<h2>เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา GWS CLOUD ผู้นำคลาวด์เทคโนโลยีจากไต้หวัน ประกาศรุกตลาดในไทย โดยแนะนำ 'Be Your Own Cloud' ให้องค์กรธุรกิจพัฒนาคลาวด์ขึ้นใช้เองและต่อยอดธุรกิจคลาวด์ในราคาที่ต่ำลง </h2> &nbsp; &nbsp; คลาวด์เซอร์วิสไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย มีผู้ให้บริการหลายรายและหลายธุรกิจก็ใช้บริการคลาวด์เซอร์วิส แต่ล่าสุด GWS CLOUD ผู้ให้บริการคลาวด์ชื่อดังจากประเทศไต้หวัน ได้เปิดตัวสู่ตลาดในไทยพร้อมเสนอทางเลือกการใช้คลาวด์เซอร์วิสด้วย 'Be Your Own Cloud' ซึ่งหมายถึงการที่องค์กรธุรกิจสามารถสร้างคลาวด์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อใช้งาน และยังมีโอกาสต่อยอดจำหน่ายบริการคลาวด์ในแบรนด์ตัวเองได้ โดยใช้เทคโนโลยีระดับโลกของ eASPNet บริษัทแม่ของ GWS CLOUD ที่ไต้หวัน&nbsp; &nbsp; ประสบการณ์มากมายจากการให้บริการรูปแบบ B2C ซึ่งขายให้ผู้บริโภคทั่วไป ทำให้ GWS CLOUD มองเห็นโอกาสทางการตลาดที่จะขยายการบริการไปสู่รูปแบบ B2B หรือการขายให้กับองค์กรในฐานะ Cloud Solution Provider เพื่อนำเทคโนโลยีคลาวด์ที่บริษัทเชี่ยวชาญไปสู่องค์กรอื่นๆ เป็นการเปิดโอกาสใหม่&nbsp;&nbsp; &nbsp; สำหรับผู้ประกอบการ SI (System Integrator) รูปแบบการจำหน่ายคลาวด์ในอุตสาหกรรมนี้ ลูกค้าต้องแยกเงิน 2 ส่วนเพื่อชำระค่าบริการแยกกันระหว่างค่าพัฒนาระบบหรือโซลูชัน กับค่าบริการคลาวด์ที่ต้องชำระไปถึงเจ้าของคลาวด์โดยตรง ซึ่งให้บริการยุ่งยากทั้งฝั่งลูกค้าก็ต้องแยกจ่ายหลายส่วนหลายรอบ ถึงผู้ให้บริการหลายฝ่าย ยากที่จะได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง และในส่วนของบริษัทผู้พัฒนาโซลูชันเองก็ไม่ได้รับส่วนแบ่ง หรือได้รับส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยจากการแนะนำให้ลูกค้าของตนเองไปใช้บริการคลาวด์นั้นๆ&nbsp; เทคโนโลยีขั้นสูง&nbsp;&nbsp; &nbsp; ด้วยเหตุนี้ GWS CLOUD จึงให้บริการแบบ White Label ในรูปแบบ “Be Your Own Cloud” ที่เปิดโอกาสให้องค์กรหรือ Solution Provider สามารถพัฒนาคลาวด์ในชื่อของตัวเองขึ้นมาใช้งาน และให้บริการต่อไปยังบุคคลภายนอกได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีระดับสูงของ GWS CLOUD อย่าง GWStack และ GWStack-O All-in-ONE เป็นพื้นฐานในการให้บริการ ซึ่งลูกค้าสามารถใช้คลาวด์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน พันธมิตรธุรกิจก็มีโอกาสได้ส่วนแบ่งมากขึ้น จากการให้บริการคลาวด์ในชื่อของตัวเอง&nbsp; &nbsp; Nini Wu ประธานกรรมการ GWS CLOUD กล่าวว่า “พวกเรากำลัง Disrupt วงการคลาวด์เพื่อให้มีค่าบริการที่ถูกลง สวนกระแสบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พยายามทำให้คลาวด์มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่เราเปิดให้บริการในรูปแบบ B2B ให้พันธมิตรของเราสามารถให้บริการคลาวด์กับลูกค้าของตัวเองโดยตรงได้ ซึ่ง GWS CLOUD ทำให้สามารถบริหารจัดการลูกค้าที่มีค่าของตัวเองได้อย่างดี”&nbsp;&nbsp; &nbsp; ประธานกรรมการ GWS CLOUD เผยอีกว่า เธอต้องการทำให้ค่าบริการคลาวด์ต่ำลงสำหรับการใช้ในระยะยาว จากที่ปัจจุบันรูปแบบการให้บริการของอุตสาหกรรมคลาวด์ ค่าใช้จ่ายเมื่อเริ่มต้นใช้นั้นถูกมากเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าไปใช้งาน แต่เมื่อต้องใช้งานมากขึ้น ค่าบริการกลับแพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีการเก็บค่าใช้จ่ายปลีกย่อยอีกมากมาย โดยเฉพาะ Microservice หรือบริการย่อยๆ ที่ทำขึ้นมาสนับสนุนนักพัฒนาให้ทำงานง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียกใช้บริการเหล่านี้ก็จะถูกคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่ใช้งาน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/bcQruzN9kpcmoTYgd26s.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="bcQruzN9kpcmoTYgd26s.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp; ค่าใช้จ่ายในส่วนของ Bandwidth ก็เช่นเดียวกัน มีการเก็บแยกจากค่าบริการอีกที ซึ่งหลายครั้งที่ค่า Bandwidth แพงกว่าค่าใช้งานระบบคลาวด์ ทั้งที่เรื่องปกติในอุตสาหกรรมอื่นๆ คือยิ่งซื้อเยอะ ยิ่งใช้เยอะ ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยควรจะลดลง&nbsp; &nbsp; ดังนั้น GWS CLOUD จึงนำเทคโนโลยีจากบริษัทแม่ที่ไต้หวันอย่าง eASPNet มาพัฒนาให้ค่าบริการคลาวด์ที่สมเหตุสมผลมากขึ้นด้วยการใช้ Hybrid Cloud ที่ผสมผสานระหว่าง Private Cloud เพื่อเก็บและจัดการข้อมูลทั่วไปที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงานสูง ร่วมกับ Public Cloud สำหรับดูแลข้อมูลในส่วนที่เรียกใช้บ่อย ทำงานเยอะ หรือข้อมูลที่สำคัญกับความเร็วของระบบ จึงลดปัญหาการใช้ทรัพยากรเกินตัว จนทำให้ค่าบริการสูง เช่น การเอาข้อมูลที่นานๆ จะเรียกใช้ (Cold Data) ไปเก็บบนฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูงที่มีราคาสูงของ Public Cloud ทำให้เกิดค่าบริการที่สูงเกินสิ่งที่ต้องการใช้&nbsp; &nbsp; รวมถึงการใช้งานแพลตฟอร์ม GWS CLOUD-O All-in-ONE ที่มี Service ต่างๆ ในส่วนที่จำเป็นมาให้อยู่แล้ว โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการใช้ และหากมีบริการอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่อยู่ในชุด All-in-ONE ที่นักพัฒนาต้องการใช้งานเพิ่มเติม เช่น ต้องการ AI/ML Model เข้ามาช่วยประมวลผลก็สามารถหาจากผู้ให้บริการอื่นๆ ที่ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะกับคลาวด์เจ้าใดเจ้าหนึ่งได้ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการใช้งานน้อยลง&nbsp; &nbsp; เมื่อทุกอย่างได้รับการบริหารจัดการอย่างดี ค่าใช้จ่ายด้านคลาวด์ก็สามารถลดลงได้ GWS CLOUD จึงสามารถให้บริการด้วยงบประมาณที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมได้สูงสุดถึง 40% เป็นโซลูชันที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับองค์กรและการใช้งาน&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/openai-chatgpt-users-200-millions-in-every-week" alt="กระแสแชตบอต AI มาแรง ล่าสุด 'ChatGPT' มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์แตะ 200 ล้านราย">กระแสแชตบอต AI มาแรง ล่าสุด 'ChatGPT' มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์แตะ 200 ล้านราย</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 'GWS CLOUD' ดิสรัปท์ธุรกิจ แนะสร้างคลาวด์ใช้เองราคาต่ำ

