<h2>บล.เอเซีย พลัส ประเมินภาพการลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงการเมืองโลก TRUMP 2.0 เป็นเรื่องที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ เสี่ยงแพร่กระจายไปทั่วโลก (ไม่ใช่แค่จีนประเทศเดียว) โดยคาดสหรัฐจะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าในช่วง ไตรมาส 3 ปี 2568 เป็นต้นไป กดดัน GDP โลกปี 2568F หดตัว 0.4% - 0.6%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนหุ้น TRUMP TRADE และ Dollar Index ปรับตัวขึ้นแรง ตอบรับในเชิงบวกมาระดับหนึ่งแล้ว ปกติจะเริ่มย่อตัวลงในเดือนที่ TRUMP เข้ารับตำแหน่ง ในมุมนโยบายการเงิน Fed ส่งสัญญาณ Hawkish มากขึ้น มีโอกาสลดดอกเบี้ยเพียง 1 - 2 ครั้งในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มเติบโตตามแต่ละส่วนประกอบของ GDP หลักๆ มาจากความคาดหวังการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของรัฐบาลไทย อาทิ EASY E-RECEIPT, แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 แต่ระยะถัดไปการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจำกัด จากหนี้สาธารณะ/ GDP เริ่มปริ่มเพดาน 70%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในมุม Fund Flow ต้นปี 2568 ตลาดหุ้นอาจเผชิญ แรงกดดันจากเม็ดเงิน LTF ที่พร้อมขายได้สูงขึ้นเป็น 2.3 แสนล้านบาท สูงกว่าต้นปีก่อนที่ 1.6 แสนล้านบาท ราว 43% โดยคาดจะเห็นแรงขายออกมาในเดือน ม.ค. 68 เป็น 1.5 - 2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเดือน ม.ค. ปีอื่นๆ ขณะที่แรงซื้อกองทุน THAIESG อาจชดเชยได้ไม่พอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนเม็ดเงินต่างชาติ มีโอกาสชะลอช่วงสั้นๆ เนื่องจาก นักลงทุนอยู่ในช่วงรอดูนโยบาย TRUMP 2.0 และหากเทียบเคียงยุค TRUMP 1.0 ปี 2561 ที่มีประเด็นสงครามการค้า เป็นปีที่ต่างชาติขายหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2.87 แสนล้านบาทนอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากการทยอยปรับลด EPS68F ที่ BLOOMBERG ประเมิน EPS25F ที่ 98.5 บาท/หุ้น เทียบเท่ากำไร 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี (เฉลี่ยต่อไตรมาสราว 3 แสนล้านบาท) ถือว่าเกิดขึ้นได้ยาก เพราะสูงกว่ากำไรระดับปกติไตรมาสละ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม SET ย่อตัวลงมา อาจมีจังหวะรีบาวน์ได้บ้าง จากความคาดหวังการเติบโตของกำไรบรษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 4 ปี 67 ที่น่าจะเติบโตทั้ง QOQ และ YOY จากฐานที่ต่ำ โดยงวดไตรมาส&nbsp;4 ปี 66 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท และกำไรงวดไตรมาส&nbsp;3 ปี 67 ที่ 1.9 แสนล้านบาท ในมุม Valuation เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมินเป้าหมายดัชนี ผ่าน EPS68F จาก BLOOMBERG Consensus ที่ 98.5 บาท/หุ้น ซึ่งอาจมี DOWNSIDE ในช่วง 3 เดือนแรกของปี ที่มักถูกปรับลงเฉลี่ย -5.8 บาท/หุ้น จึงทำ SENSITIVITY ของเป้าหมายดัชนีปี 2568 อิง P/E ที่ 16.5 เท่า เมื่อคูณกับ EPS68F ระดับต่างๆ จะได้เป้าหมายดัชนีในปี 68 ที่ 1,490 – 1,600 จุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์การลงทุนเดือน ม.ค. 68 แนะนำหุ้นเด่นน่าลงทุน 4 กลุ่ม ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หุ้นผันผวนต่ำ ได้แก่ AOT, BEM&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หุ้นปันผลสูง ได้แก่ BBL, SIRI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หุ้นรับกระแสกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ ADVICE, BJC&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หุ้นยุค TRUMP 2.0 ได้แก่ RCL Photo by <a href="https://unsplash.com/@polarmermaid?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Anne Nygard</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/graphical-user-interface-application-x07ELaNFt34?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/jensen-huang-nvidia-time-management" alt="“อย่าทำทุกอย่าง-จัดลำดับความสำคัญ” วิธีบริหารเวลาแบบ Jensen Huang"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/tisco-esu-dec-2024" alt="TISCO ESU คาดปี 68 เศรษฐกิจไทยโต 3% แนะลงทุนเน้นหุ้นสหรัฐฯ เพราะหุ้นไทยน่าสนใจน้อยลง">TISCO ESU คาดปี 68 เศรษฐกิจไทยโต 3% แนะลงทุนเน้นหุ้นสหรัฐฯ เพราะหุ้นไทยน่าสนใจน้อยลง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บล.เอเซีย พลัส ส่องเทรนด์ลงทุนหุ้นไทยเดือน ม.ค.ปี 68 ชู ‘กลุ่มผันผวนต่ำ-ปันผลสูง’

