<h2>Honda และ Nissan มีแผนเจรจาการควบรวมกิจการเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น หลังจากค่ายรถไฟฟ้าจากจีนเข้าบุกตลาดและจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว </h2> &nbsp; &nbsp; หนังสือพิมพ์ Nikkei ของญี่ปุ่นได้รายงานข้อมูลเมื่อวันอังคารที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยานยนต์ อย่าง ฮอนด้า มอเตอร์ และ นิสสัน มอเตอร์ อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงทั่วโลกและจากการที่อุตสาหกรรมดังกล่าวกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว&nbsp;&nbsp; &nbsp; ฮอนด้าและนิสสันกำลังพิจารณาการดำเนินงานภายใต้บริษัทโฮลดิ้ง และเร็วๆ นี้ ก็คาดว่าจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ ตามรายงาน อีกทั้งยังมีแผนที่จะนำ มิตซูบิชิ มอเตอร์ มาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งด้วยเช่นกัน เนื่องจากนิสสัน เป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 24%&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ หากมีการควบรวมบริษัท Honda-Nissan-Mitsubishi เกิดขึ้นจะทำให้มียอดขายรถยนต์มากกว่า 8 ล้านคันต่อปี และจากข้อมูลของ Nikkei นั้น ยังเผยด้วยว่า การควบรวมที่จะเกิดขึ้นนี้ จะทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ก็ยังต่ำกว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Toyota Motor ที่มียอดขาย 11.2 ล้านในปี 2566 ขณะที่ Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน มียอดขาย 9.2 ล้านคัน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/ikNmUjf5oCPtQwGqWbxB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ikNmUjf5oCPtQwGqWbxB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp; และจากแถลงการณ์ที่ปล่อยออกมาคล้ายกัน ทางฮอนด้าและนิสสันต่างไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธผลของการรายงานดังกล่าว “บริษัทของเราไม่ได้เผยแพร่เนื้อหาที่รายงาน ซึ่งตามประกาศในเดือนมีนาคมปีนี้ ฮอนด้าและนิสสันกำลังสำรวจความเป็นไปได้ต่างๆ สำหรับการทำงานร่วมกันในอนาคต โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของกันและกัน เราจะแจ้งให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราทราบถึงการอัปเดตใดๆ ในเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง” ฮอนด้าเผย&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวการควบรวมกิจการนี้ เกิดขึ้นหลังจากผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นทั้ง 2 รายดังกล่าวได้เข้าสู่ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เมื่อช่วงต้นปีเกี่ยวกับการใช้ส่วนประกอบและซอฟต์แวร์ยานยนต์ร่วมกัน&nbsp; &nbsp; การผนึกกำลังดังกล่าว น่าจะเป็นการควบรวมกิจการอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ Fiat Chrysler ได้เข้าร่วมกับ PSA Groupe ในฝรั่งเศสเพื่อก่อตั้ง Stellatiss ในเดือนมกราคม 2564&nbsp; &nbsp; อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ปรึกษาด้านยานยนต์และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ต่างเรียกร้องให้เพิ่มการควบรวมและซื้อกิจการเพื่อแบ่งปันต้นทุนและแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์จากจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าล้วนของสหรัฐฯ อย่าง Tesla ด้วย&nbsp; &nbsp; สำหรับหุ้นฮอนด้าที่ซื้อขายผ่านตลาดในสหรัฐฯ หลังจากปิดตัวในวันอังคารได้ดีดตัวขึ้นมาประมาณ 1% ขณะที่หุ้นของ Nissan ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้าง ได้พุ่งตัวสูงขึ้นมากกว่า 11% ภาพ: Nissan แปลและเรียบเรียงจากบทความ:&nbsp;<a href="https://www.cnbc.com/2024/12/17/japans-honda-and-nissan-to-reportedly-begin-merger-talks.html" alt="Japan’s Honda and Nissan to reportedly begin merger talks">Japan’s Honda and Nissan to reportedly begin merger talks</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/global/nissan-ceo-cuts-salary-in-half-company-laying-off" alt="วิกฤต Nissan! เตรียมเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน หั่นเงินเดือน CEO ลงครึ่งหนึ่ง">วิกฤต Nissan! เตรียมเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน หั่นเงินเดือน CEO ลงครึ่งหนึ่ง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Honda และ Nissan 2 ค่ายยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น อยู่ระหว่างเจรจาควบรวมกิจการ

