<h2 class="p1">บริษัท สยามสินธร จำกัด ได้จัดงาน Exclusive Launch ของ The Residences at Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok โครงการที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ บริหารโดยเชนโรงแรมระดับโลก "Sindhorn kempinski Hotel Bangkok" เมื่อวันที่ 2-3 มีนาคม ที่ผ่านมา โครงการอยู่บนทำเลใจกลางเมืองบนถนนหลังสวน ตอบรับกับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เป็นมากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย โดยลูกค้ามั่นใจได้ว่า จะได้รับการบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐานเดียวกันกับการให้บริการของเคมปินสกี้ ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน</h2>
The Residences at Sindhorn Kempinski เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโครงการที่ 4 และเป็นโครงการเรือธงของ Sindhorn Village ซึ่งประกอบด้วยที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ ได้แก่ Sindhorn Residence, Sindhorn Tonson และ Sindhorn Lumpini รวมถึงโรงแรมชั้นนำระดับโลก คือ Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok และ Kimpton Hotel Bangkok
<img class="alignnone size-full wp-image-5387" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1DX_2873-4-e1551948227453.jpg" alt="" width="525" height="800" />
เมื่อทำเลคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะความสะดวกสบายในการเดินทาง The Residences at Sindhorn Kempinski จึงตั้งอยู่ในย่านหลังสวน ซึ่งเป็นย่านที่สงบเหมาะแก่การอยู่อาศัย ขณะเดียวกันก็สามารถเชื่อมต่อการเดินทางเข้ากับย่านสำคัญอื่นๆ ที่อยู่รายรอบได้อย่างฉับไว ไม่ว่าจะเป็น สุขุมวิท ราชดำริ วิทยุ สาทร ซึ่งเป็นย่านธุรกิจและย่านช้อปปิ้งชั้นนำของกรุงเทพฯ ทั้งยังอยู่ติดกับสวนลุมพินี ที่เป็นพื้นที่สีเขียวสำหรับพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังไม่ไกลจากโรงเรียน มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลหลายแห่งอีกด้วย
The Residences at Sindhorn Kempinski อาคารสูง 33 ชั้น มีห้องพัก 231 ยูนิต มีตั้งแต่ 1-4 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 50-500 ตารางเมตร พื้นที่จอดรถชั้นใต้ดิน 3 ชั้น สามารถรองรับรถยนต์ได้ถึง 495 คัน หรือกว่า 200% ของจำนวนยูนิต ส่วนพื้นที่ส่วนกลางอยู่บนชั้น 30 ประกอบด้วยเรสซิเดนซ์เลาจน์, สระว่ายน้ำ, สปา และฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายครบครัน
<img class="alignnone size-full wp-image-5388" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1DX_3077-9-e1551948253438.jpg" alt="" width="800" height="533" />
โครงการ The Residences at Sindhorn Kempinski มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งหลังจากเปิดตัวโครงการไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2561 ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ที่มองหาที่พักอาศัยใจกลางเมืองท่ามกลางความร่มรื่น มีความเป็นส่วนตัว แต่ก็สามารถเดินทางสู่ศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำได้อย่างรวดเร็ว 
สามารถเยี่ยมชมโครงการได้ที่ Sales Gallery ถนนหลังสวน เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. หรือสอบถามเพิ่มเติมที่โทร. 02-650-9899
<img class="alignnone size-full wp-image-5389" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1DX_2941-7-e1551948275802.jpg" alt="" width="800" height="533" />

<img class="alignnone size-full wp-image-5390" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1DX_2993-8-e1551948297532.jpg" alt="" width="800" height="533" />

<img class="alignnone size-full wp-image-5391" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/MG_0901-3-e1551948315158.jpg" alt="" width="800" height="533" />

สยามสินธรจัดงาน Exclusive Launch ของ The Residences at Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok

