<h2>​บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โชว์ศักยภาพผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง จัดบิ๊กอีเว้นต์ Urban Caravan ครั้งที่ 2 @ Terminal 21 ระหว่างวันที่ 27-30 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา กระแสตอบรับดีเกินคาด มั่นใจกำลังซื้อเรียลดีมานด์ฟื้นตัว </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กำลังซื้อกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริงกำลังฟื้นตัว ผู้ซื้อเริ่มมีความมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจมากขึ้น หลายสัญญาณในช่วงนี้บ่งบอกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นอย่างเต็มรูปแบบ รวมไปถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งเริ่มเห็นภาพความคึกคักจากการจัดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ นำเสนอที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะพื้นที่ในเมืองที่ชีวิตเริ่มกลับมามีสีสันมากขึ้น&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/xsw2kKCJ7fr1wnAfq9h3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xsw2kKCJ7fr1wnAfq9h3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เห็นได้จากความสำเร็จของการจัดอีเว้นท์ใหญ่เอาใจคนเมือง Urban Caravan ครั้งที่ 2 @ Terminal 21 ระหว่างวันที่ 27-30 มิถุนายน 2566&nbsp;ที่ผ่านมา ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดลูกค้าเข้าชมและซื้อคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นงานที่มีสีสันที่สุด ที่ตั้งใจจัดให้คนเมืองมาใช้ชีวิต ซึ่งกิจกรรมนี้ถือว่าเป็นโอกาสและช่วงเวลาที่ดีของผู้ซื้อที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่อย่างแท้จริงทั้งด้านความคุ้มค่าและคุ้มราคา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พงศ์อนันต์ สุขเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับการจัดงาน Urban Caravan ครั้งที่ 2 @ Terminal 21 ในครั้งนี้ เป็นการนำเสนอสินค้าที่ดีและมีคุณภาพพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ ครบทุกเซกเม้นท์ ที่สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ทันที พร้อมการนำเสนอห้องรูปแบบใหม่ “The all new collection” ได้ทุกอย่างตามที่เห็น เพื่อสร้างความแตกต่าง และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลายในทุกมิติได้ดียิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงการมอบโปรโมชั่นที่รู้ใจคนเมือง ที่รวมไว้ครบทุกความต้องการในงานเดียว กับ 26 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า* แต่งครบ* เฟอร์นิเจอร์แน่น* ได้อย่างที่เห็น* บ้านพร้อมอยู่ ย้ายเข้าอยู่ได้ทันที* และโปรฯ คุ้มการลงทุน* ภายใต้แบรนด์คุณภาพ แบรนด์คอนโดมิเนียมได้แก่ แอชตัน โคโค่ พาร์ค ไอดีโอ คิว ไอดีโอ โมบิ ไอดีโอ เอลลิโอ ยูนิโอ และโครงการแนวราบแบรนด์ แอริ เอโทล อันดา เออร์บานิโอ และ ยูนิโอ ทาวน์ ทั้งนี้ ได้รับการตอบรับอย่างน่าพอใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนเมืองซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของอนันดาฯ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/ufzReE4uFa3TCwGpQQCS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ufzReE4uFa3TCwGpQQCS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87" alt="ลุ้นปัจจัยการเมือง-เศรษฐกิจ แบงก์ชาติห่วงหนี้ครัวเรือนพุ่ง">ลุ้นปัจจัยการเมือง-เศรษฐกิจ แบงก์ชาติห่วงหนี้ครัวเรือนพุ่ง</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

อนันดาฯ มั่นใจตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว หลังจัดงาน Urban Caravan ครั้งที่ 2 

