-streets-generated-by-ai_43130915.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=51&amp;uuid=5ab0189c-7957-4ad7-aadc-4d3982bede12">Image by stockgiu on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/cpn-q-1-2024-net-profit-4-154-millions-baht-5-years-investment-plan-budget-121-billions-baht" alt="CPN โชว์ผลงาน Q1 ปี 67 กำไรสุทธิ 4,154 ล้าน พร้อมเปิดแผนลงทุน 5 ปี ด้วยงบ 1.21 แสนล้านบาท">CPN โชว์ผลงาน Q1 ปี 67 กำไรสุทธิ 4,154 ล้าน พร้อมเปิดแผนลงทุน 5 ปี ด้วยงบ 1.21 แสนล้านบาท</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วีซ่า เผยคนไทย 80% ประสบความสำเร็จการใช้ชีวิตแบบไร้เงินสด 'Gen Z - Gen Y' นำเทรนด์

<h2>การท่องเที่ยวของประเทศไทยจะถูกกระตุ้นโดย “นักท่องเที่ยวซ้ำ” โดยมากกว่าหนึ่งในสี่ (28%) ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยในช่วงปี 2566 บอกว่าพวกเขาตั้งใจจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้งภายใน 12 เดือนข้างหน้า อ้างอิงจากผลสำรวจเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวระดับโลก ฉบับล่าสุดประจำปี 2566 ของวีซ่า (Visa Global Travel Intentions Study 2023) ซึ่งเป็นผลสำรวจที่ทำการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและแผนการเดินทางของผู้บริโภคที่ใหญ่และจัดทำมายาวนานที่สุดโดยวีซ่า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจยังพบอีกว่า นักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มจะกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งในช่วง 12 เดือนต่อจากนี้ คือนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย (42%) สิงคโปร์ (41%) ฟิลิปปินส์ (28%) สาธารณรัฐประชาชนจีน (25%) และเวียดนาม (22%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แรงจูงใจอันดับต้นๆ สำหรับการท่องเที่ยวในปีหน้า คือ การผ่อนคลาย ช้อปปิ้ง เปิดประสบการณ์ การผจญภัย และการพบปะครอบครัวและเพื่อนฝูง โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยมสามอันดับแรกที่นักท่องเที่ยวในภูมิภาคตั้งใจจะไปเยือนมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ขณะที่หัวหิน เชียงใหม่ และกระบี่ เป็นเมืองยอดนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เราหวังว่าข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะช่วยให้พันธมิตรของเราสามารถยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยว พร้อมๆ ไปกับการส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความพยายามร่วมกันของเรามีจุดหมายเดียวกันเพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนให้ภาพรวมของระบบนิเวศการชำระเงินดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ จากผลการสำรวจในการศึกษาพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมิลเลนเนียล (51%) ตามด้วยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังใช้จ่ายสูง (27%) ครอบครัวที่เดินทางกับเด็กเล็ก (18%) คนโสดวัยหนุ่มสาว (16%) เจน Z (15%) ครอบครัวที่เดินทางกับเด็กโต (14%) และกลุ่มวัยเกษียณ (11%) ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากมองลึกลงไปเกี่ยวกับระยะเวลาการท่องเที่ยวจะพบว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มวัยเกษียณพำนักอยู่ในประเทศไทยนานที่สุดโดยเฉลี่ยมากถึง 12 คืน เมื่อเทียบกับจำนวนคืนโดยเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวในภาพรวมจะอยู่ที่ 8 คืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และเมื่อแยกตามเชื้อชาติ พบว่านักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์จะใช้เวลาพำนักนานที่สุดที่ 7 คืน ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวเวียดนาม ซึ่งใช้เวลาพำนักในประเทศไทยที่ 5 คืน และนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและชาวฟิลิปปินส์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4 คืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้น เกือบครึ่งของนักท่องเที่ยว (48%) ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมต่างๆ ผ่านบัตรแทนเงินสด โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังใช้จ่ายสูง และครอบครัวที่เดินทางกับเด็ก เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ใช้บัตรแทนเงินสดในการชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ช้อปปิ้ง (39%) รับประทานอาหาร (33%) และกิจกรรมต่างๆ (33%) โดยนักท่องเที่ยวเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรแทนเงินสดมากที่สุดในช่วงวางแผนก่อนการเดินทางเพื่อชำระค่าใช้จ่ายในรายการหลักๆ อาทิ ค่าที่พัก (81%) และค่าเดินทาง (69%) เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของการเลือกที่พักนั้น มากกว่าแปดในสิบ (83%) เลือกพักในโรงแรม โดยสิ่งสำคัญห้าอันดับแรกที่มีผลต่อการเลือกที่พัก คือ ความปลอดภัย (76%) ความสะอาด (63%) ตำแหน่งที่ตั้ง (54%) ความคุ้มค่า (52%) และสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก (41%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อพิจารณาตามเชื้อชาติของนักท่องเที่ยว ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงที่สุด (95,000 บาท) ตามมาด้วยสิงคโปร์ (58,000 บาท) ฟิลิปปินส์ (48,000 บาท) เวียดนาม (38,000 บาท) และมาเลเซีย (34,000 บาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยอดใช้จ่ายทั้งหมดจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาของการเดินทาง โดยผู้ที่ใช้เวลาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยตั้งแต่แปดวันขึ้นไปมีโอกาสจะใช้จ่ายมากกว่า 135,000 บาท ขณะที่นักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ (4-7 วัน) ใช้จ่ายอยู่ที่ราวๆ 65,000 บาท และนักท่องเที่ยวระยะสั้น (ไม่เกินสามคืน) ใช้จ่ายที่ราวๆ 40,000 บาทในระหว่างการท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เป็นเวลากว่าทศวรรษที่การศึกษาได้ช่วยให้วีซ่าและพันธมิตรของเรามีข้อมูลเชิงลึกที่ให้แง่มุมที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับภูมิทัศน์ด้านการท่องเที่ยวและพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการสามารถจ่ายและรับชำระเงินได้อย่างไร้รอยต่อและมีประสิทธิภาพสูงสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วีซ่า ในฐานะหนึ่งในสมาชิกที่สำคัญของชุมชนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เรายินดีที่ได้แบ่งปันข้อมูลอันเป็นประโยชน์เพื่อช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเสริมสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้แก่ผู้บริโภคเมื่อพวกเขาออกเดินทางและใช้จ่ายผ่านวีซ่า” ปุณณมาศ กล่าวเสริม เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/tourism-recovered-paris-top-city-destination" alt="ท่องเที่ยวนานาชาติฟื้นตัว! Paris คว้าอันดับ 1 จุดหมายยอดนิยม">ท่องเที่ยวนานาชาติฟื้นตัว! Paris คว้าอันดับ 1 จุดหมายยอดนิยม</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ผลวิจัยวีซ่าเผย "มาเลเซีย" คือต่างชาติที่มีแนวโน้มเที่ยวไทยซ้ำมากสุดปีหน้า