Cisco Live US 2023 เปิดตัวนวัตกรรมแห่งอนาคต

Trend Micro เผย ข้อมูลสำคัญต่อองค์กรก่อนก้าวสู่ระบบคลาวด์รับปี 2023

เรื่อง: Brian Solomon เรียบเรียง; พิษณุ พรหมจรรยา
<h2>ย้อนไปเมื่อปี 2004 Jack Welde สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโครงการที่ต้องวุ่นวายกับเรื่องการแปลอีกแล้ว ในตอนนั้นเขาเป็น COO ของ Run Time Technologies บริษัทซึ่งเพิ่งเสร็จภารกิจจากการดำเนินโครงการของลูกค้าที่ใช้เวลานานเป็นปีในการแปล platform จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่น “ตอนแรกเราบอกกับลูกค้าว่าทำได้ไม่มีปัญหา” Welde เล่าย้อนไปถึงตอนที่รับงาน “แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริง งานนี้ทำเอาบริษัทเกือบจะไปไม่รอดเลยทีเดียว”</h2>
หลายปีต่อมาเขาไม่เพียงแต่กลับเข้ามาในธุรกิจการแปลเท่านั้น แต่ Welde ยังบอกอีกว่าเขาได้สร้าง platform การแปลที่เร็วที่สุดที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้ Smartling เป็นบริษัท cloud software ที่ Welde ร่วมก่อตั้งและทำหน้าที่บริหาร ได้มีส่วนช่วย GoPro ในการเปิดร้านค้าออนไลน์ในหกภาษา ซึ่งเว็บภาษาต่างประเทศเหล่านั้นใช้งานได้จริงภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์เท่านั้น

เคล็ดสำคัญอยู่ที่การทำให้กระบวนการที่ซับซ้อนของการแปลเว็บไซต์ และแอพต่างๆ และการสื่อสารผ่านสื่ออื่นๆ อีกนับร้อย ในรูปแบบที่ง่ายขึ้น ธุรกิจการแปลภาษามีมูลค่าสูงถึงปีละ 3.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ธุรกิจทั้งขนาดเล็กและใหญ่ต่างก็เร่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Smartling คือ Andrey Akselrod ซึ่งมีตำแหน่งเป็น CTO และเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของ Welde ที่ Run Time โดย Smartling เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ขยับตัวเพื่อจับตลาดในธุรกิจนี้ และปัจจุบันมีลูกค้าถึงกว่า 300 รายแล้ว

หนึ่งในลูกค้าของบริษัทคือ Pinterest ซึ่งต้องการที่จะนำเสนอบริการในอีกกว่า 30 ภาษา ถ้าเป็นในอดีต Pinterest อาจจะต้องใช้บริการของบริษัทเอเจนซี่ด้านการแปลเจ้าใหญ่สักรายหนึ่ง (ซึ่งคิดค่าบริการแพงมาก) แต่ Smartling ได้จัดการปัญหานี้ด้วยการตั้งศูนย์กลางการแปลเพื่อขจัดการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพซึ่งอิงอยู่กับเอกสารออกไป ระบบจะดึงเนื้อหาต่างๆ ของ Pinterest และส่งตรงให้กับผู้แปลที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วทั่วโลก (Smartling มีพนักงานประจำประมาณ 160 คน และมีการทำสัญญากับนักแปลนับพันคนทั่วโลก) ซึ่งทำให้ผู้แปลได้รับต้นฉบับที่มีบริบทครบถ้วนตามความเหมาะสม และมีระบบการแก้ไขงานที่แทบจะเหมือนการแก้ไขคำแบบสดๆ ออนไลน์เลยทีเดียว