อนันดาฯ ปรับแผนเพิ่มแกร่งขยายแหล่งรายได้ใหม่ เล็งผุดมิกซ์ยูสร่วมกับบีทีเอส

อนันดาฯ หั่นกำไร 4 โครงการใหม่ท้ายปี’62 ทำราคาสู้ภาวะตลาด

<h2>Seekster สตาร์ทอัพผู้บริการจัดหาแม่บ้าน-ช่างซ่อมคว้าดีลพันธมิตรใหม่ "อนันดาฯ" ช่องทางเข้าถึงลูกค้าผู้อยู่อาศัยในคอนโดฯ 5 หมื่นยูนิต วางเป้าปี 2561 ขยายสู่หัวเมืองต่างจังหวัด เพิ่มยอดขายเท่าตัว</h2>
สเฮ็บ อนันต์ทรงวิทย์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Seekster (ซีคสเตอร์) สตาร์ทอัพผู้ให้บริการจัดหาแม่บ้านและช่าง เปิดเผยว่า Seekster ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ Seekster ได้เป็นผู้จัดหาแม่บ้านและช่างซ่อมแก่ลูกบ้านในโครงการของอนันดาฯ ซึ่งมีกว่า 5 หมื่นยูนิต และได้รับองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาต่อไป

ด้าน ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นว่า Seekster จะเป็นผู้มาเติมเต็มความต้องการของลูกค้าอนันดาฯ ซึ่งต้องการแม่บ้านและช่าง และยังเป็นแพลตฟอร์มที่ต่อยอดการให้บริการแก่ลูกค้าอนันดาฯ ที่เป็นผู้อยู่อาศัยในเมืองได้อีกหลายรูปแบบในอนาคต ตามเป้าหมายการเป็น Urban Tech ของบริษัท จึงสนใจที่จะทำงานร่วมกัน

โดยอนันดาฯ เป็นเสมือนพี่เลี้ยงพร้อมให้พื้นที่สำหรับ Seekster ได้ทดลองบริการต่างๆ และไม่ได้ปิดกั้นการทำงาน Seekster สามารถเป็นพันธมิตรกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ได้อีกในอนาคต

<img style="width: 680px; height: 450px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fc94a5085164324b0d5ea0447dc97dbd.jpg" alt="" />

สเฮ็บ กล่าวต่อว่า สำหรับ Seekster เป็นสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งเมื่อปี 2558 และเปิดบริการเต็มรูปแบบเมื่อเดือนมกราคม 2559 ก่อนจะได้รับเงินลงทุนรวม 10-15 ล้านบาทในรอบระดมทุน Seed Stage จาก 3 ผู้ลงทุนหลัก ได้แก่ 500 TukTuks, ดีแทค แอคเซอเลอเรท และ DV ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ปัจจุบัน Seekster มีแม่บ้านและช่างในระบบ 3,500 คน ได้รับคำสั่งเรียกใช้บริการราว 5,000-6,000 งานต่อเดือน คาดว่าปี 2560 นี้จะมียอดขายเฉลี่ย 3.5 ล้านบาทต่อเดือน โดยบริษัทได้รับรายได้เป็นค่านายหน้า 10-30% ของยอดขาย

สเฮ็บ เปิดเผยว่า จากการเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพทั้ง ดีแทค แอคเซอเลอเรท batch 5 และ DV batch 0 ทำให้ Seekster มีโมเดลธุรกิจที่คมชัดขึ้น มุ่งเน้นการบริการแม่บ้านและช่างเป็นหลัก จากเดิมเมื่อแรกก่อตั้งมีบริการทุกอย่างทั้งกลุ่มทำความสะอาด ซ่อมแซม ความงาม ไปจนถึงติวเตอร์กวดวิชา

<figure><img style="width: 340px; height: 500px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/97c8f580a7496f309f72fbe32946dda2.jpg" alt="" width="340" height="500" /><figcaption> สเฮ็บ อนันต์ทรงวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหนึ่งในสามผู้ก่อตั้ง Seekster</figcaption></figure>

