<h2>หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2561 ที่ San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา และเปิดตัวที่ยุโรปเมื่อต้นปี 2562 ล่าสุด รถยนต์ไฟฟ้า Audi e-tron ยนตรกรรมหรูพลังงานไฟฟ้า 100% จากโรงงานที่เบลเยี่ยมได้ฤกษ์เปิดตลาดในประเทศไทย</h2>
โดย รถยนต์ไฟฟ้า Audi e-tron เปิดตัวในวันที่ 14 มีนาคม 2562 พร้อมประกาศเป็นพันธมิตรกับ “แสนสิริ” บริษัทพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ โดยร่วมกันพัฒนา Green Ecosystem ด้วยการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของ Audi ที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทย ไปใช้เป็นรถยนต์ส่วนกลางสำหรับให้บริการลูกบ้านในทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ ภายใต้พันธกิจ “Dare to Change” ร่วมผลักดันสังคมไทยสู่ smart city

ความร่วมมือกับแสนสิริเป็นหนึ่งในสัญญาณที่สะท้อนว่า ตลาดเมืองไทยพร้อมแล้วสำหรับการมาเยือนของยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100%  รุ่นแรกของ Audi ซึ่ง กฤษฎา ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร Audi Thailand กล่าวว่า เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่จะสร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในกลุ่มยนตรกรรมพรีเมียมในด้านสมรรถนะ ดีไซน์ และความก้าวล้ำแห่งเทคโนโลยี ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และความต้องการของลูกค้า ที่รอคอยการมาของ Audi e-tron

"Audi e-tron จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญส่วนหนึ่งในการพัฒนาและขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็น smart city จากนโยบายด้านความยั่งยืนที่กลายเป็นรูปธรรม ด้วยการนำยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดประเทศไทย" กฤษฎากล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-5596" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1552568190853-e1552568589523.jpg" alt="" width="800" height="513" />

การเปิดตัว Audi e-tron ครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในเอเชีย หลังจากก่อนหน้านี้เคยนำรถรุ่นนี้ไปโชว์ที่งานแสดงยานยนต์ที่สิงคโปร์แต่ยังไม่ได้มีการเปิดตัว เพิ่งมาเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย ท่ามกลางการรอคอยของลูกค้าที่ได้ทราบข่าวการเปิดตัว Audi e-tron ที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปในช่วงที่ผ่านมา

"ตอนนี้เราเปิดจอง Audi e-tron และคาดว่าจะได้การตอบรับที่ดีพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้มีลูกค้าหลายรายแสดงความสนใจเข้ามา หลังจากนี้ก็จะดูว่าไทยจะได้โควต้านำเข้ามาจำหน่ายกี่คัน ในเบื้องต้นคาดว่าไม่น้อยกว่า 30 คัน” กฤษฎากล่าวและว่า ที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ ราคารถรุ่นนี้ที่จะจำหน่ายในไทย เปิดตัวที่ราคา 5.099 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคารถหรูเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่จับต้องได้

<img class="alignnone size-full wp-image-5597" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1552568239753-e1552568619866.jpg" alt="" width="800" height="600" />

&nbsp;
<h2>ออกแบบเพื่อการใช้งานได้จริง</h2>
Audi e-tron เป็นรถขนาด 5 ที่นั่ง ออกแบบมาสำหรับการใช้งานได้จริง โดยรุ่นที่นำมาเปิดตัว คือ Audi e-tron 55 quattro  ราคา 5.099 ล้านบาท มาพร้อมระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Audi โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้ง 2 ตำแหน่งที่ด้านหน้าและด้านหลังซึ่งส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ทำให้เกิดการตอบสนองที่ฉับไวในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นการออกตัว หรือการเร่งแซงที่ทำได้รวดเร็วทันใจ

โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 266 กิโลวัตต์ หรือ 360 แรงม้า และเพิ่มขึ้นเป็น 408 แรงม้า ในบูสต์โหมดแรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร และเพิ่มขึ้นเป็น 664 นิวตันเมตร ในบูสต์โหมด ทำให้มั่นใจในสมรรถนะที่จะตอบสนองการใช้งาน เติมอารมณ์สปอร์ตได้อย่างเต็มที่ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 6.6 วินาที และ 5.7 วินาทีในบูสต์โหมด และทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม.