<h2>ราคาที่ดินใจกลางเมืองที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างน่าใจหายในหัวเมืองใหญ่ชั้นนำของโลก รวมถึงมหานครอย่างกรุงเทพฯ กำลังดับฝันใครหลายๆ คนที่คิดจะเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง เพราะด้วยมูลค่าที่ดินย่านไพรม์แอเรียที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พาให้ราคาของคอนโดมิเนียมพุ่งสูงขึ้นจนไม่ใช่ใครๆ ก็ซื้อได้อีกต่อไป</h2>
ท่ามกลางสถานการณ์ราคาที่ดินที่ร้อนแรงนี้เอง ทำให้ลีสโฮลด์ หรือ การเช่ากรรมสิทธิ์ระยะยาว กลายเป็นความหวังใหม่ของผู้ที่คิดจะเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองในราคาที่เอื้อมถึง แถมยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ไม่ต้องการมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิต

จุดแข็งที่ทำให้<a href="http://www.bangkokbiznews.com/recommended/detail/863">ลีสโฮลด์</a>กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่มาแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์เวลานี้ คือ ทำให้คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองอยู่ในราคาที่เอื้อมถึง เพราะหากเปรียบเทียบราคาคอนโดมิเนียมแบบ<a href="https://thestandard.co/ownership/">ฟรีโฮลด์</a> หรือซื้อขาด ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD อย่าง วิทยุ หลังสวน สารสิน กับการถือครองกรรมสิทธ์แบบลีสโฮลด์ โดยมีระยะเวลาการเช่าครั้งละ 30 ปี และสามารถต่ออายุสัญญาได้อีกครั้งละ 30 ปี จะพบว่าแบบ<a href="https://realestateguruthailand.blogspot.com/2018/08/freehold-vs-leasehold.html">ลีสโฮลด์มีราคาถูกกว่าถึง 40%</a> เนื่องจากผู้ถือกรรมสิทธิ์ไม่ต้องแบกรับภาระราคาค่าที่ดินซึ่งราคาก็สูงตามดีมานด์ที่สวนทางกับซัพพลาย

<figure><img style="width: 638px; height: 711px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/483eb4b98193297a50324c4cddd4c1f2.png" alt="" width="638" height="711" /><figcaption> “ข้อดี Leasehold”</figcaption></figure>

นั่นหมายความว่า <a href="https://www.prachachat.net/advertorial/news-189144">คอนโดแบบลีสโฮลด์</a> นั้นจะช่วยให้คุณสามารถครอบครองที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง เป็นเจ้าของชีวิตที่อิสระ ลงตัวในทุกไลฟ์สไตล์ในราคาที่สบายกระเป๋าขึ้น แถมยังมีเงินเหลือสำหรับนำไปลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ให้งอกเงย หรือหากจะซื้อไว้เพื่อลงทุนในอนาคต ก็ยังคุ้มเกินคุ้ม เพราะได้เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมที่อยู่ในโลเคชั่นที่เป็นที่ต้องการ โดยจ่ายในราคาที่ถูกกว่าแบบฟรีโฮลด์ แต่ปล่อยเช่าได้ในราคาเดียวกัน จึงได้รับผลตอบแทนสูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

<img style="width: 638px; height: 338px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b3221eb8269d761665bf17445c6997ac.jpg" alt="" />

ในด้านการดูแลรักษาสภาพอาคาร ลีสโฮลด์จะมี 2 รูปแบบคือ แบบแรก ผู้พัฒนาที่ดิน (Developer) เช่าพื้นที่จากเจ้าของที่ดิน (Landlord) แล้วนำมาพัฒนาเป็นโครงการต่างๆ ซึ่งเมื่อพัฒนาเสร็จแล้วก็จะจัดตั้งนิติบุลคลเป็นผู้ดูแลโครงการต่อ หากนิติบุคคลขาดความรับผิดชอบและขาดความเป็นมืออาชีพ สภาพอาคารในระยะยาว 30 ปี ก็อาจทรุดโทรมหนักจนไม่สามารถปล่อยเช่าต่อได้อีก ทั้งในแง่ของการอยู่อาศัยและการลงทุน ส่วนอีกแบบหนึ่งคือ เจ้าของที่ดิน (Landlord) เป็นผู้พัฒนาโครงการเองจนแล้วเสร็จ และยังคงบริหารจัดการโครงการอย่างต่อเนื่อง รูปแบบที่สองนี้ เจ้าของที่ดินจะดูแลเอาใจใส่ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ไปจนถึงการบำรุงรักษาอาคาร ปลดล็อกภาระให้คนเมืองที่ต้องการอิสระในการชีวิต ไม่ต้องการมีภาระผูกพันในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ลีสโฮลด์เป็นเทรนด์ที่มาแรงและตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

