<h2>องค์การระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ว่า มีเด็กมากกว่า 40 รายถูกปลิดชีพแล้วจากสถานการณ์ดังกล่าว ขณะที่จำนวนเด็กที่ได้รับบาดเจ็บยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่ “มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”</h2>
<figure><img class="wp-image-43720" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/117811818_myanmar.jpg" alt="รัฐประหารเมียนมาคร่าชีวิตเด็กอย่างน้อย 43 ราย" width="720" height="405" /><figcaption> นักเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันหยุดงานเพื่อประท้วงเงียบ หลังเด็กหญิงวัย 7 ขวบ เสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืน</figcaption></figure>

Save the Children องค์การช่วยเหลือเด็กที่ดำเนินงานเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลกระบุว่า มีเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี จำนวน 15 คนที่เสียชีวิต ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ เด็กวัย 13 ปีที่ “ถูกยิงขณะกำลังวิ่งเล่นอยู่บนถนน” ในนครย่างกุ้ง ขณะที่เหยื่ออายุน้อยที่สุดมีอายุเพียง 1 ขวบเท่านั้น โดยถูกกระสุนยางยิงเข้าที่ดวงตาข้างขวา

ด้าน Free Burma Rangers หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยชนรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เด็กชายชาวกะเหรี่ยงวัย 5 ขวบ เสียชีวิตจากการที่กองทัพเมียนมาบุกโจมตีทางอากาศทิ้งระเบิดลงที่หมู่บ้านวันปูโน ในเขตปาปุนของรัฐกะเหรี่ยง ขณะที่เด็กหญิงวัย 12 ปี ได้รับบาดเจ็บบนใบหน้าจากเศษกระสุนในสถานการณ์เดียวกัน

นอกจากนี้ สำนักข่าว BBC รายงานว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน ครอบครัวของเด็กหญิงวัย 7 ปีในมัณฑะเลย์ได้ออกมาเปิดเผยว่า บุตรสาวเสียชีวิตในช่วงปลายเดือนมีนาคม จากการที่ทหารและตำรวจเปิดฉากยิงแบบสุ่มในที่อยู่อาศัย ขณะที่เธอกำลังวิ่งกลับไปหาพ่อที่บ้าน

ทั้งนี้ สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองเมียนมา (APPA) อัพเดทตัวเลขผู้เสียชีวิต ณ วันที่ 31 มีนาคม ว่ามีจำนวนทั้งหมด 536 คน และมีผู้ที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่อีก 2,729 คน

“เด็กผู้ไร้เดียงสาถูกพรากอนาคตไปอย่างโหดร้ายโดยไม่จำเป็น” Save The Children กล่าวผ่านทางแถลงการณ์ “ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งเด็กๆ ที่ต้องเห็นพี่น้องของตนเสียชีวิตไปต่อหน้า ต่างต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและการสูญเสียที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเมียนมาไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กอีกต่อไป”

นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา กองทัพเมียนมาภายใต้การนำของพลเอกอาวุโส Min Aung Hlaing ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา เข้าจับกุม Aung San Suu Kyi ที่ปรึกษาแห่งรัฐ รวมถึงประธานาธิบดี <a href="https://www.theguardian.com/world/2021/feb/01/further-army-clampdown-feared-in-myanmar-after-aung-san-suu-kyi-detained">U Win Myint</a> และแกนนำคนสำคัญของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือ NLD ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเมียนมา และ<a style="color: #333333;" href="https://www.aljazeera.com/news/2021/2/1/full-text-of-myanmar-army-statement-on-state-of-emergency">ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี</a>

โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลของเมียนมา ภายใต้การนำของ Aung San Suu Kyi ล้มเหลวในการตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไป ที่มีขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนั้นเธอสามารถคว้าชัยได้เป็นสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนถล่มทลายร้อยละ 83 ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งและมีประชาชนบางส่วนถูกตัดสิทธิ์การลงคะแนนเสียง

ทั้งนี้ ท่ามกลางการปะทะกันระหว่างทหารและตำรวจที่เข้าปราบปรามการประท้วงต่อต้านรัฐประหารมาตลอด 2 เดือนอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม ซึ่งตรงกับวันกองทัพเมียนมา เป็นวันที่เกิด<a style="color: #333333;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/รัฐบาลทหารเมียนมาปิด-facebook.html">เหตุการณ์นองเลือดมากที่สุด</a> โดยมีผู้เสียชีวิตมากถึง 114 รายทั่วประเทศ

ล่าสุด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา Dominic Raab รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร ได้ออกมาประกาศมาตรการคว่ำบาตรเมียนมา เพื่อตอบโต้การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการก่อรัฐประหารของกองทัพ “ทหารเมียนมาจมดิ่งสู่จุดต่ำสุดใหม่ด้วยการสังหารผู้บริสุทธิ์รวมถึงเด็กๆ”

ด้านสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joe Biden ได้ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการค้าทุกรูปแบบกับเมียนมา พร้อมระบุว่า “สถานการณ์ในเมียนมามีความรุนแรงเป็นอย่างมาก และจากการรายงานที่ผมได้รับ มีผู้คนจำนวนมากถูกฆ่าตายโดยไม่จำเป็น”

แปลและเรียบเรียงจากบทความ At Least 43 Children Killed By Myanmar Military Forces, Humanitarian Group Reports เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/รัฐบาลทหารเมียนมาปิด-facebook.html">รัฐบาลทหารเมียนมาปิด Facebook ชั่วคราว อ้างก่อให้เกิดความไม่มั่งคง</a>

