<h2>กรุงศรีมองปัจจัยการเมืองในประเทศมีผลกระทบต่อค่าเงินบาท แต่ไม่ได้สูงมากนัก ส่วนช่วงครึ่งหลังปี&nbsp;68 ค่าเงินบาทจะผันผวนสูงขึ้น คาดว่าไตรมาส 4 อยู่ที่ 31.75-34.00 บาท/เหรียญสหรัฐ โดยบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในไตรมาส 4/68 เพราะ Fed อาจลดดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่คาดและดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าลงจากปัจจัยกดดันอื่นๆ&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อํานวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY กล่าวว่า ค่าเงินบาทครึ่งปีหลัง 2568 จะผันผวนสูงขึ้นมาก แม้ปัจจัยหลักจะมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง แต่ปัจจัยการเมืองอาจมีผลต่อค่าเงินบาทเช่นกัน โดยวันนี้หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องถอดถอนนายกรัฐมนตรีของไทย (สั่งนายกฯ ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่) ยังส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวลดลง 10-15 สตางค์ สะท้อนว่าตลาดไม่ได้แพนิคมากนักแต่การเมืองยังคงมีผลต่อค่าเงินบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ครึ่งปีหลัง 2568 ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าถึง 31.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากความเสี่ยงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่คาด อาจปรับลด 2-3 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งหาก Fed พยายามคงไว้ อาจถูกบีบจากภาวะเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวมากขึ้นส่งผลให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ ในภายหลัง รวมถึงมีความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และผลต่อต้นทุนพลังงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ในไตรมาส 4 ปี 2568 มองว่าค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อาจจะอ่อนลง และคาดว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบกว้างที่ 31.75-34.00 บาท/เหรียญสหรัฐ บนสมมติฐานสำคัญที่ว่าสหรัฐฯ อาจลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ และปัจจัยลบของเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดโลกยังคงดำเนินต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สกุลเงินของเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่พึ่งพาการส่งออกสูง รวมถึงเงินบาท อาจอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น เงินเยน และเงินยูโร ขณะที่การค้าโลกเข้าสู่ภาวะซบเซา คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 0.25% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากระดับ 1.75% ในปัจจุบัน เพื่อประคองเศรษฐกิจซึ่งเผชิญหลากหลายความเสี่ยงด้านขาลง” นางสาวรุ่ง กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงคาดว่า GDP ปี 2568 จะอยู่ที่ 1.5% มีแนวโน้มชะลอลง แม้จะยังมีแรงส่งจากการใช้จ่ายของภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่มีแรงฉุดจากปัจจัยเชิงโครงสร้างของประเทศ ทั้งหนี้ครัวเรือนและสังคมสูงวัย รวมถึงไทยยังกระทบจากความสามารถทางการแข่งขันที่แย่ลง เพราะเจอสินค้าทะลักจากจีน นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งอาจจะทำให้การส่งออกไทยหดตัวในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มองว่าปัจจัยทางการเมืองในประเทศแม้จะทำให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น แต่เชื่อว่าไม่ได้ส่งผลกระทบให้ GDP ไทยปี 2568 ต่ำกว่า 1.5% แต่หากมีสัญญาณว่างบประมาณปี 2569 สะดุด และการเจรจาตกลงด้านการค้ากับสหรัฐฯ ไม่ราบรื่น เรื่องเหล่านี้ถึงเป็นปัจจัยลบในสมมติฐานกรณีที่เลวร้าย (ที่ GDP จะต่ำกว่า 1.5%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของภาพรวมส่วนงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ‘ฮิโรทากะ คุโรกิ’ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาหรือ BAY กล่าวว่า ไทยเจอความท้าทายอย่างต่อเนื่องทั้งจากปัจจัยใน-นอกประเทศ ดังนั้นจะส่งเสริมลูกค้าผ่านการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การสนับสนุนผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG: เช่น ธุรกรรมอนุพันธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงกับ ESG&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่: เพิ่มความสามารถของสกุลเงินเกิดใหม่ (Emerging Currency) โดยในปี 2567 ธนาคารมีปริมาณธุรกรรมในการใช้ธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่เพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การขยายฐานธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล: โดยในปี 2567 มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 138% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและในไตรมาส 1/2568 มีจำนวนธุรกรรม FX ที่ทำผ่านแพลตฟอร์ม FX@Krungsri สูงถึง 26% ของธุรกรรม FX ที่สามารถซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่แก่ลูกค้า: เช่น การขยายบริการที่ตอบโจทย์แก่ลูกค้าในปี 2567 กรุงศรีได้ออกผลิตภัณฑ์สัญญาซื้อขายตราสารหนี้ล่วงหน้า (Bond Forward) ที่ลูกค้าและนักลงทุนสามารถใช้ในการลดความเสี่ยงด้านตลาดและด้านสภาพคล่องในการกำหนดราคาซื้อขายพันธบัตร ภาพ: BAY เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/sec-digitalasset-cryptocurrency-july-2025" alt="สำรวจ 'จักรวาลสินทรัพย์ดิจิทัล' ฉบับอัปเดตและถูกต้องตามกฎหมายไทย">สำรวจ 'จักรวาลสินทรัพย์ดิจิทัล' ฉบับอัปเดตและถูกต้องตามกฎหมายไทย</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงศรีมอง 'การเมือง' ไม่กระทบเงินบาทมากนัก แต่ครึ่งหลังปี 68 บาทยิ่งผันผวนสูงขึ้น!