<h2>จากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวประกอบกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV เริ่มแข่งขันเดือด เห็นได้จากแบรนด์รถยนต์ค่ายต่างๆ โดยเฉพาะแบรนด์จีนเริ่มเข้ามาตีตลาดในไทย ส่งผลกระทบให้ยอดขายรถฮอนด้าไม่เติบโตเท่าที่ควร ล่าสุดเตรียมปิดไลน์ผลิตรถยนต์ในโรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา แล้วนำไปรวมกับไลน์ผลิตในโรงงาน จ.ปราจีนบุรี ภายในปี 2568 </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวันอังคารที่ 9 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ทาง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกมาประกาศ ‘การปฏิรูปฟังก์ชันสายการผลิตรถยนต์ของไทย’ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินการผลิตรถยนต์สำเร็จรูป รวมถึงเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ xEV หรือการนำพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมารถยนต์ในกลุ่ม "e:HEV series" ซึ่งเป็นระบบฟูลไฮบริดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฮอนด้า มีสัดส่วนยอดขายเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยตัวเลขผลประกอบการปี 2566 รถในกลุ่มนี้มีสัดส่วนการขาย 32% ซึ่งในปี 2567 นี้ ฮอนด้าตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นอย่างก้าวกระโดดให้เป็น 70% อีกดด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ทางฮอนด้ามีแผนปฏิรูปโรงงานในไทยซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 2 แห่ง ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยโรงงาน จ.ปราจีนบุรี จะพัฒนาให้เป็นฐานการผลิต และส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป (CBU) ที่สมบูรณ์แบบ โดยการใช้ประโยชน์จากสายการผลิตที่ผสมผสานเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความสามารถในการรองรับธุรกิจ&nbsp;ขณะที่โรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา วางแผนจะหยุดทำการผลิตรถยนต์ภายในปี 2568 และย้ายกำลังการผลิตทั้งหมดไปรวมไว้ที่โรงงาน จ.ปราจีนบุรีแทน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/tr64SPWRy1pMeZm6DtBb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tr64SPWRy1pMeZm6DtBb.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน สำนักข่าว Nikkei Asia ได้รายงานถึงประเด็นนี้ว่า การตัดสินใจดังกล่าวของฮอนด้าในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นผลกระทบมาจากแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนกำลังรุกเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยอย่างหนัก จากการดึงดูดผู้บริโภคด้วยรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่มาพร้อมซอฟต์แวร์อันทันสมัยและยังมีมีราคาถูก จึงส่งผลให้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคไทยในปัจจุบันเริ่มขยับตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม โฆษกของฮอนด้า ยังระบุด้วยว่า ฮอนด้าได้ส่งออกรถที่ผลิตจากโรงงานในไทย ไปยังตลาดอื่นๆ ในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ทั้งนี้ จะยังไม่มีแผนการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในประเทศไทย โดยที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ยอดการผลิตรวมของทั้ง 2 โรงงาน นับตั้งแต่ปี 2562-2566 หรือ 4 ปีหลังมานี้ มีจำนวนการผลิตรถลดลงจาก 228,000 คัน เหลือเพียงไม่ถึง 150,000 คันต่อปี อีกทั้ง ตัวเลขยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยช่วง 4 ปีหลังสุดนี้ ยังต่ำกว่า 100,000 คันต่อปี&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/9Q7suMwcht6JwRivN4ov.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9Q7suMwcht6JwRivN4ov.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/volvo-ec-40-and-ex-40" alt="เปลี่ยนชื่อใหม่สู่ Volvo EC40 และ EX40 พร้อมเปิดตัว Black Edition ราคารุ่นพิเศษเริ่ม 2.39 ล้านบาท">เปลี่ยนชื่อใหม่สู่ Volvo EC40 และ EX40 พร้อมเปิดตัว Black Edition ราคารุ่นพิเศษเริ่ม 2.39 ล้านบาท</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 รถ EV จีนบุกตีตลาดไทย กระทบ 'ฮอนด้า' เตรียมปิดไลน์ผลิตรถยนต์ จ.อยุธยา ย้ายมาโรงงาน จ.ปราจีนบุรี ปี 68

ฮอนด้าเตรียมเปิดตัว “Honda 0 Series” ซีรีส์ EV รุ่นใหม่สำหรับตลาดโลก พร้อมเปิดตัวโลโก้ H Mark ใหม่

ภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์ ขับเคลื่อน ACG ทะยานทั่วไทย

<h2>บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท ฮอนด้า แอคเซส เอเชีย แอนด์ โอเชียเนีย จำกัด เอาใจลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งรถในสไตล์สปอร์ต จัดแสดงยนตรกรรมฮอนด้าพร้อมอุปกรณ์ชุดแต่งแท้โมดูโล ได้แก่ เอชอาร์ วี ใหม่ และซีอาร์-วี พร้อมยนตรกรรมรุ่นอื่นอีก 5 รุ่น และมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับรถยนต์ฮอนด้าทุกรุ่น ภายในงาน Bangkok International Auto Salon 2018 ระหว่างวันที่ 4-8 กรกฎาคม นี้ ณ บูธ A1 อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี</h2>
พิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ด้วยกระแสความต้องการของกลุ่มยนตรกรรมอเนกประสงค์ และกระแสความนิยมในการตกแต่งรถยนต์ในสไตล์สปอร์ตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในงานครั้งนี้ ฮอนด้า จึงได้จัดแสดงยนตรกรรมอเนกประสงค์รุ่นใหม่ อย่าง ฮอนด้า เอชอาร์-วี ใหม่ และ ฮอนด้า ซีอาร์-วี มาพร้อมอุปกรณ์ชุดแต่งแท้ของฮอนด้าในนามโมดูโล ที่ช่วยเสริมสร้างสีสัน และเติมเต็มอารมณ์สปอร์ตเร้าใจให้กับยนตรกรรมทั้งสองได้มากยิ่งขึ้น”