และเมื่อ 7 เดือนก่อนได้เบนเข็มจากการทำธุรกิจแบบ B2C มุ่งลูกค้ารายย่อย เป็นการทำธุรกิจ B2B โดยเริ่มจากเจาะตลาดกลุ่มสำนักงานขนาดเล็กของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ก่อน เสนอทางเลือกให้ลูกค้าเปลี่ยนจากการจ้างแม่บ้านแบบเต็มเวลาซึ่งคิดค่าใช้จ่าย 9,000-12,000 บาท/เดือน มาเป็นการจ้างงานแบบรายครั้งกับ Seekster ตามความจำเป็นแท้จริง ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ 20%

ทำให้ปัจจุบันยอดขาย 40% มาจากธุรกิจแบบ B2B ซึ่งมีการใช้ซ้ำสูง 85% และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 80% ในปี 2561 จากการเริ่มรุกตลาดจับมือกับบริษัทอสังหาฯ อย่างอนันดาฯ และดีเวลลอปเปอร์อีก 2 รายที่กำลังจะเป็นพันธมิตรในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ยังมุ่งเจาะตลาด SMEs ที่เป็นเจ้าของห้องเช่าให้เช่าผ่านแพลตฟอร์ม Airbnb และ Agoda Home สามารถเลือกใช้ Seekster ในการทำความสะอาดห้องพักให้เช่า ส่วนแผนในอนาคต คาดว่าจะขยายไปสู่กลุ่มโรงแรมได้ จากปัจจุบันเริ่มมีความร่วมมือกับเชนโรงแรมบูทิค เช่น KoKotel

<figure><img style="width: 680px; height: 550px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fb4956fed9ae803f9bb559191b0887ef.jpg" alt="" width="680" height="550" /><figcaption> ตัวอย่างบริการของ Seekster บนหน้าแอพพลิเคชั่น</figcaption></figure>

สเฮ็บ กล่าวต่อไปว่า เชื่อว่าปี 2561 บริษัทจะเร่งยอดขายเป็นเท่าตัวได้ เพิ่มเป็นประมาณ 7 ล้านบาทต่อเดือน จากการเน้นธุรกิจ B2B ดังกล่าว และการขยายพื้นที่ให้บริการไปยังต่างจังหวัด เริ่มจากจ.ชลบุรี ภายในไตรมาส 1 ปีหน้า และจะทยอยขยายไปหัวเมืองต่างๆ เช่น เชียงใหม่ รวมถึงการเพิ่มจำนวนผู้ให้บริการ (แม่บ้านและช่าง) จาก 3,500 คนเป็น 15,000 คน ทำให้เป็นอันดับ 1 ในตลาดจัดหาบริการแม่บ้านและช่าง

"เงินลงทุนที่ได้มาจะนำมาพัฒนาทั้งเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นให้ใช้งานได้ดีทั้งฝั่งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ และจะนำมาสร้างศูนย์ฝีกหัดแม่บ้านและช่างให้มีคุณภาพเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในมาตรฐานของ Seekster

จุดเริ่มต้นเราอาจจะมาจากลักษณะของ marketplace คือเป็นพื้นที่จับคู่ระหว่างแม่บ้านกับคนรับบริการ แต่เราเป็นแค่นั้นไม่ได้ ตอนนี้เราไม่ใช่เพียงแค่ marketplace เราคือผู้จัดหาบริการที่ต้องตรวจสอบประวัติและควบคุมคุณภาพ อย่างการฝึกหัดช่างล้างแอร์ก็มีการติดต่อซัยโจเด็นกิแล้ว เพื่อร่วมมือกันในการฝึกหัดช่าง" สเฮ็บกล่าว

ทั้งนี้ สมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท หนึ่งในผู้ร่วมลงทุนใน Seekster กล่าวว่า ดีแทคเล็งเห็นอนาคตของ Seekster ที่สามารถเข้าถึงชาวไทยได้กว่า 40 ล้านคนทั่วประเทศ และยังขยายไปในอาเซียน เช่น เมียนมา มาเลเซีย ที่มีความต้องการบริการเหล่านี้เช่นกัน คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการอีก 20 ล้านคน รวมเป็น 60 ล้านคนนี้คือกลุ่มลูกค้าคาดหวังที่เป็นไปได้ของ Seekster

