<h2>KBank Private Banking เผยกลยุทธ์ลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของปี หลังคาดอัตราดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ยังเชื่อมั่นในการกระจายการลงทุน แนะนักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก ตลอดจนสินทรัพย์นอกตลาด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง) ประเมินเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี พบว่าอยู่ในแนวโน้มหดตัว เป็นผลต่อเนื่องมาจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วและแรงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในปีที่ผ่านมา โดยภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปน่ากังวลมากที่สุด ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวได้ดี แม้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ด้านจีนแม้ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาอ่อนแรงลง แต่ทางการจีนเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;KBank Private Banking คาดว่าวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ซึ่งยังคงคำแนะนำให้กระจายการลงทุน โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่ให้ลงทุนในกองทุนผสมแบบ Risk-based และเงินลงทุนส่วนเสริมให้จัดสรรเงินลงทุนตามสถานการณ์ ทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก อีกทั้งยังมีเงินสดเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตเพื่อรอโอกาสเข้าลงทุนในอนาคต&nbsp; &nbsp; จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือเป็นอีกไมล์สโตนสำหรับการลงทุน โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา ในการประชุม 11 ครั้ง เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ที่เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพราะแม้เงินเฟ้อลดลงแต่ยังสูงกว่าเป้าหมาย นอกจากนั้นตั้งแต่ต้นปีเศรษฐกิจโลกได้เผชิญความผันผวนจากหลายเหตุการณ์สำคัญๆ อาทิ วิกฤตธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป ไม่ว่าจะเป็น การปิดตัวลงของ Silicon Valley Bank และ UBS ต้องเข้าซื้อกิจการของ Credit Suisse ในฝั่งของจีนก็ได้สร้างความผิดหวังให้ตลาดหลังเปิดประเทศแล้วยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ส่วนประเทศไทยบ้านเราก็มีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่คาดว่าจะมาพร้อมกับมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ส่งผลให้บางช่วงของปีดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI All Country World Index) ได้ปรับขึ้นไปถึง +15% แต่ ณ ปัจจุบันได้มีการปรับตัวลงมาบ้างอยู่ที่ +10%”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/PPqY4VaFicjADaDippRK.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PPqY4VaFicjADaDippRK.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="2312,1542" style="width: 100%;" data-index="0"><figcaption><div>จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group​</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกพบว่าภาคการผลิตของโลกอยู่ในแนวโน้มหดตัว ขณะที่ภาคบริการแม้ยังขยายตัวได้แต่ลดลงมากเป็นผลสะสมมาจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วและแรงในปี 2565-2566&nbsp; &nbsp; ฝั่งสหรัฐฯ เงินเฟ้อถือว่าปรับลงมามากแล้ว แต่ที่ผ่านมาเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ดี ทำให้ธนาคารกลางใช้โอกาสนี้ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้มากที่สุด KBank Private Banking มองว่ามีโอกาส 70% ที่จะเห็น Soft Landing คือต้นทุนดอกเบี้ยสูงจะกดดันธุรกิจ การจ้างงานและการใช้จ่ายทำให้เศรษฐกิจชะลอลงแต่ไม่ถึงกับตกต่ำรุนแรง เงินเฟ้อลดลงเข้าใกล้เป้าหมาย และธนาคารกลางหยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่ก็มีความเป็นไปได้อีก 10% ที่เศรษฐกิจเติบโตมาก เช่น สูงกว่า 3% ตามมาด้วยการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อไปถึง 6.5-7%&nbsp; &nbsp; ส่วนยุโรปเป็นภูมิภาคที่น่ากังวลที่สุด เพราะแม้จะรับมือกับวิกฤตราคาพลังงานได้ดีกว่าคาด แต่โมเมนตัมของเศรษฐกิจอ่อนกำลังลงมาก โดยเฉพาะเยอรมันที่พึ่งพิงการค้าระหว่างประเทศ&nbsp; &nbsp; ด้านจีน หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาอ่อนแรงลง ทางการจีนก็เดินหน้าอออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตลาดคาดหวังการปฏิรูปอย่างมีนัยยะมากขึ้น เพราะปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังยืดเยื้อ จีนต้องเร่งสร้างเสถียรภาพการจ้างงาน กระตุ้นความต้องการบริโภค และแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น&nbsp; &nbsp; ส่วนไทยบ้านเรา ทางศูนย์วิจัยกสิกรคาด GDP ปี 2566 จะขยายตัวที่ 3% ในปี ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วที่ 2.6% แต่ได้ปรับลดลงจากการคาดการณ์เมื่อช่วงกลางปี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยเฉพาะจีน ส่งผลกระทบกับจำนวนนักท่องเที่ยวและการส่งออก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “KBank Private Banking ยังเชื่อมั่นในการกระจายการลงทุน โดยแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core &amp; Satellites โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่ (Core portfolio) 50-70% ของเงินลงทุนให้ลงทุนในกองทุนผสมแบบ Risk-based ที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลักทั่วโลกผ่านกองทุน ALL ROADS Series ที่ใช้การจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ไม่ขึ้นกับการคาดการณ์ของตลาดหรือผู้จัดการกองทุน และเงินลงทุนส่วนเสริม (Satellites portfolio) 30-50% ของเงินลงทุนให้ลงทุนตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและตลาดทุน โดยจัดสรรเงินลงทุนในทั้งหุ้น ตราสารหนี้ พร้อมทั้งกระจายลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกทั้ง Hedge Funds ตลอดจนสินทรัพย์นอกตลาด ทั้งนี้เรายังมีเงินสดอยู่เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตเพื่อรอเข้าลงทุนในอนาคต”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/PwFMayZbBvgkAVM11SZb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PwFMayZbBvgkAVM11SZb.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="2787,1858" style="width: 100%;" data-index="1"><figcaption><div>ศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;KBank Private Banking มีมุมมองและคำแนะนำการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หุ้น มีมุมมองบวกมากขึ้น จากข้อมูลทางสถิติพบว่าในไตรมาส 4 ของปี ตลาดหุ้นโลกมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก และเมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ตลาดหุ้นทุกประเทศให้ผลตอบแทนเป็นบวกหลังจากนั้นเป็นเวลา 12 เดือน โดยธนาคารฯ แนะนำลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยกระจายไปทั่วโลกไม่ได้กระจุกตัวแค่ในสหรัฐฯ เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน หุ้นเทคโนโลยี และยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะหุ้นจีน และหุ้นไทยที่มีความเสี่ยงขาลงค่อนข้างจำกัด&nbsp; &nbsp;&nbsp;ตราสารหนี้ ประเมินว่าบอนด์ยีลด์ทั่วโลกเข้าใกล้จุดสูงสุด ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่อจากนี้มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดี ได้ทั้งผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ให้อยู่ในระดับสูง และมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากราคาที่เพิ่มขึ้นหากบอนด์ยีลด์ปรับลงในระยะข้างหน้า โดยแนะนำลงทุนในกองทุนที่กระจายลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภททั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชน โดยกองทุนมีกลยุทธ์มีการปรับอายุของตราสารเชิงรุกให้เหมาะสมกับสถานการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สินทรัพย์ทางเลือก มองว่าปีนี้ถือเป็นโอกาสทองในการเข้าลงทุนในหุ้นนอกตลาด เพราะจากข้อมูลในอดีตพบว่าการเริ่มลงทุนในหุ้นนอกตลาดในปีที่มีวิกฤต การลงทุนในหุ้นนอกตลาดมักให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากที่ลงทุนไปแล้ว 7 ปี และยังแนะนำเติมเต็มพอร์ตการลงทุนด้วยกองทุน Hedge funds ในหลายหลายกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายจิรวัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า “เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนและผันผวนสูง KBank Private Banking ในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core &amp; Satellites และการกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำมาโดยตลอด” อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88" alt="KKP วิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ยังไม่ตรงจุด ทุ่มเงินกระตุ้นระยะสั้น อาจเป็นปัญหาระยะยาว">KKP วิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ยังไม่ตรงจุด ทุ่มเงินกระตุ้นระยะสั้น อาจเป็นปัญหาระยะยาว</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

