<h2>Apple เดินหน้าพัฒนาโปรเจ็กต์รถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ชื่อ “Titan” อย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจาก<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/johnkoetsier/2020/12/21/apple-vs-tesla-apple-self-driving-car-to-hit-market-in-2024-says-reuters/?sh=4ee389cd6801">หยุดดำเนินการไปเมื่อปี 2016</a> เพื่อโฟกัสกับโปรเจ็กต์ด้านซอฟแวร์ที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น</h2>
ล่าสุด สำนักข่าว <a style="color: #333333;" href="https://www.reuters.com/article/idUSL1N2IX1RZ">Reuters</a> ได้ออกมาเผยว่า “Apple วางแผนเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับในปี 2024 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล้ำสมัย”

<figure><img class="wp-image-39413" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/tim-cook-844x1024.jpg" alt="Apple Car" width="543" height="659" /><figcaption> Tim Cook ประธานกรรมการบริหาร Apple</figcaption></figure>

แหล่งข่าวยังระบุเพิ่มเติมว่า จุดเด่นของ Apple Car คือ แแบตเตอรี่ชนิดใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Lithium Iron Phosphate (LFP) ที่มีอายุการใช้งานที่ยืนยาวกว่าแบตเตอรี่แบบ Lithium Ion ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มระยะทางการขับขี่แล้ว ยังช่วยลดต้นทุนเช่นกัน โดยสนนราคาคาดว่าจะอยู่ระหว่างโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าของ Nisson Leaf และ Tesla

ในที่นี้ มีความเป็นไปได้ว่า Apple จะไม่ดำเนินการพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่จะเป็นการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ที่เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ เพื่อประหยัดต้นทุนการวิจัย ซึ่งนับเป็นกลยุทธ์การดำเนินงานที่แตกต่างจากเดิม ที่ Apple มักจะเป็นผู้ควบคุมทุกภาคส่วนของสายพานการผลิตด้วยตนเอง และจะไม่มีการถ่ายทอดซอฟแวร์ให้กับองค์กรภายนอกแต่อย่างใด


อย่างไรก็ดี ก่อนที่ Apple จะเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีสาขาเกือบทั่วทุกมุมโลก องค์กรแห่งนี้ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายตั้งแต่ยุคเริ่มต้นก่อตั้งในปี 1976 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งก็คือ Apple I แต่ผลประกอบการกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร กระทั่งพัฒนามาเป็น Apple II ที่ได้รับความนิยม จนสามารถสร้างกำไรให้บริษัทเป็นอย่างมาก

โดยในปี 2007 Apple ได้สร้างปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการโทรศัพท์ ด้วยการเปิดตัว iPhone ที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัสอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้กระแสสมาร์ทโฟนเริ่มเติบโตขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว App Store ที่เป็นแหล่งรวบรวมแอปพลิเคชันเสริมต่างๆ 

<img class="alignnone wp-image-39414" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/apple-car.jpg" alt="Apple" width="723" height="376" />

ปัจจุบัน Apple มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และกำลังต่อยอดจากธุรกิจสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าจะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนที่ค่อนข้างสูง จนเป็นที่คาดการณ์ว่า Apple อาจจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดของ Tesla ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ณ เวลานี้ ด้วยมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ 6 แสนล้านเหรียญ 

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาสถานะทางการเงินของทางบริษัท ที่มีเงินสดอยู่ในครอบครองมากถึง 2 แสนล้านเหรียญ อาจคำนวณได้ว่า Apple สามารถเข้าซื้อกิจการของ General Motors ด้วยเงินสดได้ถึง 4 ครั้งด้วยกัน ขณะที่การเข้าซื้อ Toyato ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ต้องกู้เงินสดอีกราว 1 หมื่นล้านเหรียญ

ไม่เพียงเท่านี้ Apple ยังสามารถเข้าซื้อ Volkswagens, Daimlers, BMWs, Hondas, Fords และ Nissans โดยไม่ต้องกังวลปัญหาด้านสภาพคล่องเลยทีเดียว

ในที่นี้ จึงกล่าวได้ว่า หาก Apple ตัดสินใจที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการเข้าซื้อกิจการของบริษัทผลิตรถยนต์จริงๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากและมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้สูง แต่ในทำนองเดียวกัน การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันเห็นได้ชัดว่า Tesla ยังคงเป็นผู้นำในด้านนี้อยู่

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Apple vs Tesla? Apple Self-Driving Car To Hit Market In 2024, Says Reuters เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/tim-kentley-klay-เปิดตัว-hypr-สตาร์ทอัพรถย.html">Tim Kentley Klay เปิดตัว “HYPR” สตาร์ทอัพรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแห่งใหม่</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events