<h2>‘ท็อปส์’ ซูเปอร์มาร์เก็ตเจ้าแรกในไทย เปิดตัวบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกสำหรับเนื้อสัตว์ย่อยสลายได้ 100% ผลิตจากเยื่อพืชธรรมชาติ นำร่องใช้สำหรับโซนเนื้อสัตว์แช่เย็น ชูจุดเด่นคงรสชาติ ความสด และปลอดภัย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฟู้ด เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “ท็อปส์ มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกคน ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของเราคือการปรับใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก โดยล่าสุดได้เปิดตัวนวัตกรรมโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนสำหรับกลุ่มสินค้าเนื้อหมูและไก่ ผลิตจากเยื่อพืชธรรมชาติ 100% สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ภายใน 45 วัน เพื่อทดแทนการใช้พลาสติก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมความยั่งยืน เข้ามาปรับใช้ในกระบวนการการดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต พร้อมส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์โลกที่น่าอยู่ ตามเจตนารมณ์ของเซ็นทรัล รีเทล ในการเป็นต้นแบบองค์กรค้าปลีกสีเขียวที่ยั่งยืน หรือ Green &amp; Sustainable Retail พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่นี้ นับเป็นครั้งแรกของซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทยที่ได้นำบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกมาใช้บรรจุสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ ซึ่งสามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อสัตว์ป่าจากขยะพลาสติก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยบรรจุภัณฑ์ 1 ชิ้น สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 64 กรัม ปัจจุบันท็อปส์ ได้ริเริ่มการเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสินค้าเนื้อหมูและไก่รวมจำนวน 14 รายการ ที่ท็อปส์ และท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ ที่เข้าร่วมรายการ ก่อนเตรียมขยายการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ไปยังกลุ่มสินค้าเนื้อวัวและเนื้อแกะ รวมถึงการวางจำหน่ายในท็อปส์ เดลี่ โดยตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 3 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2024&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ท็อปส์ ได้ให้ความสำคัญกับแนวคิดใส่ใจสิ่งแวดล้อมจากต้นทางสู่ปลายทาง โดยได้ริเริ่มการนำนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกมาใช้บรรจุสินค้าเชอร์รี่สด ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ภายใน 45 วัน ทำจากของเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ชานอ้อย และผักตบชวา เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝากล่องทำมาจากพลาสติกใส PET รีไซเคิลได้ 100% การันตีความปลอดภัยต่อสุขภาพ โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปแล้วมากกว่า 11 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นับตั้งแต่การเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ท็อปส์ จะยังคงเดินหน้าขยายแผนการปรับใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกับผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ อีกในอนาคต โดยในเบื้องต้นตั้งเป้าช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกสำหรับเชอร์รี่สดรวมถึงผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อสัตว์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 45 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตลอดปี 2024 นี้ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/csr-sustainability/ajinomoto-green-logistics" alt="‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ เดินหน้า Green Logistics ทุ่ม 40 ล้านบาท ใช้รถ EV ขนส่งสินค้า">‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ เดินหน้า Green Logistics ทุ่ม 40 ล้านบาท ใช้รถ EV ขนส่งสินค้า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ท็อปส์’ เปิดตัวแพ็คเกจจิ้งเนื้อสัตว์ ย่อยสลายได้ 100% ผลิตจากเยื่อพืชธรรมชาติ ลดใช้พลาสติก