Seekster จับมืออนันดาฯ เจาะลูกบ้านคอนโดฯ 5 หมื่นยูนิต วางเป้าเบอร์ 1 ตลาดจัดหาบริการแม่บ้าน-ช่าง

<h2>ไตรมาส 2/60 อนันดาฯ ร่วมทุนญี่ปุ่น มิตซุย ฟูโดซัง เปิดตัว 5 โครงการระดับกลางถึงไฮเอนด์ มูลค่ารวม 21,700 ล้านบาท คาดหวังยอดขายไตรมาสนี้เกินเป้า 7,300 ล้าน โชว์ผลงานสต็อกคอนโดฯสร้างเสร็จเหลือขายต่ำ</h2>
ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) แถลงแผนการดำเนินงานของบริษัทไตรมาส 2 ปี 2560 ว่า อนันดาฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 21,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมด ทำให้อนันดาฯและมิตซุย ฟูโดซังมีการพัฒนาโครงการร่วมกันแล้วรวม 18 โครงการ มูลค่า 81,000 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังจะมีการลงทุนร่วมกันอีก 4 โครงการ

สำหรับยอดขายไตรมาส 2/60 บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 7,300 ล้านบาท คาดว่าจะมียอดขายมากกว่าเป้า เนื่องจากบริษัทเตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกระตุ้นดีมานด์ของผู้บริโภค ANANDA URBAN PULSE ในวันที่ 22-25 มิถุนายนนี้ ที่สยามพารากอน ซึ่งจะนำคอนโดมิเนียม 22 โครงการ ทั้งโครงการใหม่ ระหว่างก่อสร้าง และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ นำเสนอภายในงาน เชื่อว่าจะทำให้มียอดขายสูงขึ้นก่อนสิ้นไตรมาสนี้

ด้าน คมสัน อัตถพลพิทักษ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ ของอนันดาฯ เปิดเผยว่า ปี 2560 อนันดาฯ มีแผนเปิดตัวโครงการ 17 โครงการ มูลค่ารวม 43,000 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ของตลาดอสังหาฯไทย ซึ่งการเปิดตัวโครงการเป็นไปตามดีมานด์ตลาดสามารถขายและโอนได้จริง โดยบริษัทมีอัตราการยกเลิกสัญญา (cancel) น้อยกว่า 1%

และมีสต็อกคอนโดฯสร้างเสร็จเหลือขายประมาณ 3,000 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากคอนโดฯ ของอนันดาฯ 99.4% สามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ภายใน 3 ปีนับจากวันเปิดตัว หรือประมาณไม่เกิน 1 ปีหลังจากสร้างเสร็จ

ชานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ บริษัทมีการพัฒนาเทคโนโลยี เปิดระบบจองซื้อออนไลน์ไปเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 โดยคัดยูนิตประมาณ 10-15% ของโครงการใหม่ 3 แห่ง คือ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่, ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 และเอลลิโอ เดล เนสท์ เข้าระบบการขายออนไลน์ ได้รับผลตอบรับที่ดีสามารถปิดการขายได้ 80% ของยูนิตที่เปิดขายออนไลน์ ถือเป็นความสำเร็จหลังจากเมื่อปีก่อนระบบการจองซื้อออนไลน์มีปัญหาในวันเปิดขาย คาดว่าอนาคตจะมีการผลักดันช่องทางขายนี้มากขึ้น