<h2>บล.เอเซีย พลัส คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/67 เป็นจุดต่ำสุดของปี เพราะเห็นปัจจัยบวกทั้งจากใน-ต่างประเทศ ผลบวกเม็ดเงิน ThaiESG และ กองทุนวายุภักษ์ คาดสิ้นปี 67 ตลาดหุ้นไทยไปถึง 1,450 จุด ส่วนกรณี EA ยังต้องติดตามสถานการณ์เพิ่มเติม แต่ยังกังวลการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 อาจแย่ลง หากไม่เร่งปรับโครงสร้าง หคือกรณีไม่มีมาตรการพิเศษจากรัฐเหมือนปีนี้จะมีแนวทางเติบโตอย่างไร</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ บล. เอเซีย พลัส (ASPS) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปี 2567 มีแนวโน้มดีขึ้น โดยไตรมาส 1/67 ที่ GDP ไทยขยายตัว 1.5% เป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ โดยมีเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ณ สิ้นปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 1,450 จุด (ปรับลดจากประมาณการก่อนหน้าที่ระดับ 1,570 - 1,580 จุด)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในไตรมาส 3 นี้ คาดว่า SET Index จะยืนเหนือ 1,350 จุด โดยมีปัจจัยบวก โดยหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่ในช่วงก่อนหน้าติดลบกว่า 20% และมาตรการสนับสนุนตลาดทุนอย่างกองทุนวายุภักษ์ และจากกองทุน ThaiESG ที่คาดว่าอาจสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดอย่างน้อย 30,000 - 40,000 ล้านบาทต่อปี&nbsp; &nbsp;&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/eWrNemBiKqLdBwc19UuZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="eWrNemBiKqLdBwc19UuZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ปัจจัยที่หนุนตลาดหุ้นไทย ปัจจัยต่างประเทศคือ ภาพเศรษฐกิจโลกที่ดูผ่อนคลายลงจากความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางวัฏจักรดอกเบี้ยโลกขาลงเริ่มชัดเจน โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3/67 เชื่อว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยน หนุนให้ค่าเงินบาแข็งต่าขึ้น ขณะที่ปัจจัยหนุนในประเทศ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. มุมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/67 ที่มีโอกาสเติบโตเทียบกับช่วงเดียวกันชองปีก่อน (YoY) จากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า และทรงๆ ตัวจากการเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) รวมถึงมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมันยืนระดับสูงหนุนให้กำไรงวดไตรมาส 2/67 มีโอกาสอยู่ในกรอบ 230,000 – 270,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. มุม Valuation SET จะเห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1,300 จุด มองว่าหุ้นไทยราคาไม่สูงมากอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่า (PBV) มีค่าที่ 1.2 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี), อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield 3.5% (+1SD ในรอบ 10 ปี)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เริ่มจาก 1 ก.