นอกจากเรื่องของสมรรถนะแล้ว จุดเด่นของ e-tron  คือ ความสามารถในการใช้งาน โดยการชาร์จไฟ 1 ครั้ง เดินทางได้ 417 กม. จากการทดสอบโดยใช้มาตรฐาน WLTP ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยีการออกแบบที่เยี่ยมยอด ทำให้ชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรีได้รวดเร็ว เมื่อรถชะลอความเร็วหรือเบรก

<img class="alignnone wp-image-5598" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1552568244352.jpg" alt="" width="800" height="600" />

Audi e-tron เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรก  Audi’s First Luxury Pure Electric Car ยนตกรรมเอสยูวีพรีเมียมพลังงานไฟฟ้า 100 % สมรรถนะสูง สะท้อนเอกลักษณ์ ความโดดเด่น และ ดีเอ็นเอ Audi ที่เรียกว่า Vorsprung Durch Technik ครั้งแรกในประเทศไทย

นอกจากสมรรถนะที่ดีแล้ว ความกว้างขวางของตัวรถยังอำนวยความสะดวกต่อการใช้งาน โดยมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้าย 600 ลิตร สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 1,725 ลิตร เมื่อพับเบาะด้านหลังลง และยังมีที่เก็บสัมภาระด้านหน้าอีก 60 ลิตร
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AA-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84.html">เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดทิศทางยนตรกรรมแห่งอนาคต เผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ EQA</a></li>
</ul>
ระบบ MMI Touch Response หน้าจอดิสเพลย์ MMI แบบทัชสกรีน ขนาด 8.6 และ 10.1 นิ้ว มีฟังก์ชั่นสั่งงานด้วยเสียง เพิ่มความสะดวก และเพลิดเพลินในการใช้งาน สัมผัสประสบการณ์ใหม่จากกล้องแสดงภาพด้านข้าง (Virtual exterior mirrors) ที่จะแสดงผลบนหน้าจอ OLED ความละเอียดสูงขนาด 7 นิ้ว พร้อมฟังก์ชั่นควบคุมแบบสัมผัส ที่ติดตั้งบริเวณแผงประตูซ้าย-ขวา เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้มองเห็นภาพด้านข้างตัวรถที่ชัดเจน

<img class="alignnone wp-image-5602" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1552568280237.jpg" alt="" width="800" height="600" />

&nbsp;
<h2>บริษัทแม่ศึกษาตั้งโรงงานในไทย</h2>
ลูกค้าที่จอง Audi e-tron วันนี้จะได้รับรถในช่วงปลายปี ซึ่งถือว่าเป็นการมาเยือนของยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% ที่มาเร็วกว่าความคาดหมาย ทั้งการตอบรับของตลาดและความพร้อมในการจัดเตรียมสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้า ที่รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการ

Alexander von Waldenburg-Dresel ผู้อำนวยการส่วนงานต่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไต้หวัน และอินเดีย บริษัท AUDI  AG เผยว่า Audi มีความเชื่อมั่นต่อตลาดในประเทศไทย และกำลังศึกษาแผนลงทุนสร้างโรงงานในไทย โดยได้ยื่นความจำนงขอรับส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไปแล้วในเบื้องต้น ซึ่งในอนาคตอาจสรุปแผนลงทุนโรงงานในไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาด

<img class="alignnone size-full wp-image-5600" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1552568268841-e1552568684664.jpg" alt="" width="800" height="533" />

อีกทั้ง ความสำเร็จของ Audi e-tron ด้วยยอดจองกว่า 20,000 คันทั่วโลก หลังเปิดตัวที่สหรัฐอเมริกา ยังก้าวไปอีกขั้นเพื่อนำ Audi e-tron พิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยมของสมรรถนะ ไปยังภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีความพร้อม และมีแนวโน้มการเติบโตสูง