แต่กว่าที่ Welde วัย 45 ปีจะมาถึงตรงจุดนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน ย้อนไประหว่างเรียนที่มหาวิทยาลัย เขาได้ศึกษาเพิ่มเติมไปกับการศึกษาด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และภาษาศาสตร์ หลังจากที่สำเร็จการศึกษา Welde กับเพื่อนร่วมชั้นอีกสองคนได้คิดค้นระบบการบริหารจัดการข้อมูลส่วนตัวซึ่งรวมเอาปฏิทิน contacts และบันทึกต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งพวกเขาขายระบบที่คิดขึ้นมานี้ให้กับ Apple ไปในปี 1993 ในราคา 2 ล้านเหรียญ

ในระหว่างที่ Welde เข้าประจำการในกองทัพอากาศเป็นเวลา 9 ปี เขาก็กลับมาที่สหรัฐในปี 2001 ซึ่ง Welde ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 6 เดือนที่ Run Time ก็ไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่ง chief operating officer ซึ่งเขาต้องเผชิญกับความยุ่งยากของการแปลทางธุรกิจ

แต่หลังจากที่เปลี่ยนงานไปทำที่บริษัทด้านเทคโนโลยีอีกหลายแห่ง Welde ก็ติดต่อไปหา Akselrod ในปี 2009 เพื่อนัดกินกาแฟพร้อมกับเสนอแนวคิดในการก่อตั้งกิจการใหม่สามอย่าง ซึ่ง Akselrod ปฏิเสธสองแนวคิดแรกไป แต่เขารู้สึกตื่นเต้นกับแนวคิดที่ท้าทายเกี่ยวกับธุรกิจด้านการแปล ดังนั้น เมื่อได้เงินลงทุน 50,000 เหรียญ จาก Welde และอีก 100,000 เหรียญ จากพันธมิตรทางธุรกิจที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาเริ่มสร้างต้นแบบ ด้วยการทำงานจากที่บ้านและอาศัยเครือข่ายของ Akselrod ที่ยูเครน ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา

บริษัทมีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่คำนวณตามจำนวนคำที่มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ ที่มีการเก็บข้อมูลอยู่ในระบบ ซึ่งรายได้ของบริษัทขยายตัวสองเท่าทุกปี และคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ประมาณ 25 ล้านเหรียญ แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้บริษัทมีกำไรได้ในทันที

“ยิ่งเราโตเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้เวลานานยิ่งขึ้นกว่าที่กิจการจะมีกำไร” Adi Dehejia ซึ่งเป็น CFO คนใหม่บอก แต่นักลงทุนก็ไม่ได้บ่นหรือกังวลอะไร ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการระดมทุนรอบใหม่อีก 25 ล้านเหรียญจากกลุ่มนักลงทุนที่นำโดย Iconiq Capital ซึ่งประเมินมูลค่าของ Smartling เอาไว้ที่ 250 ล้านเหรียญ
<div>

ก้าวต่อไปของบริษัท ก็คือการเปิดสำนักงานใน San Francisco, Boston, London, Dublin รวมถึง developer center อีกสองแห่งในยูเครน และสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ บรอดเวย์ ต่อจากนั้น บริษัทอาจจะหาทางสร้าง in-house marketplace เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าและนักแปลสามารถติดต่อกันได้

นอกจากนี้ Welde ก็กำลังมองหาลู่ทางที่จะนำเสนอทางเลือกของการให้บริการแบบ self-serve สำหรับบริษัทที่มีขนาดเล็กมากๆ เพื่อให้สามารถเข้าไปจับตลาดล่างได้ เพราะทุกวันนี้ใครๆ ก็อยากขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศกันทั้งนั้น

<hr />

<a href="http://goo.gl/APDH22">คลิ๊ก! เพื่ออ่าน "ใช้ภาษาถิ่นเบิกทางเปิดตลาดต่างแดน" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ FEBRUARY 2015</a>

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events