&nbsp;
<h2>รายละเอียด 5 โครงการใหม่ อนันดาฯ</h2>
1.ไอดีโอ คิว วิคตอรี่

<img style="width: 680px; height: 352px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ba539d0d77ae88081f2dfc65e2c1485.png" alt="" />
<ul>
 	<li>มูลค่าโครงการ 3,089 ล้านบาท</li>
 	<li>บนถนนพญาไท ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ ใกล้ศูนย์การค้าเซ็นจูรี่</li>
 	<li>พื้นที่โครงการ 1 ไร่</li>
 	<li>จำนวน 348 ยูนิต</li>
 	<li>เริ่ม 5.59 ล้านบาท</li>
 	<li>ราคาเฉลี่ย 2.3 แสนบาท/ตร.ม.</li>
 	<li>ไฮไลต์: ดีไซน์ตึกแบบใหม่ได้วิวแบบห้องมุมทุกห้อง อยู่พ้นแนวเขต 300 เมตรจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ซึ่งห้ามก่อสร้างตึกสูงพอดี ทำให้ได้วิวเปิดโล่งไม่มีตึกสูงบดบัง</li>
</ul>
2.ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/09206f17b3b099cd575ded7168626090.png" alt="" />
<ul>
 	<li>มูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท</li>
 	<li>ซอยสุขุมวิท 36 450 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ</li>
 	<li>พื้นที่โครงการ 2 ไร่</li>
 	<li>จำนวน 449 ยูนิต</li>
 	<li>เริ่ม 6.49 ล้านบาท</li>
 	<li>ราคาเฉลี่ยต่ำกว่า 2 แสนบาท/ตร.ม.</li>
 	<li>ไฮไลต์: ราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทำเลซึ่งอยู่ที่ 2.47 แสนบาท/ตร.ม. ตกแต่งเน้นเป้าหมายผู้เช่าญี่ปุ่น</li>
</ul>
3.เอลลิโอ เดล เนสท์
<ul>
 	<li>มูลค่าโครงการ 5,097 ล้านบาท</li>
 	<li>ซอยสุขุมวิท 103 750 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อุดมสุข</li>
 	<li>พื้นที่โครงการ 10 ไร่</li>
 	<li>จำนวน 1,470 ยูนิต</li>
 	<li>เริ่ม 2.29 ล้านบาท</li>
 	<li>ราคาเฉลี่ย 95,000 บาท/ตร.ม.</li>
 	<li>ไฮไลต์: คอนโดฯ พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่แห่งใหม่ที่เปลี่ยนจากตึกเตี้ยเป็นตึกสูง 23-35 ชั้น</li>
</ul>
4.แอชตัน อโศก-พระราม 9 
<ul>
 	<li>มูลค่าโครงการ 6,256 ล้านบาท</li>
 	<li>หัวมุมแยกถนนอโศก-ดินแดงตัดถนนดินแดง (ตรงข้ามฟอร์จูนทาวเวอร์) 230 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า MRT พระราม 9</li>
 	<li>พื้นที่โครงการ 3 ไร่</li>
 	<li>จำนวน 593 ยูนิต</li>
 	<li>เริ่ม 6.49 ล้านบาท</li>
 	<li>ราคาเฉลี่ย N/A</li>
 	<li>ไฮไลต์: คอนโดฯเกรดเอในย่านนิวซีบีดี หน้ากว้างติดถนนใหญ่ 200 เมตร</li>
</ul>
5.ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b66b488cc387d5aabebf26313aa4f227.png" alt="" />
<ul>
 	<li>มูลค่าโครงการ 2,955 ล้านบาท</li>
 	<li>ถนนรามคำแหง แยกรามคำแหง-พระราม 9 380 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า MRT รามคำแหง 12 (รถไฟฟ้าสายสีส้ม) และ 800 เมตรจากสถานี ARL รามคำแหง</li>
 	<li>พื้นที่โครงการ 4 ไร่</li>
 	<li>จำนวน 994 ยูนิต</li>
 	<li>เริ่ม 1.99 ล้านบาท</li>
 	<li>ราคาเฉลี่ย N/A</li>
 	<li>ไฮไลต์: ใกล้เดอะ มอลล์ รามคำแหง ออกแบบห้องชุดความสูงฝ้าถึงเพดาน 2.8-4.5 เมตร</li>
</ul>