รัฐประหารเมียนมาคร่าชีวิตเด็กอย่างน้อย 43 ราย

<h2>Bank of America ประกาศแผนลงทุนเพิ่มใน “โครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและโอกาสทางเศรษฐกิจ” ของคนผิวสีเป็นมูลค่า 1.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน 5 ปีข้างหน้า พร้อมเดินหน้าขยายสิทธิประโยชน์ครอบคลุมชาวเอเชีย</h2>
<img class="alignnone wp-image-43703" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/1eb8b200-1c55-11ea-a54f-551d22b9c52b.jpg" alt="Bank of America" width="720" height="514" />

นโยบายข้างต้น เป็นการต่อยอดโครงการเดิมที่ทางธนาคารได้ประกาศไว้เมื่อเดือนมิถุนายน 2020 ที่ผ่านมาว่า จะลงทุนแบบผสมผสานระหว่างการให้เงินกู้ หุ้น และการระดมทุนโดยตรง รวมมูลค่า 1 ล้านเหรียญเป็นระยะเวลา 4 ปี เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของ George Floyd ชายผิวสีชาวอเมริกัน ที่ได้นำมาซึ่งการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและการใช้ความรุนแรงของตำรวจ

ปัจจุบัน ธนาคารได้ดำเนินการตามแผนงานไปแล้วที่มูลค่า <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/palashghosh/2021/03/30/bank-of-america-expands-racial-equality-program-to-include-asians/?sh=2976dfc4dc73">350 ล้านเหรียญจากวงเงินทั้งสิ้น 1 ล้านเหรียญ</a> ผ่านทางการให้เงินกู้ การให้สิทธิ์การเป็นเจ้าของบ้าน การฟื้นฟูชุมชน และการเข้าถึงระบบธนาคารทั้งในส่วนของลูกค้ารายบุคคลและธุรกิจขนาดเล็ก

ด้านวงเงินที่เพิ่มมาใหม่นี้ จะถูกนำไปต่อยอดใน “การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ การสนับสนุนด้านนโยบายและสิทธิความเสมอภาคและการมีส่วนร่วมของคนผิวสี ชุมชนเอเชียอเมริกัน และองค์กรสิทธิมนุษยชน อาทิเช่น สมาคมเอเชี่ยนอเมริกันเพื่อความยุติธรรม เป็นต้น”

ไม่เพียงเท่านี้ ทางธนาคารยังได้แต่งตั้ง Connie Chung ประธานกรรมการบริหารสมาคมเอเชี่ยนอเมริกันเพื่อความยุติธรรมลอสแองเจลิส ให้ดำรงตำรงแหน่งสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาชุมชนแห่งชาติ เพื่อ “สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนเอเชี่ยนในสหรัฐอเมริกา”

“เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะเข้าไปมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาประเด็นความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ และการมีส่วนร่วมทางสังคม หลังจากที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการปะทะและโจมตีทั้งทางร่างและคำพูดต่อชาวเอเชีย” Brian Moynihan ประธานและซีอีโอ Bank of America กล่าว

“ยอดการโจมตีชาวเอเชียที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อย่างการกราดยิงใน Atlanta ได้สะท้อนให้เห็นว่า เรายิ่งต้องร่วมมือกันเพื่อต่อต้านการแบ่งแยก การใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ และความรุนแรงระหว่างกัน และเราจะไม่ทนต่อการกระทำที่พยายามทำลายความเท่าเทียมทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ” Thong Nguyen รองประธานกล่าว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเดือนมีนาคม 2020 การโจมตีกลุ่มชนชาวเอเชี่ยนอเมริกันก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาทิเช่น การกราดยิงและฆ่าหญิงเอเชีย<a style="color: #333333;" href="https://edition.cnn.com/2021/03/21/world/anti-asian-hate-crime-intl/index.html">จำนวน 6 คนที่ Atlanta</a> และล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/siladityaray/2021/03/30/elderly-asian-woman-brutally-attacked-in-new-york-nypd-launches-hate-crime-investigation/?sh=686673c12239">หญิงสูงวัยชาวเอเชียก็ถูกโจมตีอย่างโหดร้าย</a>บนถนน Manhattan ท่ามกลางฝูงชนที่สังเกตการณ์อยู่ภายนอกแต่ไม่ได้เข้าไปกีดขวางการกระทำของชายผู้นั้นแต่อย่างใด

ในทำนองเดียวกัน นับตั้งแต่ต้นปี 2021 ที่ผ่านมา NYPD รายงานว่ามีการกระทำผิดทางอาญา ที่ผู้กระทำมีมูลเหตุจูงใจมาจากอคติต่อชาวเอเชียที่ยื่นฟ้องต่ออัยการรัฐนิวยอร์กไปแล้วกว่า 33 คดี

อย่างไรก็ดี เมื่อเดือนตุลาคม JP Morgan ก็ได้ออกมาประกาศว่าจะลงทุนมูลค่า 3 หมื่นล้านเหรียญเพื่อสนับสนุนแผนงานของธนาคารในการส่งเสความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ขณะที่ PNC Bank ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลงทุนมากวก่า 1 พันล้านเหรียญ เพื่อสนับสนุนโอกาสทางเศรษฐกิจในกลุ่มชนชาวแอฟริกันอเมริกันและชุมชนผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Bank Of America Expands Racial Equality Program To Include Asians เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/สกุลเงินดิจิทัล-ที่ออก.html">“สกุลเงินดิจิทัล” ที่ออกโดยธนาคารกลาง คืออะไร?</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events