KBank Private Banking เผยแนวโน้มเศรษฐกิจโลกหดตัวท้ายปี แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยง

<h2>Donald Trump ร่ำรวยขึ้นจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ จนถึงตอนนี้คำตอบคือไม่</h2>
นับตั้งแต่ที่ Trump ชนะการเลือกตั้งประธำนำธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 2016 ดัชนี S&amp;P 500 ปรับเพิ่มขึ้น 18% แต่มูลค่าสุทธิของทรัพย์สินของ Trump กลับลดลง 16% นั่นเป็นเพราะว่าทรัพย์สินของ Donald Trump (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์ใน Manhattan และสนามกอล์ฟ) นั้น ไม่ได้สะท้อนภาพใหญ่ของเศรษฐกิจอเมริกา

อย่างไรก็ดี ยังมีสิ่งหนึ่งที่จะเอื้อประโยชน์มหาศาลให้กับครอบครัวของ Trump นั่นก็คือการยกเลิกภาษีมรดก ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงสุดประมาณ 40% ของทรัพย์สินของผู้ตายTrump ไม่เหมือนกับผู้มีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับ Forbes 400 ซึ่งส่วนใหญ่มีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี กล่าวคือ Donald Trump ยังคงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินเกือบทั้งหมดของตัวเอง โดยมีการถ่ายโอนทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยให้กับลูกๆ

ดังนั้นหมายความว่าหาก Trump เสียชีวิต ลูกๆ ของเขาซึ่งได้แก่ Ivanka, Tiffany, Donald Jr., Barron และ Eric จะต้องเสียภาษี 1 พันล้านเหรียญโดยประมาณหากประธานาธิบดี Trump ไม่ดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้เสียก่อน อย่างไรก็ดี การยกเลิกภาษีมรดก นับเป็นนโยบายเกี่ยวกับการลดภาษีที่เข้าต้องการดำเนินการเป็นลำดับแรกๆ

เมื่อถามถึงแผนการยกเลิกภาษีมรดกซึ่งเอื้อประโยชน์เป็นหลักพันล้านให้กับคนในตระกูล Trump ประธานาธิบดี Trump มีท่าทีลังเลก่อนจะตอบว่า “คงต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” และกล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมได้สร้างอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา แต่มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับผม ตอนนี้ลูกๆ ของผมเป็นคนดูแลธุรกิจทั้งหมด มันเลยไม่มีความหมายกับผมอีกต่อไป ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เพราะว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้มันมีความสำคัญมากๆ”

โดย Matt Drange เรียบเรียง ริศา

<hr />

<a href="https://goo.gl/2JcAAK">คลิ๊กอ่านบทความน่าสนใจ ได้ใน นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2561 ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/2JcAAK"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6f3ec480316a610ba2caaf9d15b3d184.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events