มร. คาซูโนริ โนดะ ประธาน บริษัท ฮอนด้า แอคเซส เอเชีย แอนด์ โอเชียเนีย จำกัด กล่าวว่า “บริษัท ฮอนด้า แอคเซส เอเชีย โอเชียเนีย จำกัด เป็นผู้พัฒนา และจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งแท้ของฮอนด้าในนาม โมดูโล ซึ่งอุปกรณ์ตกแต่งทุกชิ้นได้รับการวิจัยและพัฒนาตามมาตรฐานของการทดสอบต่างๆ รวมทั้งยังใช้วัสดุคุณภาพมาตรฐานระดับสากล โดยไฮไลท์ภายในงานครั้งนี้ คือ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ใหม่ ที่มาพร้อมอุปกรณ์ชุดแต่งภายใต้แนวคิดการออกแบบ “Premium Aero Style” เน้นความหรูหรา และความปราดเปรียวในสไตล์สปอร์ต และฮอนด้า ซีอาร์ วี ที่มาพร้อมอุปกรณ์ชุดแต่งภายใต้แนวคิดการออกแบบ “Ultra Bold Style” เน้นความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

ฮอนด้า เอชอาร์ วี ใหม่ มาพร้อมอุปกรณ์ชุดแต่งโมดูโล Smart Premium Package ที่ช่วยเพิ่มความหรูหราในสไตล์สปอร์ตด้วย ชุดกันชนหน้า-หลังแบบสปอร์ต และชุดสเกิร์ตข้าง นอกจากนี้ยังเพิ่มความโดดเด่นด้วย คิ้วตกแต่งข้างประตูด้านหน้า และล้ออัลลอยรมดำขนาด 18 นิ้ว และฮอนด้า ซีอาร์-วี มาพร้อมอุปกรณ์ชุดแต่งโมดูโล Sport Package ที่เพิ่มความแข็งแกร่ง และโดดเด่นด้วย กระจังหน้าแบบรังผึ้ง กันชนหน้า-หลังสไตล์สปอร์ต บันไดข้าง และชุดแต่งฝาท้ายคิ้วโครเมียม พร้อมเสริมความดุดันด้วยล้ออัลลอยสไตล์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว ชุดตกแต่งกระจกมองข้าง คิ้วบันไดข้างแบบ LED คิ้วกันสาด และปลอกท่อไอเสีย

ฮอนด้าชวนลูกค้าเติมแต่งความสปอร์ตด้วยชุดแต่งแท้โมดูโลสำหรับรถยนต์ฮอนด้าในงาน Bangkok International Auto Salon 2018

สุชาติ อรุณแสงโรจน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เผยภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วประเทศ ระหว่างมกราคม ถึง กรกฎาคม 2560 มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 1,084,995คัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ซึ่งรถจักรยานยนต์ฮอนด้ามียอดจดทะเบียนถึง 850,955 คัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามสภาพตลาดอยู่ที่ 4% ทำให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 78% ครองความเป็นผู้นำตลาดเป็นปีที่ 29 ติดต่อกัน

ฮอนด้าได้คาดการณ์ถึงตลาดรถจักรยานยนต์จะกลับมาคึกคักเป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คาดการณ์ตัวเลขยอดจดทะเบียนของตลาดรถจักรยานยนต์ไทยเมื่อจบปีจะอยู่ที่ 1.85 ล้านคัน ซึ่งฮอนด้าจะมีตัวเลขอยู่ที่ 1.46 ล้านคัน นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัว ในปีที่ผ่านมา ฮอนด้าก็ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดมาอย่างต่อเนื่องรวมทั้งสิ้น 8 รุ่น แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์รถรุ่นใหม่ 3 รุ่น

ด้านตลาดรถกลุ่มบิ๊กไบค์ ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง ระหว่างมกราคม ถึง กรกฎาคม 2560 ตลาดรถบิ๊กไบค์มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 17,098 คัน แบ่งเป็นฮอนด้าบิ๊กไบค์อยู่ที่ 7,234 คัน มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 42% โดยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาฮอนด้าได้มีการประกาศตัวเลขคาดการณ์ของตลาดรถบิ๊กไบค์จะอยู่ที่ประมาณ 27,000 คัน เป็นฮอนด้าอยู่ที่ 10,500 คัน แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัวและกระแสความนิยมของรถบิ๊กไบค์ที่มีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับฮอนด้าเองได้มีการแก้ไขปัญหาการส่งมอบรถให้ได้ทันตามความต้องการของผู้บริโภค ฮอนด้าจึงได้มีการปรับตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่ 11,600 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 43%

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events