“วีซ่า” เผยผู้บริโภคชาวไทยใช้จ่ายสูงสุดในวันคริสต์มาส

<h2>เพียงก้าวแรกที่เดินเข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่น Misho ในตึกแบบ glass house ด้านหน้าอาคารสินธร ทีม Forbes Thailand ถึงกับประหลาดใจในความหนุ่มและความสดใสของผู้จัดการวีซ่าประจำประเทศไทยคน ใหม่คนนี้ ที่มาในเชิ้ตสีขาวและทับด้วยสูทดำแบบเรียบง่ายแต่มีสไตล์</h2>
สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้บริหารหน้าเด็กวัย 42 ปี ทักทายพวกเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร ไม่เคร่งเครียด เขาเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นร้านโปรดหน้าตึกเป็นที่พบปะพูดคุย เพื่อความสะดวก เพราะตารางเวลาของเขาอัดแน่นไปด้วยงานและการประชุมทำให้ไม่มีเวลานั่งรับ ประทานอาหารได้นานนัก

สุริพงษ์ เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการวีซ่าประจำประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เขาเป็นผู้บริหารสูงสุดคนที่ 2 ที่ดูแลตลาดประเทศไทยต่อจากสมบูรณ์ ครบธีระนนท์ ผู้เกษียนไปก่อนหน้า และนั่งในตำแหน่งถึง 20 ปี ตั้งแต่วีซ่าก่อตั้งอย่างเป็นทางการในประเทศไทย

“ต่อ ไปนี้มือถือก็เป็น payment อีกตัวหนึ่งวีซ่าจะอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร จะครอง leadership ได้อย่างไร นี่คือความท้าทายของทีมงานและของผม” ผู้จัดการหนุ่มกล่าว พลางสั่ง Salmon Don เมนูโปรดของเขา

วันนี้ สุริพงษ์ กำลังเข้ามาสานต่อโจทย์ธุรกิจของผู้บริหารคนแรก เขาตั้งใจจะนำพาแบรนด์วีซ่าในไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตยิ่งขึ้น พร้อมๆ กับรักษาการเป็นผู้นำในตลาดการชำระเงิน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค รวมไปถึงการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสิ่งแวดล้อมทางการค้าและการลงทุน

&nbsp;

เรื่อง: บำรุง อำนาจเจริญฤทธิ์ และกฤติยา วงศ์เทววิมาน ภาพประกอบ: สมเกียรติ ศิริวงศ์ศิลป์

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events