ค. 67 ที่ประกาศการใช้กฎ UPTICK RULE ทุกบริษัท ซึ่งลดการทำธุรกรรม SHORT SELL ได้อย่างมีนัยฯ&nbsp; &nbsp; ในด้านปัจจัยทางการเมืองมองว่า กรณีการยุบพรรคก้าวไกลจะไม่ได้สร้างผลกระทบ Downside ต่อตลาดหุ้นไทย แต่เคสที่อาจมีน้ำหนักทางเศรษฐกิจ มองว่าเป็นกรณีที่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/wELXsrJQ8f37KhVukTr5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wELXsrJQ8f37KhVukTr5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม กรณีบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA หรือเมื่อเกิดปัญหาบริษัทต่างๆ ส่วนใหญ่พบว่า ผลกระทบระยะแรกจะสูงที่สุดเพราะนักลงทุนจะคาดการณ์ถึงภาพที่แย่ที่สุด แต่เคส EA มองว่าผลกระทบยังจำกัด เพราะตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นลดลงค่อนข้างมากแล้ว อาจเพราะคนคาดว่าธุรกิจกำไรลดลง ต่อมาเจอปัญหาความเชื่อมั่น แต่ต้องติดต้องความคืบหน้าว่าบริษัทจะมีการแก้ไขปัญหาอย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ EA มีภาระหนี้หุ้นกู้ 31,000 ล้านบาท ตราสารหนี้ระยะสั้น 1,400 ล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ระยะสั้น 8,300 ล้านบาท เงินกู้จากสถาบันการเงิน ระยะยาวที่ 17,000 ล้านบาท เป็นโครงสร้างเงินกู้ที่ต้องทยอยแก้ปัญหาไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยมองว่าปี 2567 GDP จะเฉลี่ยที่ 2.6% โดยมีผลดีจากนโยบายรัฐที่คาดว่าจะออกมาเต็มที่ช่วงไตรมาส 4/67 ซึ่งหากมี DIgital Wallet ออกมาคาดว่าจะส่งผลดีทั้งในปลายปีและต้นปีหน้า แต่จุดที่น่าเป็นห่วงคือ หากไทยไม่เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ หรือไม่มีมาตรการพิเศษ (อย่างในปีนี้) อาจทำให้การเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ไม่มีแรงส่งมากนัก เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/global/disney-and-olc-cruise-project-prepare-to-sail-in-2029" alt="Disney เล่นใหญ่! เปิดโปรเจ็กต์เรือสำราญในญี่ปุ่น พร้อมให้บริการปี 2029"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ea-updated-july-2024" alt="EA ปรับทัพผู้บริหารแก้ปัญหาความเชื่อมั่น ย้ำมีเงินสดจ่ายหนี้หุ้นกู้">EA ปรับทัพผู้บริหารแก้ปัญหาความเชื่อมั่น ย้ำมีเงินสดจ่ายหนี้หุ้นกู้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บล.เอเซีย พลัส คาด SET สิ้นปี 67 ไปถึง 1,450 จุด แต่ห่วงเศรษฐกิจไทยปี 69 โตแผ่ว