ปัจจุบันจะเห็นว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งเริ่มหันมาเจาะตลาดลีสโฮลด์มากขึ้น เนื่องจากการลงทุนในตลาดลีสโฮลด์ในทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี หนึ่งในนั้นคือ บริษัท สยามสินธร จำกัด วัดได้จากความสำเร็จของ “สินธร เรสซิเดนซ์ และสินธร ต้นสน” คอนโดมิเนียมหรู คุณภาพสูงในทุกมิติ ในโครงการสินธร วิลเลจ ย่านหลังสวน แลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ ที่ปักหมุดอยู่บน<a href="https://www.gmlive.com/leasehold-hongkong-singapore-city-development-to-thai-sindhorn-condo">ไพรม์แอเรียที่หาไม่ได้อีกแล้ว</a>ในราคาที่เอื้อมถึง มีรูปแบบการเช่าแบบลีสโฮลด์ ระยะเวลาการเช่าครั้งละ 30 ปี และสามารถต่อสัญญาได้อีกครั้งละ 30 ปี ซึ่งสยามสินธรเป็นผู้บริหาร ดูแล และบำรุงรักษาอาคารเองตลอดระยะเวลา มั่นใจได้ว่าอาคารจะอยู่ในสภาพดี สวยงาม มีการรักษาบำรุงอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีได้ตลอดเวลา ตอบโจทย์ทั้งผู้ที่เลือกอยู่อาศัยและสำหรับการลงทุน

<img style="width: 638px; height: 319px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/45aed0b79ecff01d2144aeeff8bc7313.jpg" alt="" />

สัมผัสสุนทรียภาพของการอยู่อาศัยใจกลางเมือง ในราคาที่ไม่ไกลเกินฝันได้แล้ววันนี้ที่สำนักงานขายโครงการสินธร วิลเลจ ณ อาคารสินธร 1 ชั้น 2 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-650-9595 ถึง 6 หรือเว็บไซต์ <a href="http://www.sindhornresidence.com">www.sindhornresidence.com</a> และ <a href="http://www.sindhorntonson.com">www.sindhorntonson.com</a>

'ลีสโฮลด์' เทรนด์ใหม่ของการใช้ชีวิตใจกลางเมืองที่ใครๆ ก็เอื้อมถึง

<h2>เอสซี แอสเสท ประกาศร่วมทุนเปิด บริษัท สโคป จำกัด ดึง “ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์” มือพัฒนาคอนโดฯ ชื่อดังนั่งแท่นซีอีโอ ประเดิมโครงการเรือธงแห่งแรกบนที่ดินหลังสวน ราคาที่ดิน 3.18 ล้านบาท/ตารางวา แพงที่สุดในประเทศไทยขณะนี้</h2>
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ประกาศการร่วมทุนครั้งสำคัญ เปิดบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บริษัท สโคป จำกัด ดึง ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท สโคป จำกัด ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2560 ว่า SC ถือหุ้นในสัดส่วน 90% และ มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ อีก 10 %

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การรุกเปิดบริษัทร่วมทุนใหม่ครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถสำหรับการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยแนวสูง ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป มีรสนิยมแตกต่างกัน มีอัตลักษณ์ชัดเจนมากขึ้นในแต่ละบุคคล และนี่คือการ Synergy ผนึกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e451f1be570bab6975702fce6da608df.png" alt="" width="350" height="512" /><figcaption> ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์</figcaption></figure>