“มั่นใจว่าการเปิดตัว Audi e-tron ยนตกรรมเอสยูวีพรีเมียมพลังงานไฟฟ้า 100% ในประเทศไทยครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยนำความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมาสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ที่กำลังเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนที่สู่สังคมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า” นายอเล็กซานเดอร์ กล่าวพร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่มีนโยบายและมาตรการส่งเสริม ให้มีการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/porsche-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1-taycan.html">Porsche วางแผนผลิต "รถยนต์ไฟฟ้า" รุ่น Taycan เพิ่มเท่าตัว ชูจุดเด่นรถอีวีหรูแย่งลูกค้า Tesla</a></li>
</ul>
<img class="alignnone size-full wp-image-5601" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/1552568201105-e1552568702707.jpg" alt="" width="800" height="533" />

เรื่องและภาพ: อรวรรณ หอยจันทร์

&nbsp;

เปิดจองแล้ว รถยนต์ไฟฟ้า Audi e-tron หรูหราในราคา 5 ล้านเศษ เปิดตัวไทยแห่งแรกในเอเชีย

7 สุดยอดพิพิธภัณฑ์แห่ง ‘เยอรมนี’ ผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก

<h2>รายงานจาก ศูนย์วิจัยยานยนต์ (CAR) แห่งมหาวิทยาลัย Duisberg-Essen’s เปิดเผยสถิติว่า ตำแหน่งผู้ผลิตรถระดับพรีเมียมยอดขายสูงสุดในโลกเมื่อปี 2016 ตกเป็นของแบรนด์ Mercedes แทนที่แชมป์เก่าอย่าง BMW และคาดว่า Mercedes จะยังครองตำแหน่งต่อไปในปี 2017 และในอนาคต จากผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมในประเทศจีน รวมถึงยอดขายที่ดีของรถเอสยูวีในตลาดรวม</h2>
รายงานเปิดเผยข้อมูลว่า Mercedes ขายยานยนต์ระดับพรีเมียมไป 2.084 ล้านคันในปี 2016 ขณะที่ BMW จำหน่ายไป 2.003 ล้านคัน ตามด้วย Audi จำนวน 1.868 ล้านคัน สำหรับปี 2017 ศูนย์วิจัยยานยนต์ฯ CAR ประมาณการว่า Mercedes ของบริษัท Daimler จะยังคงครองแชมป์ด้วยยอดขาย 2.25 ล้านคัน ตามด้วย BMW จำนวน 2.1 ล้านคัน และรถยนต์ Audi ของบริษัท Volkswagen เป็นอันดับสามด้วยยอดขาย 1.9 ล้านคัน

<figure><img style="width: 680px; height: 386px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d8cd0a02c898a4fc05082dc9cfca148e.png" alt="" width="680" height="386" /><figcaption> BMW M5</figcaption></figure>

“ในสนามแข่งขันระดับโลกของรถยนต์พรีเมียม Mercedes จะยังคงครองตำแหน่งแชมป์ไปอีกหลายปี ค่อนข้างนำห่างจากคู่แข่งสำคัญอย่าง BMW และ Audi” ศาสตราจารย์ Ferdinand Dudenhoeffer ผู้อำนวยการ CAR กล่าว

Dudenhoeffer กล่าวต่อว่า ปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่ Mercedes สามารถสร้างยอดขายรถยนต์ระดับพรีเมียมเป็นอันดับหนึ่งในประเทศจีน แทนที่ Audi ซึ่งครองแชมป์ในจีนมาอย่างยาวนาน

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/02364e15f86fd45884f8d2a8fc0938a3.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> Audi Q2</figcaption></figure>

“แบรนด์ 3 อันดับแรกของตลาดพรีเมียมต่างสร้างยอดขายได้สูงกว่าตลาดรวมอย่างมีนัยยะสำคัญ มีปัจจัยสำคัญของการเติบโตที่รวดเร็วคือการแตกไลน์โมเดลรถยนต์ประเภทเอสยูวีและรถยนต์ขนาดเล็ก” Dudenhoeffer กล่าว

ทั้งนี้ Mercedes สามารถรั้งอันดับแรกของตลาดโลกได้แม้ว่ายอดขายรถยนต์ขนาดเล็กแบรนด์ Smart จะยังคงชะลอตัวและคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ในยอดขายรวมของ Mercedes เปรียบเทียบกับแบรนด์รถยนต์ขนาดเล็กของ BMW นั่นคือรถ Mini ที่มีสัดส่วนถึง 15% ในยอดขายรวมของ BMW