อนันดาฯ Q2/60 บุกเปิด 5 โครงการ ตั้งเป้าโกยยอดขาย 7,300 ล้านบาท

<h2>กรณี พ.ร.บ.ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ.... หรือที่เรียกกันว่า กฎหมายภาษีลาภลอย เพื่อจัดเก็บภาษีอัตรา 5% จากการซื้อขายที่ดินหรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กำไรมากกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างร่างกฎหมายเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็วๆ นี้</h2>
ต่อเรื่องนี้ ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กล่าวภายในงานแถลงข่าวแผนการดำเนินงานไตรมาส 2 ของอนันดาฯ โดยชานนท์ได้ให้ความเห็นต่อการจัดเก็บภาษีนี้ในเชิงที่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากมองว่าจะเป็นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ภาระภาษีดังกล่าวจะถูกนำไปรวมในราคาขายที่ดินของแลนด์ลอร์ด ส่งต่อเป็นต้นทุนการพัฒนาโครงการอสังหาฯ และถูกผลักไปสู่ราคาปลายทางที่ผู้บริโภคจะต้องรับภาระ

“ผู้ขายที่ดินจะมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งคนขายไม่เคยเฉือนเนื้อตัวเองอยู่แล้วแต่จะบวกค่าภาษีเพิ่มลงในราคาที่ดิน เมื่อดีเวลอปเปอร์ซื้อมาก็จะคิดเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการ เผือกร้อนนี้ก็จะถูกถ่ายไปเรื่อยๆ จนถึงคนสุดท้ายที่รับภาระคือผู้บริโภคปลายทาง

เป็นเรื่องแปลกที่เราชวนคนเมืองให้มาอาศัยใกล้รถไฟฟ้าเพื่อลดการใช้รถยนต์ที่ทำให้การจราจรติดขัด แต่วิธีการนี้ดูจะขัดกับเจตนา กลายเป็นคนที่อาศัยใกล้รถไฟฟ้าต้องจ่ายเยอะขึ้น” ชานนท์กล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ รายงานเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สังกัดกระทรวงการคลัง กำลังอยู่ระหว่างรับฟังความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายภาษีลาภลอย โดยสาเหตุที่ร่างกฎหมายขึ้นเนื่องจากรัฐบาลมีการใช้งบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า ทางด่วน ซึ่งทำให้ราคาที่ดินในบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น 100-150% ในระยะเวลา 4 ปี จึงต้องการเก็บภาษีลาภลอย

การเก็บภาษีลาภลอย จะเก็บเมื่อมีการขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน ที่อยู่อาศัย มูลค่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ในอัตราภาษีเพดานสูงสุด 5% ของมูลค่า

ส่วนระยะที่ตั้งของอสังหาฯที่ถือว่าได้รับประโยชน์จากโครงข่ายคมนาคมและเข้าข่ายการจัดเก็บภาษีลาภลอย มีการกำหนดวงรัศมีเบื้องต้น ดังนี้
<ul>
 	<li>รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง รัศมี 2.5 กม. รอบสถานี</li>
 	<li>ทางด่วนพิเศษ รัศมี 2.5 กม. จากจุดขึ้นลงทางด่วน</li>
 	<li>สนามบิน รัศมี 5 กม. นับจากแนวเขตห้ามก่อสร้างของสนามบิน</li>
 	<li>ท่าเรือ รัศมี 5 กม. จากแนวเขตที่ดินของท่าเรือ</li>
</ul>

ชานนท์ เรืองกฤตยา: เผือกร้อน ‘ภาษีลาภลอย’ จะตกกับผู้บริโภคปลายทาง

<h2>หลายองค์กรใหญ่ตั้งศูนย์บ่มเพาะ-ลงทุนสตาร์ทอัพ SCG องค์กรแถวหน้าไทยไม่ตกเทรนด์ เตรียมตั้งเวนเจอร์แคปิตอล ‘AddVentures’ อนันดาฯ ปลุกปั้น 4 สตาร์ทอัพดาวรุ่ง SCB-ดีแทค ปรับตัวต่อเนื่องเพื่ออนาคต</h2>
บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ด้านเทคโนโลยี techsauce.co จัดงานสัมมนา “เปิดมุมมององค์กรยักษ์ใหญ่ ร่วมสนับสนุนสตาร์ทอัพ” โดยมีผู้บริหารทั้งจาก เอสซีจี, บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ จำกัด ในเครือธ.ไทยพาณิชย์ และ ดีแทค แอคเซอเลอเรท ร่วมให้ข้อมูลบนเวที