“บริษัท สโคป จำกัด เป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูง ประกอบไปด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพ ภายใต้การนำของซีอีโอมากความสามารถ ที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องการปั้นสินค้าคอนโดมิเนียมที่สร้างความตื่นเต้นให้ตลาดเมืองไทยตลอดมา มีความถนัดในตลาดที่มีไลฟ์สไตล์พิเศษเฉพาะตัวสูงในทุกระดับราคา ขณะที่เอสซี แอสเสท ก็มีความโดดเด่นในเรื่องสินค้าคุณภาพและบริการหลังการขาย ตลอดจนความมั่นคงทางด้านสถานะทางการเงิน จึงทำให้การ synergy ครั้งสำคัญนี้ จะส่งผลบวกต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งรายได้และกำไรสุทธิ” ณัฐพงศ์กล่าว

โครงการแรกที่จะพัฒนาโดย บริษัท สโคป จำกัด ตั้งอยู่บนที่ดินในซอยหลังสวน ตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอี ใกล้เซ็นทรัลชิดลม ที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตารางวา ซึ่งเอสซี แอสเสท ชนะการประมูลด้วยมูลค่าที่ดิน 2,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางวาละ 3.18 ล้านบาท

ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ มีความมั่นใจในโครงการที่จะเปิดใหม่นี้ ว่าจะสร้างความฮือฮาแก่ตลาดได้อย่างแน่นอน  ปัจจุบันอยู่ระหว่างวางแผนพัฒนาและคาดว่าจะเปิดตัวช่วงต้นปี 2562

ทั้งนี้ ที่ดินแปลงตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอีแห่งนี้ถือเป็นที่ดินราคาเฉลี่ยแพงที่สุดในไทยที่มีการซื้อขาย ทุบสถิติแชมป์เก่าคือที่ดินเนื้อที่ 23 ไร่ของสถานทูตอังกฤษบนถนนวิทยุที่ กลุ่มเซ็นทรัล เป็นผู้ชนะประมูลในราคาเฉลี่ยตารางวาละ 2.1 ล้านบาท

เอสซี แอสเสท ตั้งบริษัทร่วมทุน ‘สโคป’ พัฒนาที่ดินแพงที่สุดในประเทศไทยในซอยหลังสวน

<h2>สินธร เรสซิเดนซ์ หนึ่งในโครงการนำร่องของ สินธร  วิลเลจ ประกาศความพร้อมสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่</h2>
โดย ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท สยามสินธร จำกัด เผยความคืบหน้าของ สินธร เรสซิเดนซ์ โครงการมูลค่าราว 4.6 พันล้านบาท (ไม่รวมที่ดิน) ที่ประกอบด้วย 2 อาคาร สูง 35 ชั้น และ 10 ชั้น รวมทั้งหมด 202 ยูนิต ตั้งแต่ขนาด 35-345 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 2.4 แสนบาท ว่า ขณะนี้มียอดขายกว่า 75% และเปิดให้ลูกค้าทยอยรับมอบห้องแล้ว ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวไทย 95% และชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น 5% เน้นลูกค้าที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเอง เพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นชุมชนให้เกิดขึ้น

ขจรเดช เผยถึงจุดเด่นของ สินธร เรสซิเดนซ์ ว่า นอกจากจะตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านหลังสวน ซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลทองของกรุงเทพฯ ยังอยู่ที่การแวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียว 14 ไร่ ของ สินธร วิลเลจ ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกปลอดโปร่ง ทั้งยังตั้งอยู่ใกล้ย่านธุรกิจ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานีรถไฟฟ้า ฯลฯ เอื้อให้ใช้ชีวิตสะดวกขึ้น

ส่วนตัวอาคารเป็น “กรีน บิลดิ้ง” ออกแบบโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม โครงสร้างอาคารได้รับการออกแบบให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวรุนแรงสูงสุดในภูมิภาคที่อาจเกิดขึ้น ยกพื้นโครงการเพื่อป้องกันน้ำท่วม และออกแบบผนังห้องให้ลดโอกาสการลุกลามของไฟในกรณีเกิดเพลิงไหม้