ในแง่ของกำไรสุทธิ Mercedes เป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน โดยมีกำไรเฉลี่ย 3,291 ยูโร (1.22 แสนบาท) ต่อคัน ตามด้วย BMW มีกำไร 3,250 ยูโร (1.21 แสนบาท) ต่อคัน และ Audi มีกำไร 3,159 ยูโร (1.17 แสนบาท) ต่อคัน ทำให้กำไรสุทธิของแต่ละบริษัทอยู่ที่ 9.1%, 8.9% และ 8.2% ตามลำดับ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4723d98023a4519d9c66c847d5007d9a.png" alt="" />

สินค้าของ Mercedes ประสบความสำเร็จ และคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าอันดับในตลาดจะเปลี่ยนแปลงไป

“เนื่องจากพอร์ตสินค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อพัฒนาจนออกจำหน่าย ผลคือความเปลี่ยนแปลงด้านอันดับในตลาดยานยนต์พรีเมียมของกลุ่มผู้นำคงไม่เกิดขึ้นภายใน 3 ปี” Dudenhoeffer เปิดเผย

แต่กำไรสุทธิที่สูงของแบรนด์ 3 อันดับแรกในตลาดซึ่งล้วนมาจากประเทศเยอรมนี ได้แก่ Mercedes, BMW และ Audi เป็นไปได้ว่าจะมีแรงกดดันทางธุรกิจ หลังน้ำมันไม่ใช่เชื้อเพลิงราคาประหยัดอีกต่อไป และรถยนต์หรูเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของรัฐบาลเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป

รวมไปถึงข่าวอื้อฉาวเรื่องมาตรวัดมลพิษของ Volkswagen และหลักฐานอีกหลายชิ้นยังตีตราว่าพลังงานน้ำมันเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพสำหรับประชากรในเมือง เหล่านี้ล้วนเป็นแรงกดดันให้กับ 3 ค่ายรถดังทั้งสิ้น

ดังนั้น อิทธิพลเหนือตลาดของค่ายรถเยอรมันอาจมีความแข็งแกร่งในระยะสั้น แต่ทว่า Tesla และ Jaguar Land Rover จะเป็นคู่แข่งสำคัญใน 10 ปี

<figure><img style="width: 680px; height: 321px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4a26418168d1709eeda2927029777116.png" alt="" width="680" height="321" /><figcaption> Tesla Model 3</figcaption></figure>

การควบคุมในยุโรปบีบบังคับให้ผู้ผลิตรถต้องลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง น้ำมันดีเซลเคยถูกมองว่าเป็นหนทางระยะสั้นเพื่อไปสู่จุดหมายดังกล่าว แต่ขณะนี้บริษัทเหล่านี้อาจต้องพึ่งพิงพลังงานไฟฟ้าหรือไฮบริดแทน หรือทุ่มงบประมาณให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องยนต์พลังงานน้ำมัน หรือต้องทำทั้งสองอย่าง

<figure><img style="width: 680px; height: 473px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1bd7039888a520c115e5ebde8c3032a6.png" alt="" width="680" height="473" /><figcaption> Jaguar E-Pace รถเอสยูวีที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Jaguar โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2018</figcaption></figure>

“ปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้ง 3 บริษัท คือความรวดเร็วของโลกในการเปลี่ยนไปสู่ตลาดแห่งยานยนต์ไฟฟ้า จุดสิ้นสุดในการเป็นเจ้าตลาดของรถยนต์เยอรมันคงไม่เกิดขึ้นใน 5 ปี แต่เป็นไปได้ในรอบ 10 ปี ในยุคนั้นเป็นโอกาสทองของ Tesla และ Jaguar Land Rover บริษัทเหล่านี้จะปะทะแข่งขันกับบรรดาค่ายรถเยอรมัน ส่วนแบรนด์อย่าง Lexus, Infiniti, Cadillac ฯลฯ จะไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากในตลาดรถพรีเมียม” Dudenhoeffer กล่าว

&nbsp;

เรียบเรียงจาก Why Mercedes Will Retain Global Luxury Sales Crown In 2017, And Likely For Years To Come โดย Neil Winton

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events