<h2>ดี มันนี่ เผยความคืบหน้าธุรกิจ โชว์ยอดธุรกรรมการเงินพุ่ง หลังเปิดตัวการใช้งานแอพฯ บนมือถือ อัศวิน พละพงศ์พานิช ซีอีโอ  บริษัท สวัสดีช้อป จำกัด เผยความโอกาสทางธุรกิจในหลายปัจจัยตลอดทั้งปี ตั้งเป้าหมายสูงของแบ่งเค้กรายได้ 5 เปอร์เซ็นต์ ใน 5 ปี จากมูลค่าตลาด 6.5 หมื่นล้านเหรียญฯ</h2>
อัศวิน พละพงศ์พานิช ประเจ้าหน้าที่บริการ บริษัท สวัสดีช้อป จำกัด เผยความคืบหน้าธุรกิจ ดี มันนี่ (Dee Money) ฟินเทค สตาร์ทอัพ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non Bank) แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศ และแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม

“หลังเปิดตัวแอพพลิเคชั่นบนมือถือเมื่อสิงหาคมปีที่ผ่านมา เรามียอดการทำธุรกรรมการเงิน (Transection) มากกว่าร้อยละ 30 ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง มกราคม 2562 ขณะที่ฐานของลูกค้าขยายตัวขึ้นอีกว่าร้อย 13 ในช่วงเวลาเดียวกัน”

อัศวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มลูกค้าหลักในการโอนเงินระหว่างประเทศยังเป็นกลุ่ม โปรเฟสชั่นนอล เอ็กซ์แพท ที่ทำงานในประเทศไทย โดยมีธุรกรรมการโอนเงินในสกุล ดอลล่าร์สิงคโปร์ สกุลเงินอินเดีย เป็นสัดส่วนหลัก ทางด้านกลุ่มแรงงานยังคงเป็นกลุ่มเงินสกุลกัมพูชา เมียนม่า เป็นต้น โดยจุดแข็งของเราคือค่าธรรมเนียม 150 บาท ต่อธุรกรรมการโอนเงิน ซึ่งยังไม่ Vat 7% ทำให้ลูกค้าประหยัดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินถึง 80 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านเครือข่ายแบบดั่งเดิม (Traditional)

“ค่าธรรมเนียม 150 บาท ครอบคลุมการให้บริการใน 17 ประเทศ ทั่วเอเชีย ซึ่งแผนในปี 2562 เราเตรียมขยายการบริการโอนเงินระหว่างประเทศให้ครอบคลุม 40 ประเทศทั่วโลก โดยเตรียมรุกตลาดยุโรปในกลุ่ม IBAN countries โดยการทำงานผ่านมาตรฐานของ Swift โดยคาดเสร็จสิ้นสิ้นปี 2562” อัศวินกล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-5635" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/อัศวิน-พละพงศ์พานิช-02.jpg" alt="" width="638" height="424" />
<h2>จับมือพันธมิตรในประเทศ</h2>
ปัจจุบัน ดี มันนี่ ได้รับใบอนุญาตจากแบงก์ชาติ 3 ประเภท ได้แก่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) ให้บริการ 4 สาขา โดยมีสาขาหลักที่ปากซอยสุขุมวิท 8