ไม่บ่อยนัก ที่จะได้เห็นผู้นำด้านการเงิน การลงทุน และสถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจชั้นนำของประเทศ ผนึกกำลังกันพัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์คนอยากเรียนด้านการลงทุนและการบริหารธุรกิจควบคู่ไปด้วยกัน

หลักสูตรที่ว่านี้ ก็คือ Future Generation Wealth Program รุ่นที่ 3  โดยบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จับมือกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ร่วมกันออกแบบเนื้อหาหลักสูตรให้เข้มข้นขึ้น ครอบคลุมองค์ความรู้ทุกมิติ ทั้งความรู้พื้นฐานด้านการลงทุน การเลือกใช้เครื่องมือทางการเงิน และกลยุทธ์การลงทุน เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้งอกเงยด้วยแนวทางที่ถูกต้อง พร้อมด้วยการฝึกทักษะการลงทุน และวิเคราะห์ธุรกิจจริง โดยมีทีมโค้ชคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนก้าวทันโลกแห่งการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

หนึ่งในหัวใจสำคัญของหลักสูตรนี้ที่จะช่วยยกระดับความรู้ คงไม่มีใครปฎิเสธว่า การได้เรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์และผ่านสนามจริงมาแล้ว ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการที่เจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ปลุกปั้นกิจการจนขึ้นมาอยู่แถวหน้าในอุตสาหกรรม และผู้บริหารองค์กรชั้นนำระดับประเทศ อาทิ ธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจการบิน สตาร์ทอัพ อีคอมเมิร์ซ Corporate VC จะมาแชร์เคล็ดลับการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ถือว่าเป็นการติดอาวุธเสริมความแกร่งให้ผู้เรียนได้อย่างรอบด้านจริงๆ

โดยได้รับเกียรติจากคุณประทีป ตั้งมติธรรม (ศุภาลัย), คุณจรีพร จารุกรสกุล (WHA), คุณธรรศพลฐ์ แบ-เลเว็ลด์ (ไทยแอร์เอเชีย), คุณธนพงษ์ ณ ระนอง (บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล), คุณทิวา ยอร์ค (ขายดีดอท-คอม), คุณฐากร ปิยะพันธ์ (กรุงศรีคอนซูเมอร์ และธนาคารกรุงศรี), คุณวัชระ แก้วสว่าง (เซียนหุ้นพัน-ล้าน), ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ (กลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส) มาร่วมแชร์เคล็ดลับการบริหารครั้งนี้

<figure><img class="wp-image-10284 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/pc-w2.jpg" alt="" width="403" height="605" /><figcaption> ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และประธานกรรมการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า “สำหรับโครงการ Future Generation Wealth Program รุ่นที่ 3 นี้ ทางเอเซีย พลัส และศศินทร์ ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรให้มีองค์ความรู้ในเรื่องการเงินการลงทุนแบบครบวงจร รวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งด้วยเคล็ดลับความสำเร็จในการบริหารธุรกิจจากเจ้าของธุรกิจชั้นนำ ที่พร้อมแชร์ประสบการณ์ตรงในการขับเคลื่อนกิจการให้เติบโตจนขึ้นเป็นแถวหน้าของอุตสาหกรรม และมุมมองจากนักลงทุนตัวจริงที่คร่ำหวอดในวงการ อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจจากความร่วมมือกันในครั้งนี้ของสององค์กรชั้นนำในการนำเสนอหลักสูตรในครั้งนี้อีกด้วย”

นี่ยังไม่รวมถึงการได้ไปเยี่ยมชมและดูงานกับบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเปิดโลกทัศน์การลงทุนและต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างมีแบบแผนได้อย่างองค์กรระดับสากล รวมถึงโอกาสที่จะได้สร้างเครือข่ายพบปะกับเพื่อนใหม่และพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยเสริมความครบเครื่องได้ยิ่งขึ้น

<img class="alignnone size-full wp-image-10285" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/pc-w-1.jpg" alt="" width="666" height="444" />

คุณอาริสสนี เตชะไพบูลย์ – เจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ “ปกติไม่ใช่คนที่ชอบเรียนหรืออบรม แต่พอเห็นหลักสูตรแล้วสนใจเลย และหลังจากเข้าโครงการ รู้สึกประทับใจมาก เพราะได้ทำกิจกรรมสัมผัสประสบการณ์จริง พบ CEO และวิทยากรที่มาบรรยาย ซึ่งเป็นทางลัดที่ได้ผลทำให้เราได้เรียนรู้ได้เร็ว”

