<h2>ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่เดินทางมาประเทศไทย มีจำนวนกว่า 1.19 ล้านคน สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากมาเลเซีย และจีน ขณะที่นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยมีการใช้จ่ายถึงกว่า 5,500 บาทต่อคนต่อวัน เป็นโอกาสของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ และดึงดูดให้ Yanolja สตาร์ทอัพยูนิคอร์นจากเกาหลีใต้เข้ามารุกธุรกิจในประเทศไทย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของคนเกาหลีใต้ ใช้แอปพลิเคชัน Yanolja” คิม จงยุน (Jong Yoon Kim) ประธานบริษัท Yanolja ให้สัมภาษณ์เนื่องในโอกาสเดินทางมาร่วมลงนามข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างเกาหลีใต้และไทย ในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/gsbmWTv2o3yNr4CF9Sma.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gsbmWTv2o3yNr4CF9Sma.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="0" origin-size="1773,2364"><figcaption><div style="text-align: center;">คิม จงยุน ประธานบริษัท Yanolja</div></figcaption></figure></div> ​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Yanolja เป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นจากเกาหลีใต้ที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2005 มีความหมายในภาษาเกาหลีใต้ว่า “มาเล่นกันเถอะ” และได้ขยายจากการเป็นแอปพลิเคชันจองที่พักระยะสั้น ไปสู่การเป็นซูเปอร์แอปที่ให้บริการด้านคมนาคมขนส่ง บริการซอฟต์แวร์และคลาวด์คอมพิวติ้ง ที่ช่วยให้โรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวปรับตัวสู่ดิจิทัล&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างที่ทราบกันดีว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการต้องปรับตัวจากการทำธุรกิจแบบออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์ และเป็นโอกาสการเติบโตของ Yanolja ซึ่งปัจจุบันมีการขยายตลาดใน 12 ประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา และอินเดีย ล่าสุดกับการเข้าสู่ตลาดประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราต้องการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนไทยกับคนเกาหลีใต้ ร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินทาง ด้านวัฒนธรรม รวมถึงร่วมสัมผัสศิลปิน K-POP ระดับโลกผ่านแพลตฟอร์มของ Yanolja” คิม จงยุน กล่าว ยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย-เกาหลีใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจมส์ ลี (James Lee) รองประธานอาวุโส องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเกาหลี-ไทย KTO จึงร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และอินโนสเปซ ไทยแลนด์ จัด Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และสร้างฐานนวัตกรรมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผ่านความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยว และสตาร์ทอัพ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/b6ACj8byQSjyYcWMz5qY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="b6ACj8byQSjyYcWMz5qY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="1" origin-size="1153,1537"><figcaption><div>เจมส์ ลี รองประธานอาวุโสแห่ง KTO</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง หลังจาก KTO ได้ร่วมกับ ททท. กำหนดให้ปี 2566-2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างเกาหลีและไทยเพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวระดับโลก และนำไปสู่การส่งเสริมยูนิคอร์นด้านการท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การจัดงานครั้งนี้ได้มีการลงนามข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างเกาหลีและไทย ได้แก่ ข้อตกลงทางธุรกิจสำหรับนวัตกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย ระหว่าง Yanolja ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของเกาหลี และสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว และข้อตกลงทางธุรกิจเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในเกาหลีผ่านช่องทรู และไลฟ์คอมเมิร์ส ระหว่าง LaLa Station และทรู คอร์ปอเรชั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลอย่างรวดเร็ว เราเล็งเห็นว่าการระดมทุน และหาพันธมิตรเป็นสิ่งจำเป็น การจัดทำข้อตกลงทางธุรกิจครั้งนี้ นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดันการท่องเที่ยวแบบ Smart Tourism ของเกาหลีให้เติบโต และเรายังวางแผนที่จะร่วมมือกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก” เจมส์ ลี กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการท่องเที่ยวแบบ Smart Tourism ถือเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวมิติใหม่ที่เกาหลีพัฒนาขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้บริการด้านการท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/DT59p9yRGKqK5dNCof54.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DT59p9yRGKqK5dNCof54.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="2" origin-size="1920,1281"><figcaption><div>HiKR Ground เกาหลีใต้</div></figcaption></figure></div> เที่ยวไทย-เกาหลีฟื้นตัวต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจมส์ ลี กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวเกาหลีในปัจจุบันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลวันที่ 25 กันยายน 2566 พบว่าปีนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกาหลีแล้ว 7.49 ล้านคน เพิ่มขึ้น 60% จากปี 2562 ช่วงก่อนการระบาดของโควิด -19 ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปีนี้ ได้แก่ หอคอยนัมซานในกรุงโซล ป้อมปราการฮวาซองในเมืองซู วอน จังหวัด คยองกี เกาะนามิในจังหวัดคังวอน หมู่บ้านฮันอกในจอนจู และสวนสนุกแทจงแดในพูซาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามีแผนที่จะดึงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเกาหลีให้มากที่สุด เราตั้งเป้าที่จะขยายฐานการท่องเที่ยวเกาหลีสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกำหนดให้ปีนี้และปีหน้าเป็น&nbsp;ปีแห่งการมาเยือนเกาหลี&nbsp;และได้จัดแคมเปญ 100 กิจกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเกาหลี โดยตั้งเป้าว่าปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเกาหลี 10 ล้านคน ส่วนในปี 2567 คาดว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวเต็มที่ กลับไปสู่สภาวะก่อนเกิดโควิด ซึ่งมีนักเที่ยวอยู่ที่ 17.5 ล้านคนต่อปี” เจมส์ ลี กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับนักท่องเที่ยวไทยไปเกาหลีช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 2.6 แสนคน ขณะที่ช่วงก่อนโควิด มีคนไทยไปเกาหลี 5.7 แสนคน ขณะที่นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้มาไทย มีจำนวนกว่า 1.19 ล้านคน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 กันยายน – 1 ตุลาคม 2566) มีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 41,981 เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้ และถือเป็นโอกาสทางธุรกิจระหว่าง 2 ประเทศที่จะขยายต่อไปในอนาคต อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%9A-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7" alt="เอกชนเผย “กราดยิงพารากอน” กระทบท่องเที่ยวระยะสั้น ด้านภาครัฐเร่งยกระดับความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว">เอกชนเผย “กราดยิงพารากอน” กระทบท่องเที่ยวระยะสั้น ด้านภาครัฐเร่งยกระดับความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Yanolja สตาร์ทอัพยูนิคอร์นเกาหลี รุกตลาดไทย