ด้านการแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศ ดี มันนี่ได้ร่วมมือกับ SuperRich ทำให้ลูกค้าได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำกว่าธนาคารใน 34 สกุลเงินเมื่อใช้บริการที่สาขา ซึ่งแผนสาขาในปี 2562 เตรียมขยายอีกราว 10 สาขา ทั่วประเทศในจังหวัดหลักๆ ของภูมิภาค อาทิ พัทยา เชียงใหม่ เกาะสมุย และอุดรธานี

“สาขาหลักยังมีความสำคัญในแง่การระบุตัวตนและหลักกฎหมายทางราชการ สำหรับลูกค้าที่ต้องการทำธุรกรรมในการโอนเงินระหว่างประเทศ ขณะนี้ ดี มันนี่ รอการอนุมัติ 2 ด้าน คือการรับอนุมัติใช้ระบบการแสดงและยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) จากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งถ้าได้รับการอนุมัติแล้วจะทำให้เราสามารถยืนยันตัวตนผ่านบัตรประจำตัวประชาชนและหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งจะทำให้ขยายฐานลูกค้ากว้างมากขึ้น

ส่วนอีก ใบอนุญาตอีกใบคือ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนโอนเงินระหว่างประเทศ (Money Transfer Agent License) ซึ่งจะทำให้เราสามารถมีตัวแทนธุรกิจในการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยเรามีแผนกระจายให้ทั่วประเทศ 5,000 จุด บนเคาน์เตอร์เซอร์วิสต่างๆ ตามไฮเปอร์มาร์เก็ต สถานีเติมน้ำมัน และพันธมิตรที่เกี่ยวข้องอย่าง ร้านแลกเปลี่ยนเงินตราทั่วไทยซึ่งบริการตรงนี้ที่จะทำให้พวกเขามีบริการใหม่เสริม

“สิ่งที่เราพยายามคือการลดข้อจำกัดและกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ธนาคารและสถานบันการอื่นๆ ถือปฏิบัติ โดยเฉพาะการเก็บค่าธรรมเนียมแบบเดิมๆ เปลี่ยนช่องทางหลักแบบดั่งเดิม การโอนเงินแบบผิดกฎหมายจากผู้ไม่ได้รับใบอนุญาต โดยผู้รับปลายทางจะรู้ยอดเงินที่แน่นอนและยังสามารถเลือกรับเป็นเงินสดหรือโอนผ่านบัญชีในปลายทางได้” อัศวินกล่าวและเสริมว่า

“เป้าหมายธุรกิจของดี มันนี่คือภายใน 5 ปีของเราของต้องการเพิ่มสัดส่วนให้ได้ 5 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มการโอนเงินตราระหว่างประเทศที่มีมูลค่าราว 5.6 หมื่นล้านเหรียญฯ ซึ่งการไปถึงจุดนั้นได้เราเลือกการทำธุรกิจแบบขั้นบันได โดยปัจจุบันเราให้บริการกับกลุ่มลูกค้าบุคคลเป็นหลัก เพื่อความมั่นใจการตรวจสอบทุกธุรกรรมการเงินที่ไม่เสี่ยงต้องการผิดกฎหมาย โดยเป้าหมายของเราต่อไปเป็นกลุ่ม SMEs โดยจะเลือกคุยเป็นองค์กรไป”

อัศวิน กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าในแผน 5 ปี เรายังคงมองหากลุ่มนักลงทุน Venture Capital ทีมีความเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นและเป็น VC ที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างภาพลักษณ์และเสริมความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท เราเตรียมหาทุนราว 5 ล้านเหรียญฯ นำมาลงทุนทางด้านระบบต่างๆ ส่งให้เราเติบโตและขยายแผนไปทั่วโลกอย่างยั่งยืน

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/news-detail.php?did=2590">สวัสดี ช้อป ต่อยอดความสำเร็จ ดี มันนี่ เปิดตัวแอพพลิเคชัน โอนเงินและแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events