<h2>SCGP เปิดผลการดำเนินงานปี 2565 ทำรายได้จากการขาย 1.46 แสนล้านปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้น 18% พร้อมกางแผนกลยุทธ์สร้างธุรกิจแกร่งรับเศรษฐกิจฟื้น และคาดการณ์แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ดีขึ้นหลังจีนเปิดประเทศ มั่นใจรายได้ทะยานตามเป้าหมาย 1.6 แสนล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2565 ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยต่างๆ โดยมีรายได้จากการขาย 1.46 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนื่องจากการวางกลยุทธ์ขยายกำลังการผลิตและการควบรวมกิจการกับพันธมิตร (M&amp;P) การรับรู้รายได้เต็มปีจากการรวมผลประกอบการของบริษัทที่ M&amp;P ได้แก่ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab การรับรู้รายได้บางส่วนจาก Peute และ Jordan และการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน EBITDA เท่ากับ 19,402 ล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อน และมีกำไรสำหรับปี 5.80 พันล้านบาท ลดลง 30% จากปีก่อน จากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงการลดลงของปริมาณการขายและอุปสงค์กระดาษบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกจากสถานการณ์เศรษฐกิจ และในภูมิภาคจากการล็อกดาวน์ของประเทศจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 SCGP มีรายได้จากการขาย 3.35 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% มี EBITDA อยู่ที่ 3.55 พันล้านบาท ลดลง 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสำหรับงวด 450 ล้านบาท ลดลง 79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการและราคาขายบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนาม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/iq2o1PX9W3tkXrhAXEjk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="iq2o1PX9W3tkXrhAXEjk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="650,650" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ความต้องการสินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพื่อการอุปโภคบริโภคของประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ยังเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการทยอยเปิดประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น SCGP ได้กำหนดแผนเงินลงทุนไว้ 1 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี (2564-2568) เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ 2 แสนล้านบาท ในปี 2568 โดยในปี 2564-2565 SCGP ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 3.7 หมื่นล้านบาท ในการลงทุนและขยายกำลังการผลิตในธุรกิจที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทำให้ SCGP สามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนที่สูงท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย สะท้อนถึงโมเดลธุรกิจและทิศทางการดำเนินธุรกิจของ SCGP ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม และสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งให้ SCGP ได้อย่างชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาสแรกของปี 2566 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากจะได้รับปัจจัยบวกจากการที่จีนเริ่มเปิดประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การนำเข้าและส่งออก ตลอดจนห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่กลับสู่ภาวะปกติ ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยสินค้าต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันยังคงมีความท้าทายจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ผันผวนต่อเนื่อง แรงกดดันด้านเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับสูง และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงในหลายภูมิภาค เช่น กลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหญ่ของภาคธุรกิจการส่งออกของอาเซียน”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/aTSgbzRXFzsrbqUDWNhC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aTSgbzRXFzsrbqUDWNhC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="605,605" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น SCGP ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงเร่งดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 1.6 แสนล้านบาท ด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.การสร้างการเติบโตจากการ M&amp;P และการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และมองโอกาสขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ ที่มีศักยภาพสูง โดยมุ่งเน้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และผสานความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัทย่อย (Synergy) ด้วยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี การขยายฐานลูกค้าและจัดหาวัตถุดิบ เพื่อยกระดับขีดความสามารถการดำเนินงาน โดยตั้งงบประมาณการลงทุนในปีนี้ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2.การพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มคุณค่าและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ด้วยงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา 800 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3.การยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานของทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain integration) การดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (Operational excellence) ด้วยการนำระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้ในการวิเคราะห์ คาดการณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตและผลิตผล และการใช้ Data Analytics เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านข้อมูลตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (End-to-End)&nbsp;&nbsp;&nbsp; 4.การวางแผนบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน การวางแผนบริหารความเสี่ยงในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น การบริหารจัดการเงินสด และงบประมาณการลงทุน (CAPEX) อีกทั้งยังมีการกระจายฐานลูกค้าหลากหลายประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรม การมองหาตลาดใหม่ในแถบตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกาใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp; 5.ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด ESG 4 Plus โดยมีเป้าหมายและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนที่จะเพิ่มสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ จากปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตทั้งหมดในปี 2568 พร้อมทั้งการดำเนินงานตามแผนงานเพื่อที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ในวันที่ 24 เมษายน 2566 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 5 เมษายน 2566 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 4 เมษายน 2566 อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87-hattha-bank-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99" alt="กรุงศรี ยกระดับโมบายแบงก์กิ้ง Hattha Bank รับเทรนด์เศรษฐกิจดิจิทัลขาขึ้น">กรุงศรี ยกระดับโมบายแบงก์กิ้ง Hattha Bank รับเทรนด์เศรษฐกิจดิจิทัลขาขึ้น</a>​<hr class="__se__solid">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine​