เอกบุตร สิริศุภางค์ “RentSpree” ติดปีกพรอพเทคโลก

<h2 class="p1">Voyager Innovations เจ้าของอี-วอลเล็ท PayMaya และธนาคารดิจิทัล Maya Bank ก้าวขึ้นเป็นยูนิคอร์นแห่งที่ 2 ของฟิลิปปินส์ หลังระดมทุน 210 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำโดย SIG Venture Capital ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในเอเชียของ Susquehanna International Group</h2>
<img class="alignnone wp-image-61608 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Get-instant-cashback-when-you-cash-in-to-PayMaya-via-Instapay-1.jpeg" alt="Voyager Innovations" width="625" height="625" />
“ด้วยเหตุการณ์สำคัญนี้ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะก้าวไปข้างหน้าและนำสิ่งที่ดีที่สุดของ PayMaya และ Maya Bank มาช่วยปลดล็อกเศรษฐกิจดิจิทัลสำหรับชาวฟิลิปปินส์ที่ไม่เข้าไม่ถึงบริการของธนาคาร” Orlando Vea ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Voyager และ PayMaya กล่าวในแถลงการณ์
ด้านนักลงทุนรายใหม่ ซึ่งผลักดันให้การประเมินมูลค่าของ Voyager แตะ 1.4 พันล้านเหรียญ ได้แก่ EDBI ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการลงทุนของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ไปจนถึง First Pacific Co. ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของมหาเศรษฐีชาวอินโดนีเซีย Anthony Salim 
ขณะที่นักลงทุนเดิม ได้แก่ PLDT ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของฟิลิปปินส์ กองทุน KKR จากสหรัฐฯ และหน่วยลงทุนของ International Finance Corp. ก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
ด้วยการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหม่และผู้ถือหุ้นเดิม Voyager ตั้งเป้าที่จะขยายการดำเนินงานของ Maya Bank หลังจากได้รับใบอนุญาตธนาคารดิจิทัล 1 ใน 6 ใบจากธนาคารกลางฟิลิปปินส์ในเดือนกันยายน
ในทำนองเดียวกัน Voyager มุ่งมั่นที่จะใช้เงินทุนใหม่ เพื่อเปิดตัวบริการออมทรัพย์และสินเชื่อของ Maya Bank ซึ่งจะมีให้บริการในแพลตฟอร์ม PayMaya พร้อมไปกับการเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น สกุลเงินดิจิทัล การลงทุนขนาดเล็ก และการประกันภัย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นแอปพลิเคชันการเงินแบบครบวงจร
“การใช้ประโยชน์จากจุดแข็งด้านของ PayMaya ในด้านการบริหารองค์กรและหน่วยงานของผู้บริโภค ทำให้ Maya Bank มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นหนึ่งในธนาคารดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ไม่ใช่แค่ในฟิลิปปินส์ แต่ทั่วโลก” Akshay Bajaj ผู้ร่วมก่อตั้ง SIG Southeast Asia กล่าว
ล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2022 PayMaya มีผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 47 ล้านคน หรือมากกว่า 2 ใน 3 ของประชากรผู้ใหญ่ในฟิลิปปินส์ ขณะที่คู่แข่งอย่าง Mynt ซึ่งให้บริการอี-วอลเล็ท GCash เผยว่ามีผู้ใช้มากกว่า 48 ล้านคนในประเทศนี้ ทั้งยังเป็นยูนิคอร์นเพียงรายเดียวในในฟิลิปปินส์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Globe Telecom ของ Ayala Corp. และ Warburg Pincus บริษัทไพรเวทอิควิตี้ของสหรัฐฯ
ปัจจุบัน ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าธุรกรรมดิจิทัลของประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 4 หมื่นล้านเหรียญภายในปี 2025 จาก 1.7 หมื่นล้านเหรียญในปีที่แล้ว โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอี-คอมเมิร์ซ และความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการใช้อี-วอลเล็ท ซึ่งอ้างอิงจากรายงาน e-Conomy Southeast Asia ปี 2021 โดย Google, Temasek และ Bain &amp; Co.
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Voyager Becomes Second Philippine Unicorn After Raising $210 Million From SIG-Led Funding Roundโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/money-adwise-%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%b2.html">“Money Adwise” มองโอกาสสร้างแผนการเงินการลงทุน</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

Voyager ขึ้นแท่นยูนิคอร์นตัวที่ 2 ของฟิลิปปินส์ หลังระดมทุนในรอบล่าสุด

<h2>WeLab สตาร์ทอัพฟินเทคระดับยูนิคอร์นในฮ่องกง วางแผนที่จะเปิดตัวธนาคารดิจิทัลในอินโดนีเซียในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากบรรลุข้อตกลงมูลค่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นใน Bank Jasa Jakarta</h2>
<figure><img class="wp-image-56663" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/01/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-61c113056ddecd6ddf98151e-WeLab-Hong-Kong-office-960x0.jpgfitscale.jpg" alt="WeLab Bank" width="720" height="540" /><figcaption> สำนักงาน WeLab ในฮ่องกง</figcaption></figure>

