<h2>ผู้นำที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีเวลาในแต่ละวันมากไปกว่าเราทุกคน แต่พวกเขารู้วิธีใช้เวลาอย่างคุ้มค่า พวกเขาไม่ใช่แค่ยุ่งกับการทำงาน แต่การทำงานยังเต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ พวกเขาเหล่านี้ล้วนชำนาญศิลปะการบริหารเวลาเพื่อโฟกัสกับสิ่งสำคัญที่สุด ตัดสิ่งรบกวนและงานที่ไม่มีประโยชน์ออก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากคุณกำลังมองหาแนวทางใช้เวลาในแต่ละวันให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปปรับใช้ และพึงระลึกไว้ว่าทุกนาทีมีค่า มาดูกันผู้นำที่ประสบความสำเร็จแต่ละคนบริการจัดการเวลากันอย่างไรบ้าง 1. จัดลำดับความสำคัญและโฟกัสให้ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คุณอาจรู้ลำดับความสำคัญของงานต่างๆ แต่คุณได้ลงมือปฏิบัติงานเหล่านี้อย่างเคร่งครัดแล้วหรือยัง? หรือกำลังปล่อยให้ตัวเองวอกแวกไปทำอย่างอื่น?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้นำที่ประสบความสำเร็จรู้ว่างานไหนสำคัญและโฟกัสไปยังงานพวกนั้นก่อนเป็นอันดับแรก ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมโดยไร้ข้ออ้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยกตัวอย่าง Warren Buffett ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าใช้กลยุทธ์ “แบ่ง 2 รายการ” โดยเริ่มจากเขียนรายการเป้าหมาย 25 ข้อ จากนั้นเลือกวงที่สำคัญที่สุดเพียง 5 ข้อ และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เหลือทั้งหมด จดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ แทนที่จะถูกหันเหความสนใจด้วยงานเล็กๆ น้อยๆ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในการนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ ให้เขียนรายการงานที่สำคัญที่สุดในแต่ละวันขึ้นมา 3 ข้อ งานเหล่านี้ควรจะส่งผลกระทบที่ใหญ่พอจะพาคุณไปสู่เป้าหมาย ตั้งใจทำงานเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น และอย่าลืมทำให้แน่ใจว่าเวลาของคุณจะไม่ถูกใช้ไปกับสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน 2. ขจัดการตัดสินใจที่ไม่จำเป็นออก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ (Decision Fatigue) มีอยู่จริง ผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต่างลดความซับซ้อนของกิจวัตรเพื่อลดตัวเลือกต่างๆ ที่พวกเขาต้องตัดสินใจในแต่ละวัน ดังเช่นกรณีของ Mark Zuckerberg ที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดิมๆ ทุกวัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานคิดว่าจะแต่งตัวอย่างไรดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวคิดนี้ต่อยอดได้ไกลกว่าแค่การเลือกเสื้อผ้า ผู้นำชั้นยอดล้วนมองหาตัวช่วยหรือลดขั้นตอนในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เริ่มจากกิจวัตรประจำวันก่อนเป็นอันดับแรก ในส่วนของการทำงาน ให้สร้างเทมเพลต (Template) สำหรับงานที่ต้องทำซ้ำๆ นำระบบจัดตารางเวลาอัตโนมัติ (Automate Schedule) มาใช้ หรือไม่ก็ตั้งค่าการตอบคำถามโดยพื้นฐานเอาไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บางครั้งการจ่ายเงินเพื่อช่วยให้ชีวิตดีขึ้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ลองมองหาผู้ช่วยเสมือนออนไลน์ (Virtual Assistant) ให้มารับมือกับงานที่คุณต้องทำซ้ำๆ ทุกสัปดาห์ ยิ่งคุณใช้เวลาน้อยลงกับสิ่งไม่สำคัญ คุณก็จะยิ่งเหลือพลังงานไปใช้กับสิ่งสำคัญมากขึ้น เก็บสมองของคุณไว้ทำสิ่งที่จำเป็นดีกว่า 3. รักษาเวลาเยี่ยงชีพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บรรดาผู้นำชั้นยอดต่างรักษาเวลายิ่งกว่าทรัพย์สินล้ำค่าชิ้นใด ยกตัวอย่าง Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้ง