โดย จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures เวนเจอร์แคปิตอลในเครือ เอสซีจี เปิดเผยบนเวทีสัมมนาว่า เอสซีจีเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาตลอด โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ 2 ประเด็นสำคัญ คือ

สินค้าที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เป็นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อลูกค้า ตัวอย่างที่ผ่านมา เช่น สินค้ากลุ่ม Elder Care เพื่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ, วัสดุที่สัมผัสอาหารได้อย่างปลอดภัย, การพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซ และอีกประเด็นคือ การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน เร่งความเร็วในการผลิตให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น สุขาเพื่อประชาชน ณ ท้องสนามหลวง ซึ่งเอสซีจีสามารถประกอบติดตั้งได้ใน 3 วัน

เป็นโจทย์ที่ให้กับพนักงานภายในองค์กรในการวิจัยและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ แต่การก่อตั้ง AddVentures ก็จะเปิดรับสตาร์ทอัพเข้ามาร่วม แต่ยังต้องเป็นสตาร์ทอัพที่พัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ 3 ธุรกิจหลักของเอสซีจี ได้แก่ เคมิคอล, ปูนซิเมนต์ และแพคเกจจิ้ง หรือ 3 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในเครือเอสซีจี คือ โลจิสติกส์, เทรดดิ้ง และรีเทล

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ AddVentures จะมีขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะมีรายละเอียดทั้งหมดเพิ่มเติม

<figure><img style="width: 340px; height: 474px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/be5e6f0a32adae2712027e8f41f66f95.png" alt="" width="340" height="474" /><figcaption> จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures เวนเจอร์แคปิตอลในเครือ เอสซีจี</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>1% ก็คุ้มค่าสำหรับอนันดาฯ</h2>
ด้าน John Leslie Millar ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนากลยุทธ์ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวต่อว่า อนันดาฯ ก่อตั้ง Ananda Urban Tech เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ จากแนวคิดว่า อนันดาฯ มีพนักงานกว่า 1,000 คน แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากบนโลกที่ไม่ได้สังกัดในองค์กร ซึ่งบริษัทสามารถนำแนวคิดของบุคคลภายนอกซึ่งก็คือสตาร์ทอัพมาสร้างนวัตกรรมให้กับบริษัทได้

เป็นที่มาของการเริ่มต้น และยังเปิดพื้นที่ในออฟฟิศให้สตาร์ทอัพได้ใช้ทำงานอีกด้วย เพราะต้องการให้เกิดความคุ้นเคยระหว่างสตาร์ทอัพกับพนักงานองค์กร

“มูลค่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีปีละกว่า 1.5 แสนล้านบาท ถ้าหากสตาร์ทอัพที่คิดค้นนวัตกรรมสามารถสร้างคุณค่าให้ได้เพียงแค่ 1% ของอุตสาหกรรมก็คิดเป็นมูลค่าถึง 1,500 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเรามองว่าคุ้มค่าสำหรับสิ่งที่บริษัทจะได้กลับคืนมา เพราะการลงทุนในสตาร์ทอัพไม่ใช่งานการกุศลแต่เป็นธุรกิจ”

<figure><img style="width: 340px; height: 462px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e89ccef489fc0e74a1e7949f9d05c2db.png" alt="" width="340" height="462" /><figcaption> John Leslie Millar ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนากลยุทธ์ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์</figcaption></figure>