คุณกวิน เต็มไตรรัตน์ – Managing Director, บริษัท 3BS จำกัด “ทีมงานมีความเป็นมืออาชีพมาก ให้ข้อมูลด้านการลงทุนทุกรูปแบบ ทั้งกองทุน การลงทุนต่างประเทศ และการเลือกหุ้นรายตัว ทำให้รู้สึกว่ามีพี่เลี้ยงคอยซัพพอร์ทอยู่เบื้องหลังเวลาที่จะตัดสินใจด้านการลงทุนก็สามารถปรึกษาได้ ทั้งลงทุนส่วนตัวและในนามบริษัท”

คุณลักษิกา กรรณสูตร – เจ้าของแบรนด์ Little Bunny Stores, บริษัท Little Bunny Group จำกัด “บรรยากาศการเรียนเป็นกันเอง มีกิจกรรมที่สร้างความสนิทสนมทำให้เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ที่สำคัญไม่ได้มีแค่ความสนุกค่ะ แต่ทุกกิจกรรมอัดแน่นด้วยความรู้จริงๆ เรียกได้ว่าร่วมโครงการนี้ทั้งสนุกและได้ความรู้”

คุณวริศ แจ่มขจรเกียรติ – บริษัท AK&amp; J Textile จำกัด “หลังจากที่ผ่านการเรียน 3 เดือนเต็ม ผมมีความรู้ด้านการลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการวางแผนการเงินสำหรับอนาคต และที่สำคัญได้รับการดูแลอย่างดี ได้ทั้งเพื่อนและมิตรภาพที่ดีกลับมา เสมือนมีครอบครัวที่ดีเพิ่มขึ้นอีกครอบครัวเลย"

ซึ่งก็สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของ Future Generation Wealth Program ที่ต้องการให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีพื้นฐานที่ดีสำหรับการลงทุนหรือบริหารธุรกิจเพื่อการเติบโตในระยะยาว และได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนที่ประสบความสำเร็จหรือเพื่อนๆ ร่วมโครงการ เพื่อต่อยอดธุรกิจ

ดร. ก้องเกียรติ กล่าวว่า “ความรู้ความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานและทางเลือกในการลงทุนจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีความพร้อมในการก้าวเข้าสู่โลกแห่งการลงทุน และสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว”

&nbsp;

Future Generation Wealth Program รุ่น 3 เริ่มเรียน 25 กรกฎาคม 62 นี้
สมัคร หรือดูเพิ่มเติม <a href="https://bit.ly/FG3-FORBES?fbclid=IwAR1vQqaXfLWcw0IHM-FRxuaFvaD242umVlDPYHHicldIamNYioIMPE4z354">http://bit.ly/FG3-FORBES</a>  โทร. 0 2680 1858, 0 2680 4064

บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โครงการ Future Generation Wealth Program รุ่นที่ 3

<h2>บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เดินหน้าจัดโครงการ Future Generation Wealth Program ต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 3 โดยลงนามความร่วมมือกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจชั้นนำของประเทศ เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบ Action Learning ที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นกลยุทธ์ในการสร้างความมั่งคั่งและเติบโตอย่างยั่งยืน ให้ตอบโจทย์เทรนด์การลงทุนและการบริหารธุรกิจยุคดิสรัปชั่น ช่วยสร้างนักลงทุนและผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าสู่ตลาดทุนและโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน</h2>
เอเซีย พลัสได้เริ่มพัฒนาหลักสูตร Future Generation Wealth Program ขึ้น เพราะต้องการสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าในทุกมิติ จากประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจด้านการเงินการลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้กับบริษัทและผู้ประกอบการชั้นนำของไทยมากว่า 40 ปี ทำให้เห็นว่าหัวใจสำคัญที่เป็นพื้นฐานของความสำเร็จในการลงทุนและการบริหารธุรกิจ คือ การเปิดมุมมองและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความท้าทายจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและกระแสการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจทั้งระดับประเทศและระดับโลก และศึกษานวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนที่จะช่วยให้สามารถส่งต่อความมั่งคั่งไปยังรุ่นถัดไป