แม้การรุกเข้าสู่ตลาดธนาคารดิจิทัลของอินโดนีเซียอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากธนาคารแบบดั้งเดิมและบริษัทเทคโนโลยีต่างเดินหน้าชิงส่วนแบ่งกันอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา นำโดย Jenius ของ <a href="https://www.btpn.com/en/berita-media/peristiwa?content=5605&amp;page=3&amp;active=archive">Bank BTPN</a> เป็นรายแรก ตามมาด้วย Blu ของ Bank Central Asia และ Bank Jago ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย GoTo

ด้าน Simon Loong ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ WeLab มองว่า ตลาดธนาคารดิจิทัลในอินโดนีเซียยังพอมีช่องว่างให้เติบโต ขณะที่การแข่งขันที่ดุเดือดนั้นย่อมเป็นผลดีต่อตลาด “อินโดนีเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่” Loong กล่าวในวิดีโอสัมภาษณ์จากสำนักงานใหญ่ของสตาร์ทอัพในฮ่องกง “ตลาดนี้ไม่ใช่ตลาดที่ผู้ชนะจะได้รับผลประโยชน์ฝ่ายเดียว เพราะธนาคารดิจิทัลยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นจึงไม่มีผู้ชนะที่ชัดเจนและยังต้องได้รับการพัฒนาอีกมาก”

Loong เสริมต่อว่า WeLab ต้องการที่จะเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีผู้เล่นจำนวนมาก ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่นั่นก็ทำให้การให้ความรู้แก่ผู้บริโภคง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ในปี 2020 WeLab ได้เปิดตัวธนาคารดิจิทัลแห่งแรกในฮ่องกงในชื่อ WeLab Bank ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าประมาณ 150,000 ราย และมีผลิตภัณฑ์ยอดนิยม คือ เงินฝากประจำ GoSave ที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นหากมีลูกค้าเข้าร่วมกลุ่มเงินฝากมากขึ้น

ขณะที่ในปี 2018 WeLab ได้เดินหน้าเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ <a href="https://www.welab.co/en/press/welab-acquires-bank-jasa-jakarta-indonesia-plans-launch-second-digital-bank-asia-after-successful-launch-hong-kong/">Astra International</a> เพื่อให้บริการแอปพลิเคชันยืมเงินออนไลน์ Maucash ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้มากกว่า 3 ล้านราย

“ดังนั้น ในอนาคต อินโดนีเซียจะมีโครงสร้างการเงินแบบเดียวกับฮ่องกง ซึ่งเราจะมีแพลตฟอร์มการให้กู้ยืมและธนาคารดิจิทัล เราจะทำงานร่วมกันและจะมีการผนึกกำลังกันมากมาย” Loong กล่าว

ล่าสุด บริษัทที่ปรึกษา McKinsey รายงานว่า  ในปีที่ผ่านมามีลูกค้าชาวอินโดนีเซียกว่าร้อยละ 78 ใช้งานธนาคารดิจิทัล เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57 ในปี 2017 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการต่างๆ ในช่วงการระบาดใหญ่ ซึ่งกว่าร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามตั้งเป้าที่จะเพิ่มการใช้บริการธนาคารบนช่องทางอินเทอร์เน็ตนอกมากขึ้น

“ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เราจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างธนาคารดิจิทัลทั่วเอเชีย ต่อยอดจากที่แรกในฮ่องกง ซึ่งเรายังคงมองหาตลาดอื่นๆ เรื่อยมา แต่ผมมองว่ามีตลาดอยู่ไม่กี่แห่งที่เราพบว่าน่าสนใจ” Loong กล่าวพร้อมยกตัวอย่างประเทศไทยและเวียดนาม

นอกจากนี้ WeLab ยังตั้งเป้าที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากความผันผวนของตลาด

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Hong Kong Fintech Unicorn WeLab To Enter Increasingly Crowded Indonesian Digital Banking Market เผยแพร่บน ​Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/สร้าง-digital-commerce-ให้เติบโต.html">สร้าง “Digital Commerce” ให้เติบโตอย่างยั่งยืน</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events