<h2>Sea Ltd. บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จากสิงคโปร์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกว่า มีมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า โดยได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและเกมออนไลน์ในช่วงโควิด-19 </h2>
<figure><img class="wp-image-45719" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/05/sea-1.jpg" alt="Sea Ltd." width="720" height="410" /><figcaption> SEA Ltd. เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2017</figcaption></figure>

Sea Ltd. มีรายได้รวมทุกธุรกิจในไตรมาสแรกเติบโตมากขึ้นราวร้อยละ 147 อยู่ที่ 1.8 พันล้านเหรียญเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยฝั่งธุรกิจอี-คอมเมิร์ซอย่าง Shopee สามารถทำรายได้ถึง 922 ล้านเหรียญ ขณะที่กลุ่มสื่อบันเทิงดิจิทัลหรือ Garena ทำรายได้อยู่ที่ 781 ล้านเหรียญ

“ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของเราในแง่ของจำนวนผู้ใช้และการมีส่วนร่วม แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทอย่างต่อเนื่อง”<a href="https://www.forbes.com/profile/forrest-li/?sh=523fcffb60b7"> Forrest Li</a> ประธานบริษัทกล่าวระหว่างแถลงการณ์ทางเว็บไซต์หลังจากรายงานผลประกอบการ “ชุมชนที่เราให้บริการจะยังคงเดินหน้าใช้ประโยชน์จากไลฟ์สไตล์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่อไป”

อย่างไรก็ดี แม้รายได้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ Sea ยังคงมีผลขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 422 ล้านเหรียญในไตรมาสแรกจาก 281 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 2 เท่าจากการทำการตลาดเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาด

ปัจจุบัน Sea กำลังแข่งขันกับ Grab และ GoTo บริษัทซึ่งเพิ่งควบรวมกิจการ เพื่อขึ้นเป็นผู้นำในแพลตฟอร์มซูเปอร์แอปฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุดได้มีการขยายธุรกิจอี-คอมเมิร์ซไปทั่วภูมิภาคอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในอินโดนีเซียที่เพิ่งเปิดตัวบริการเดลิเวอรี่ ShopeeFood พร้อมไปกับการยกระดับการให้บริการทางการเงินบนระบบดิจิทัล 

“เทคโนโลยีทางการเงินในภูมิภาคของเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและคาดว่าจะมีการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ให้มากขึ้นในเวลาที่เหมาะสม” Li กล่าว “ขณะที่เราขยายธุรกิจ เราจะใช้ความเข้มงวดและวินัยในการรักษาประสิทธิภาพเช่นเดียวกับที่เราประสบความสำเร็จในธุรกิจของเราจนถึงขณะนี้”

ในปี 2020 Sea ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารดิจิทัลในสิงคโปร์ และเข้าซื้อกิจการธนาคาร BKE (Bank Kesejahteraan Ekonomi) ของอินโดนีเซีย ซึ่งทางบริษัทได้วางแผนที่จะต่อยอดไปสู่ธนาคารดิจิทัลในอนาคต 

<figure><img class="wp-image-45718 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/05/sea-cofounders.jpg" alt="Sea Ltd." width="960" height="427" /><figcaption> (จากซ้าย) Forrest Li, David Chen และ Gang Ye</figcaption></figure>

Li วัย 42 ปี มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 7.1 พันล้านเหรียญ พร้อมครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับที่ 7 ในการจัดอันดับ Singapore’s 50 Richest ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งอีก 2 คน คือ <a href="https://www.forbes.com/profile/gang-ye/?sh=5b5e5f597c76">Gang Ye</a> และ <a href="https://www.forbes.com/profile/david-chen/?sh=315e916655fd">David Chen</a> ซึ่งต่างมีพื้นเพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่และได้รับสัญชาติสิงคโปร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ก้าวเข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีพันล้านเช่นกันในอันดันที่ 11 และ 25 ตามลำดับ จากการประเมินของ Forbes ในเดือนสิงหาคม 2020

ทั้งนี้ ทรัพย์สินของ Li และผู้ร่วมก่อตั้งเพิ่มสูงขึ้นในปีที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นของ Sea มีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นหลังจากที่ผู้บริโภคหันมาซื้อของออนไลน์ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดราว 1.18 แสนล้านเหรียญ ก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Billionaire Forrest Li’s Sea Doubles Revenue As Pandemic Boosts E-Commerce Demand โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/global-2000-บริษัทเทคโนโลยี.html">10 บริษัทเทคโนโลยี จากการจัดอันดับ Global 2000 ประจำปี 2021</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events