SCGP ประกาศรายได้เติบโต 18% ทะลุ 1.46 แสนล้าน

<h2>เอสซีจี แพคเกจจิ้งปิดดีลถือหุ้น 100% ใน Go-Pak ขยายฐานภาคธุรกิจบริการด้านอาหาร ผู้ค้าปลีกและค้าส่งในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับร้านอาหาร ร้านอาหารบริการด่วนในสหราชอาณาจักร ยุโรป อเมริกาเหนือ พร้อมเพิ่มศักยภาพการขยายฐานตลาดในอาเซียนรับเมกะเทรนด์การเติบโต</h2>
วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP ได้รุกขยายธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์อาหาร (Foodservice Packaging) เพื่อเพิ่มศักยภาพขยายตลาดรองรับเมกะเทรนด์การขยายตัวของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารตามความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการจัดส่งอาหาร (Food Delivery) เพิ่มขึ้น และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียนในปี 2562-2567 ซึ่งคาดการณ์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 6-7 ต่อปี

ดังนั้น บริษัทจึงให้ความสำคัญเดินหน้าขยายตลาดและฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2561 ที่ได้มีการขยายฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในประเทศมาเลเซีย ด้วยการเข้าซื้อหุ้น Interpress Printers Sendirian Berhad (IPSB) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารที่ทำจากกระดาษที่ได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน BRC Global Standard ระดับ AA โดยเป็นมาตรฐานการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารสูงสุด และมีฐานลูกค้าเป็นเครือข่ายร้านอาหารและบริษัทฟาสต์ฟู้ดในทวีปเอเชีย

<img class="alignnone size-full wp-image-40251" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/SCCP_003.jpg" alt="" width="600" height="446" />

สำหรับในปีนี้บริษัทได้ลงทุนเข้าถือหุ้น 100% ใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารในสหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองบริสตอล สหราชอาณาจักร และฐานการผลิตอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ด้วยการจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์อาหารที่หลากหลายกว่า 250 ประเภท เช่น จาน ช้อนส้อม ถ้วย แก้ว ฯลฯ ซึ่งผลิตจากกระดาษ โพลิเมอร์ และวัสดุย่อยสลายได้อื่นๆ

นอกจากนั้น บริษัทยังมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหาร 4 พันล้านชิ้นต่อปี พร้อมเครือข่ายการจัดหาสินค้าทั่วโลก โดยมีฐานลูกค้าอยู่ในภาคธุรกิจบริการด้านอาหาร ผู้ค้าปลีกและค้าส่งในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับร้านอาหาร ร้านอาหารบริการด่วน ผู้ให้บริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 - ไตรมาส 3 ปี 2563 มีรายได้ 68.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.8 พันล้านบาท) มูลค่าสินทรัพย์ 40.2 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1.65 พันล้านบาท)

<img class="alignnone size-full wp-image-40252" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/SCCP_004.jpg" alt="" width="600" height="259" />

ส่วน SCGP เป็นบริษัทผู้ให้บริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนำเสนอบริการด้านบรรจุภัณฑ์เยื่อและกระดาษ บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ และบริการบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายอื่น ๆ มีรายได้รวมในช่วง 9 เดือนปี 2563 เท่ากับ 6.92 หมื่นล้านบาท โดยมีฐานการผลิตรวมกว่า 40 แห่งในเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย พร้อมนำเสนอบรรจุภัณฑ์อาหารภายใต้แบรนด์ Fest เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร, หลอดกระดาษ ฯลฯ

“การลงทุนครั้งนี้จะเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งด้านการผลิตและการตลาดบรรจุภัณฑ์อาหาร เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้าใน สหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารที่หลากหลายเพื่อขยายตลาดอาเซียน โดย SCGP จะนำความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์กว่า 40 ปี เข้าไปเสริมสร้างธุรกิจของ Go-Pak ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” วิชาญกล่าวอย่างมั่นใจถึงการลงทุนใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2564

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3.html">คนไทยพร้อมสนับสนุน “แบรนด์ยั่งยืน”</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events