“แม้โครงการสินธร เรสซิเดนซ์ จะเป็น leasehold ระยะเวลา 30 ปี แต่สามารถต่ออายุสัญญาเช่าได้อีก 30 ปี ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการซื้ออสังหาฯ เราไม่ได้ทำโครงการขึ้นมาแข่งกับใคร เพราะถ้าแข่งคงไม่ทำคุณภาพขนาดนี้ สยามสินธรเน้นการทำโครงการที่เป็นต้นแบบอสังหาฯ ของประเทศไทย คือคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนากับชุมชนโดยรวม ซึ่งจะสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน” กรรมการบริหาร สยามสินธร กล่าวหนักแน่น

<img style="width: 350px; height: 525px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3b4eb1625ffc6f291b23537ad3537fb0.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f8a739f9360b94d0a45816cb80228160.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5d88a71deee3c5bfbe2023a6831c23c8.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a446cabf954a265ac3ea00a9ca076d5c.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/df01ff525ecc8e93c6a9593a2d4eed6d.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/766fb800efe9a6065ed4918c5447aa68.png" alt="" />

“สินธร เรสซิเดนซ์” ตอกย้ำความพร้อมผู้นำอสังหาฯ ซูเปอร์ลักชัวรี่

ไม่ถึง 200 เมตร จากปากซอยหลังสวน 6 ที่เชื่อมต่อกับซอยต้นสน เคยเป็นที่ตั้งของ Paesano ร้านอาหารอิตาเลียนอายุเกือบ 4 ทศวรรษ เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย ถูกใช้เป็นสถานที่นัดประชุม 6 หัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อหารือถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในปี 2551 จนกลายเป็นชนวนให้มวลชนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน ก่อเป็นวิกฤตการเมืองที่ยืดเยื้อจนถึงปัจจุบัน 
&nbsp; 
แต่ปัจจุบัน ร้านในตำนานแห่งนี้กลายเป็นซากอิฐ กองปูน เช่นเดียวกับอาคารบ้านเรือนที่มีประวัติศาสตร์เฉพาะตัวจำนวนไม่น้อยในซอยต้นสนและบางส่วนของถนนหลังสวน ภายหลัง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เจ้าของที่ดินเข้าขอคืนพื้นที่ แล้วมอบหมายให้ บริษัท สยามสินธร จำกัด บริษัทลูกที่สำนักงานทรัพย์สินฯถือหุ้น 100% เข้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่และโรงแรม บนพื้นที่ 52+4 ไร่ ใช้ชื่อว่า &ldquo;หลังสวน วิลเลจ&rdquo; ที่มีมูลค่าโครงการไม่รวมที่ดินและค่าก่อสร้างโรงแรม 2.3 หมื่นล้านบาท เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ สำนักงานทรัพย์สินฯ ที่เปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเจ้าที่ดินให้เช่ามาเป็นนักพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เอง 
&nbsp; 
