<h2>บีบีจีไอ เปลี่ยนชื่อและตราสัญลักษณ์ของบริษัทในเครือ เพื่อตอบโจทย์การพลิกโฉมภาพลักษณ์จากผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพชั้นนำของประเทศ สู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ซึ่งใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงเป็นตัวชูโรง</h2>
กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI) เปิดเผยว่า บีบีจีไอ ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริษัทในเครือเพื่อเป็นการตอกย้ำถึงเป้าหมายของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการก้าวต่อไปจากรากฐานที่มั่นคงในการเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพชั้นนำของประเทศ

มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้าน Biotechnology ซึ่งจะต่อยอดพื้นฐานความรู้ด้าน Biotechnology มาต่อยอดธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงต่อไป โดยนอกจากจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์แล้ว การปรับเปลี่ยนชื่อและตราสัญลักษณ์ของบริษัทในเครือให้มีความสอดคล้องและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งจะช่วยสร้างการจดจำที่ง่ายยิ่งขึ้น

โดยบริษัทในเครือของบีบีจีไอ ที่จะมีการปรับเปลี่ยนชื่อและตราสัญลักษณ์ประกอบไปด้วย

1.บริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บีบีจีไอ ไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) และมีการเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ตามภาพที่แนบด้านบน

2.บริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บีบีจีไอ ไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด และมีการเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ตามภาพที่แนบด้านบน

3.บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บีบีจีไอ ไบโอดีเซล จำกัด และมีการเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ตามภาพที่แนบด้านบน

4.บริษัท บีบีจีไอ ยูทิลิตี้ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด มีการเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ตามภาพที่แนบด้านบน

<img class="alignnone size-full wp-image-66769" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/บีบีจีไอ_0703.jpg" alt="" width="650" height="366" />

โดยในปีนี้บีบีจีไอ ได้เริ่มต่อยอดผลิตภัณฑ์ชีวภาพประเภทเชื้อเพลิงของบริษัทฯ ไปเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็น โครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ ร่วมกับ บางจาก และธนโชคออยไลท์ รวมไปถึงโครงการพัฒนาและผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพร่วมกับ SCGC และQTC

ในส่วนของการต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงที่ส่งเสริมสุขภาพ (High value bio-based products for health and well-being) บีบีจีไอได้ลงนามสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ไบโอม จำกัด บริษัท Spin Off จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการต่อยอดมูลค่างานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

นอกจากนั้นบีบีจีไอยังได้จัดตั้งบริษัทย่อยที่ประเทศสิงคโปร์ภายใต้ชื่อ บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ สิงคโปร์ ไพรเวท  ลิมิเต็ด (WIN Ingredients Singapore Pte. Ltd.) เพื่อดำเนินธุรกิจการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการค้า และล่าสุด Reb M ผลิตภัณฑ์สารให้ความหวานจากหญ้าหวาน ที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยี Advanced Biotechnology ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้วในเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา โดย บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ จำกัด (WIN) จะเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Reb M ในประเทศไทยต่อไป

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3.html">“วัฒนธรรมองค์กร” คือเกราะคุ้มภัยที่ยั่งยืนในโลกยุคใหม่จริงหรือ?</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

BBGI ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทในเครือ เดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มธุรกิจด้วยเทคโนโลยีชีววิทยาขั้นสูง

‘BBGI’ จับเทรนด์ไบโอเบส เล็งหลังเข้าตลาดดันมูลค่าเพิ่มเท่าตัว

<h2>พี่น้องวนสุวรรณกุลสืบทอดเจตนารมณ์ของบิดาผู้เป็นอดีตเกษตรกรปาล์มน้ำมัน ร่วมกันบ่มเพาะกิจการจนเป็นกลุ่มท่าฉางอุตสาหกรรมที่มี 2 เสาหลักคือธุรกิจผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำยางเข้มข้นจนรายได้เพิ่มพูนกว่า 6 พันล้านบาทต่อปี พร้อมเดินหน้าเปิดประตูสู่ Palm Complex ในปี 2560</h2>
สวนปาล์มน้ำมันบนพื้นที่ 5,000 ไร่ล้อมรอบที่ตั้งของกิจการ กลุ่มบริษัทท่าฉางอุตสาหกรรม หรือ TCG ซึ่งหยั่งรากเมื่อปี 2529 นับเป็นปฐมบทของทายาทรุ่นสองที่ริ่เริ่มโดยพี่ชายคนโตและน้องชายคนรองคือ พงศ์นรินทร์ และ พงศ์นเรศ แผ่ขยายกลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่รายได้เฉลี่ยกว่า 6 พันล้านต่อปี จากกิจการในเครือ 4 บริษัท

“จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังจากพี่ชายและผมต่างเรียนจบและผ่านประสบการณ์ทำงานกับบริษัทอื่นมาแล้วสักระยะ จึงตัดสินใจมาร่วมกันสร้างกิจการตามที่พ่อเคยบอกว่าอยากให้พี่น้องมาช่วยกันทำธุรกิจ“ พงศ์นเรศ วนสุวรรณกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทท่าฉางอุตสาหกรรม นักธุรกิจวัย 36 ปี จากอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าว

“ผมว่าถ้าดูในแง่กำลังการผลิตผมก็ถือว่าติด 1 ใน 5 ของประเทศ” พงศ์นเรศ เล่าถึงศักยภาพของ TCG ซึ่งมีกำลังผลิตน้ำมันปาล์มเฉลี่ยที่ 3,000 ตันขึ้นไป/วัน ขณะที่ธุรกิจผลิตน้ำยางเข้มข้น ด้วยปี 2558 มีแผนผลิตน้ำยางข้น 15,000 ตัน/เดือน และ ด้านธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้าที่เริ่มเดินเครื่องเมื่อ 2 ปีก่อน โดยโรงงานผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวภาพ กำลังการผลิตที่ 2.8  เมกะวัตต์/ชั่วโมง ขณะที่ในส่วนโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุดที่ 13.4 เมกะวัตต์/ชั่วโมง

สำหรับภารกิจหลักในปีนี้ของกลุ่มท่างฉางฯ อยู่ที่การเดินหน้า โครงการเกษตรอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันครบวงจร (Palm Complex) โดยมีมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในโครงการรวมทั้งหมดประมาณ 4.8 พันล้านบาท และมีผู้ถือหุ้น 4 ราย

สำหรับการแข่งขันในธุรกิจปาล์มน้ำมันและผลิตน้ำยางเข้มข้น การบริหารต้นทุนการผลิตถือเป็นที่สำคัญ ซึ่งการควบคุมการผลิต พงศ์นเรศ กล่าวถึงทิศทางการบริหารต้นทุนไว้อย่างรอบด้าน โดยสามารถอ่านฉบับเต็มได้ภายในฉบับ

&nbsp;

ภาพ นครินทร์ พันธุมจินดา

<hr />

<a href="http://goo.gl/6pbsXG">คลิกอ่าน "รุ่นที่สอง ของ วนสุวรรณกุล กลั่นน้ำมัน ปั่นไฟฟ้า" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ APRIL 2015</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events