ทั้งนี้ Millar กล่าวกับ Forbes Thailand เพิ่มเติมว่า อนันดาฯ มีการลงทุนเกี่ยวกับสตาร์ทอัพแบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ 1.ลงทุนแบบ Fund of Funds เป็นการลงทุนร่วมกับเวนเจอร์แคปิตอลทั่วโลก 2.Corporate Venture Capital (CVC) เป็นการลงทุนโดยตรงในสตาร์ทอัพที่อนันดาฯสนใจ ซึ่งบริษัทไม่ได้ตั้งงบการลงทุนไว้อย่างชัดเจน หากพบว่าสตาร์ทอัพนั้นมีความเป็นไปได้ทางธุรกิจก็สามารถสนับสนุนได้ทันที

ปัจจุบันเริ่มเปิดตัว Ananda Urban Tech มาเพียง 4 เดือน ทำให้ยังไม่ได้เริ่มลงทุนแบบ CVC แต่มีการบ่มเพาะดูแลสตาร์ทอัพร่วมกับ บจ.ดิจิทัล เวนเจอร์ส ของธ.ไทยพาณิชย์ ที่บริษัทเปิดให้เข้าใช้พื้นที่ออฟฟิศ ซึ่ง 4 ใน 10 บริษัทสตาร์ทอัพที่บ่มเพาะอยู่มีนวัตกรรมที่ตรงกับแนวทางของอนันดาฯ กำลังศึกษาในช่วง pilot project ว่ามีความเป็นไปได้ทางธุรกิจเพียงใด

&nbsp;
<h2>SCB-ดีแทคประสานเสียง ‘ปรับเพื่ออนาคต’</h2>
สุวิชชา สุดใจ กรรมการผู้จัดการ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด เปิดเผยในงานสัมมนาว่า บทวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษา แมคเคนซี่ แอนด์ คอมพานี ชี้ว่าธุรกิจธนาคารอยู่ในอันดับ 4 ที่อาจจะถูกปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงจากเทคโนโลยี ทำให้ธ.ไทยพาณิชย์ต้องมีหน่วยงานศึกษานวัตกรรมเพื่อพัฒนางานภายในองค์กรเอง จนขยายเป็นบริษัทลูกเพื่อค้นหานวัตกรรมจากสตาร์ทอัพมาปฏิรูปภายใน

นวัตกรรมที่ไทยพาณิชย์สนใจจะเป็นด้านการเงินเป็นหลัก แต่ยังขยายเปิดกว้างถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง อาจนำมาปรับใช้ได้ เช่น AI (Artificial Intelligence: ปัญญาประดิษฐ์), Machine Learning (การเรียนรู้ด้วยเครื่อง) แต่ต้องตอบโจทย์ของไทยพาณิชย์คือ เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นองค์ประกอบในกระบวนการต่างๆ ของธนาคาร

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/cfab68309ead4177d00df5ae13dacf32.png" alt="" width="680" height="469" /><figcaption> (ซ้าย) สุวิชชา สุดใจ กรรมการผู้จัดการ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด, (ขวา) เฉลิมยุทธ บุญมา ผู้อำนวยการโปรแกรม ดีแทค แอคเซอเลอเรท</figcaption></figure>

ส่วน เฉลิมยุทธ บุญมา ผู้อำนวยการโปรแกรม ดีแทค แอคเซอเลอเรท ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งบ่มเพาะสตาร์ทอัพอยู่ 34 บริษัท โดยมีการประกวดคัดเลือกสตาร์ทอัพเข้าสู่โปรแกรมทุกปี มองว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาที่ชัดเจนจากการบ่มเพาะสตาร์ทอัพคือ การปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กร เพราะกระแสการบ่มเพาะสตาร์ทอัพจากภายนอกองค์กรของดีแทค ทำให้คนภายในเกิดตื่นตัวที่จะคิดค้นนวัตกรรมบ้าง และมีวัฒนธรรมกล้าเสี่ยง กล้าที่จะล้มเหลวมากขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ในอนาคต

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events