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด และประธานกรรมการ บริษัทที่ปรึกษาเอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า

“สำหรับโครงการ Future Generation Wealth Program รุ่นที่ 3 นี้ ทางเอเซีย พลัส และศศินทร์ ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตร ให้มีองค์ความรู้ในเรื่องการเงินการลงทุนแบบครบวงจร รวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งด้วยเคล็ดลับความสำเร็จในการบริหารธุรกิจจากเจ้าของธุรกิจชั้นนำ ที่พร้อมแชร์ประสบการณ์ตรงในการขับเคลื่อนกิจการให้เติบโต จนขึ้นเป็นแถวหน้าของอุตสาหกรรม และมุมมองจากนักลงทุนตัวจริงที่คร่ำหวอดในวงการ อีกทั้ง ยังเพิ่มโอกาสในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจจากความร่วมมือกันในครั้งนี้ ของสององค์กรชั้นนำในการนำเสนอหลักสูตรในครั้งนี้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังจัดให้มีการเดินทางไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ เพื่อเปิดโลกทัศน์การลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง เปิดโอกาสให้ได้พบปะกับเจ้าของธุรกิจจากบริษัทชั้นนำ และยังเป็นโอกาสอันดีในการหาช่องทางการขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาค”

พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ศศินทร์เชื่อมั่นและเล็งเห็นถึงประโยชน์ของโครงการ Future Generation Wealth Program ในการช่วยต่อยอดองค์ความรู้ด้านการเงิน การลงทุน และการบริหารธุรกิจ ให้ครบครัน จากการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริง หรือ Action Learning เปรียบเสมือนการเรียนลัด ที่สามารถนำไปต่อยอดในการทำธุรกิจต่างๆ ได้”

“การร่วมมือกันครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นเจตนารมณ์และแนวทางการพัฒนาหลักสูตรร่วมกัน ที่มีความสอดคล้องกันอย่างมาก ศศินทร์ใช้แนวทางการสอนที่ต้องผสมผสานการลงมือทำ สิ่งที่ได้เรียนรู้ต้องเป็นประโยชน์ที่นำไปปรับใช้ได้จริง สิ่งที่ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการลงทุนและการบริหารจัดการธุรกิจในยุคนี้ ที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก” พารณ กล่าวเพิ่มเติม

ภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างเอเซีย พลัสและศศินทร์ในครั้งนี้ ยังครอบคลุมถึงการต่อยอดให้ความรู้ทางด้านการเงินและการลงทุนแก่นิสิต นักศึกษา และศิษย์เก่าของศศินทร์ ผ่านประสบการณ์ของทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนของกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส เพื่อขยายขอบข่ายการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่อาจเป็นทั้งนักลงทุนและเจ้าของธุรกิจ ให้เข้าสู่ตลาดเงินตลาดทุนและโลกธุรกิจอย่างมีคุณภาพ

พารณ มองว่า “นิสิตนักศึกษาของศศินทร์ในแต่ละปี มีโอกาสได้เรียนรู้ด้านการเงินการลงทุนอยู่แล้วจากเนื้อหาในหลักสูตรการเรียนการสอน แต่เรามองว่า การเปิดโอกาสให้นิสิต หรือแม้แต่ศิษย์เก่า ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้กับทีมงานเอเซีย พลัส ที่มีประสบการณ์ตรงด้านการลงทุนแขนงต่างๆ และการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งได้ดียิ่งขึ้น”

ด้าน ดร. ก้องเกียรติ กล่าวว่า “ความรู้ความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานและทางเลือกในการลงทุน จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีความพร้อมในการก้าวเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนและสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว”

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events