หลังสวน วิลเลจ วางแนวคิดในการพัฒนาให้เป็น &ldquo;โครงการที่พักอาศัยที่ดีที่สุดกลางใจเมืองมีคุณภาพสูงในทุกมิติของการพัฒนาอย่างมีคุณธรรม&rdquo; ไม่มุ่งเน้นกำไรสูงสุด แต่เน้นประโยชน์ส่วนรวม มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 1,700 หน่วย ประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียมสัญญาเช่า 30 ปี 6 อาคาร (2 ใน 6 อาคาร ความสูง 29 ชั้น และ 6 ชั้น จะตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ หลังโรงเรียนมาแตเดอี) และ เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ 3 อาคาร โรงแรม 1 อาคาร ศูนย์บริการสุขภาพ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ สลับกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ในลักษณะเปิดโล่ง ตลอดจนมีถนนคนเดินขนานไปกับถนนหลังสวน โดยการก่อสร้างจะทยอยแล้วเสร็จระหว่างปี 2559-2562 
&nbsp; 
&ldquo;เราไม่ใช่เถ้าแก่ เราเป็นลูกจ้างมาทำโครงการดีๆ&rdquo; ชลาลักษณ์ บุนนาค CEO ของ บริษัท สยามสินธร จำกัด และวิศวกรวัย 65 ปี ลูกหม้อ SCG ที่มีสำนักงานทรัพย์สินฯเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ กล่าวกับ Forbes Thailand เขาชวนลูกหม้อที่ SCG อีก 2 คน มาร่วมงานด้วยในตำแหน่ง กรรมการบริหาร คือ ขจรเดช แสงสุพรรณ และ ปราโมทย์ เตชะสุพัฒน์กุล 
&nbsp; 
&ldquo;จุดบวกของโครงการคือ เราไม่ต้องการ maximize profit เราต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ของการออกแบบ ก่อสร้าง ใจกว้างให้สังคม เป็นมิตรกับชุมชน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม&rdquo; ชลาลักษณ์เสริมระหว่างการสนทนาบนชั้น x ของอาคารสินธร ทาวเวอร์ บนถนนวิทยุ ไม่ไกลจากโครงการหลังสวน วิลเลจ 
&nbsp; 
หลังแถลงข่าวเปิดตัวโครงการไปเมื่อกลางปีที่แล้ว งานก่อสร้างโดยบริษัท นันทวัน จำกัด (ซึ่งบริษัทลูกของสำนักงานทรัพย์สินฯถือหุ้น 10%) เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว รั้วสังกะสีสูง 3-5 เมตร กั้นเป็นทางยาวกว่า 400 เมตร ตั้งแต่ซอยหลังสวน 2 จนถึงซอยหลังสวน 6 มีรถบรรทุกและรถขนปูนวิ่งสวนกันไปมาอย่างคึกคัก โดยเครนยักษ์ 3 ตัวทำงานตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะซอยหลังสวน 1 ฝั่งซอยต้นสน ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของอาคาร &ldquo;สินธร เรสซิเดนซ์&rdquo; คอนโดมิเนียม นำร่องของหลังสวน วิลเลจที่ประกอบไปด้วยอาคาร ความสูง 34 ชั้น และ อาคาร 10 ชั้น ด้วยขนาดห้องพัก 35-345 ตารางเมตร โดยมีราคาเริ่มต้น ณ ปัจจุบันที่ 220,000 บาท/ตร.ม.สำหรับสิทธิอยู่อาศัย 30 ปี และสิทธิที่จะต่อสัญญาเช่าไปอีกทีละ 10 ปี รวม 30 ปี มียอดขายแล้ว 60% มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ-พร้อมเข้าอยู่ ในปลายปี 2559 
&nbsp; 
อีกความภูมิใจของผู้บริหารสยามสินธรต่อโครงการนี้ คือวิธีการ &ldquo;ขอคืนพื้นที่&rdquo; ที่สำนักงานทรัพย์สินฯ เคยมีข้อพิพาทกับชาวบ้านซึ่งเป็นผู้เช่ารายเดิมในหลายพื้นที่ แต่สำหรับ &ldquo;หลังสวน วิลเลจ&rdquo; ผู้บริหารโครงการบอกว่า การส่งสัญญาณขอคืนพื้นที่จากผู้เช่า 239 แปลงที่จ่ายค่าเช่ารวม 52 ไร่เป็นเงิน 1 แสนบาทต่อปี (ตารางวาละ 5 บาท) เริ่มตั้งแต่ปี 2543 โดยสำนักงานทรัพย์สินฯเปลี่ยนการต่อสัญญาเช่าจากทีละ 3 ปี&nbsp; เป็นปีต่อปี แล้วเริ่มเจรจาขอพื้นที่คืนในปี 2553 ผู้เช่าส่วนใหญ่ต่างทยอยส่งมอบพื้นที่คืนหลังหมดสัญญา ไม่มีการไล่ที่ ขณะที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้เสนอความช่วยเหลือในหลายรูปแบบ เช่น จ่ายเงินช่วยเหลือเป็นค่าขนย้ายในอัตรา 40,800 บาท/ตารางวา หากเป็นผู้เช่าแบบพักอาศัยจะได้รับข้อเสนอให้ย้ายไปอยู่ต้นสน คอร์ท ในสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี หรือสามารถใช้สิทธิจองโครงการที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ในราคาพิเศษก่อนประชาชนทั่วไป 
&nbsp; 
เวลานี้ยังเหลือผู้เช่าบางรายที่ยังไม่ได้ส่งมอบพื้นที่คืน เช่น อาคารหลังสวน บัลโคนี เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ บริเวณปากซอยหลังสวน 7 ที่อยู่ระหว่างแจ้งให้ผู้ประกอบการบางรายย้ายออก ก่อนส่งคืนพื้นที่ราวต้นปีหน้า เช่นเดียวกับบ้านพัก คอนโดฯ และอาคารสำนักงานหลายหลัง ระหว่างซอยหลังสวน 7 จนถึงถนนสารสินที่กำลังทยอยส่งคืนพื้นที่ให้สำนักงานทรัพย์สินฯ 
&nbsp; 
&ldquo;ที่ 200 กว่าแปลง ถ้าไม่รวบรวมเป็นผืนใหญ่ผืนเดียว ก็จะไม่สามารถสร้าง mass impact ได้&rdquo; ขจรเดชกล่าวเสริม สำหรับที่ดินที่รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวของสถานทูต สวนลุมพินี และนับเป็นย่านที่มีราคาแพงที่สุดย่านหนึ่งของกรุงเทพฯ โดย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) ประเมินเมื่อปีที่แล้วว่า ราคาอยู่ที่ตารางวาละ 1.65 ล้านบาท หรือไร่ละ 660 ล้านบาท เพราะมีรถไฟฟ้าบีทีเอสผ่านและอยู่ในย่านศูนย์การค้า และมีโอกาสที่จะเพิ่มเป็นตารางวาละ 2 ล้านบาท หรือไร่ละ 800 ล้านบาท ก่อนสิ้นปีนี้ และจะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้บริหารของ สยามสินธรมองว่าพื้นที่รอบวิทยุ หลังสวน สวนลุมพินี จะกลายเป็น ย่านพักหรู ร่มรื่นของมหานคร ไม่ต่างจาก Central Park ใน New York หรือ Hyde Park ใน London 
&nbsp; 
&ldquo;หลังสวน วิลเลจ&rdquo; จึงเป็นโครงการระดับเพชรยอดมงกุฎ ที่ไม่เพียงน่าจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับสำนักงานทรัพย์สินฯ ยังอาจช่วยปรับภาพลักษณ์จากเหตุขัดแย้งกับชาวบ้าน หลังเข้าขอคืนพื้นที่เพื่อส่งมอบให้เอกชนเข้าพัฒนา ในหลายกรณีตลอดทศวรรษที่ผ่านมา 
<hr />
อ่าน LEADERBOARD: ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (คลิ๊กที่ภาพ) 
 
<a href="http://www.forbesthailand.com/leader_inside.php?leaderboard_id=13"><img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="390" src="/uploads/userfiles/images/april%202015/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/41000%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%88-edit-4.jpg" width="760" /></a> 
<div id="stcpDiv" style="position: absolute; top: -1999px; left: -1988px;">
	ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์</div>
<hr />
<a href="http://goo.gl/htNnWW">อ่าน Forbes Thailand ฉบับ APRIL 2015 ในรูปแบบ E-Magazine และฉบับย้อนหลังได้ที่นี่</a>

“หลังสวน วิลเลจ” แนวทางใหม่ของการพัฒนาที่ดินแบบสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

41,000 ไร่ คือที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยที่ดินส่วนใหญ่ถูกกระจายออกไปสู่กับ ผู้เช่าเชิงพาณิชย์, หน่วนงานราชการและรัฐวิสาหกิจ และ ผู้เช่ารายย่อย

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events