IKEA ที่แบ่งเวลาในแต่ละวันด้วย “กฎ 10 นาที” เขาจะใช้เวลาทุก 10 นาทีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกนาทีจะผ่านไปโดยไม่เสียเปล่า การปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัดช่วยให้เขาสามารถโฟกัสกับงานสำคัญและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่สิ้นเปลืองเวลาซึ่งอาจเบียดเบียนตารางงานของเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จัดการแต่ละนาทีอย่างแม่นยำ ล็อกตารางเวลาไว้สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิและการจดจ่อ แบ่งเวลาสำหรับการประชุม อีเมล และกิจกรรมอื่นๆ ที่มีแนวโน้มกินเวลาของคุณให้ชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับงานสำคัญของคุณ และอย่าลังเลที่จะขจัดสิ่งรบกวนออกไปให้หมด มีแค่ตัวคุณเองเท่านั้นที่รักษาเวลาของคุณได้ 4. แบ่งสรรงานต่างๆ ให้คนอื่นบ้าง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่มีผู้นำคนไหนจะพิชิตเป้าหมายได้ด้วยตัวคนเดียว เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายคนแบ่งสรรงานแก่ทีมที่เชื่อใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้พวกเขาช่วยจัดการงานซึ่งผู้นำไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jeff Bezos เคยพูดถึงความสำคัญของการคิดเพื่อตัดสินใจอย่างมีคุณภาพในเวลาสั้นๆ และส่วนที่ขาดไม่ได้ในการจะทำเช่นนั้น คือต้องรู้ว่าควรปล่อยงานให้คนอื่นทำเมื่อไหร่ วัตถุประสงค์ของการเคลียร์ตารางเวลาก็เพื่อทำงานซึ่งมีเพียงแค่คุณเท่านั้นที่ทำได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Sara Blakely ผู้ก่อตั้ง Spanx กล่าวว่า “ถ้าคุณคิดว่าใครสักคนสามารถทำงานได้ถึง 80% เทียบการที่คุณลงมือทำเอง ก็ส่งต่อให้เขาทำเลย!”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เริ่มต้นอย่างแข็งแกร่ง มองหางานที่คนอื่นๆ สามารถรับมือได้ จากนั้นก็ปล่อยให้ทีมของคุณรับผิดชอบโดยที่คุณคอยสนับสนุนพวกเขา สร้างทักษะและความมั่นใจแก่ผู้คนรอบตัวคุณ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีกำลังใจทำงานอย่างดีเยี่ยมแม้คุณไม่ได้อยู่คอยชี้แนะก็ตาม ฝึกฝนการบริหารจัดการเวลาให้เชี่ยวชาญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่าเพียงแค่ยุ่งกับการทำงาน แต่จงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลำดับความสำคัญและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก รักษาเวลาอันมีค่าของคุณให้ดี และแบ่งงานให้คนอื่นทำบ้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดำเนินรอยตามแนวทางของบรรดาผู้นำที่ประสบความสำเร็จระดับโลก เพื่อทำงานและจดจ่อกับเป้าหมายให้ได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเคร่งเครียดมากนัก คอยดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อย มีจุดมุ่งหมายชัดเจน และใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์ให้คุ้มค่ากว่าเดิม แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/sites/jodiecook/2024/09/18/time-management-hacks-from-the-worlds-most-successful-leaders/" alt="Time Management Hacks From The World’s Most Successful Leaders">Time Management Hacks From The World’s Most Successful Leaders</a> โดย Jodie Cook​<a href="https://unsplash.com/photos/person-holding-notepad-and-pen-flat-lay-photography-flRm0z3MEoA" alt="Photo by Marissa Grootes">Photo by Marissa Grootes</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/tips-to-make-new-year-s-resolutions-stick" alt="5 เคล็ดลับพิชิตเป้าหมาย เปลี่ยนตัวเองรับปีใหม่ ไม่ให้หมดกำลังใจระหว่างทาง">5 เคล็ดลับพิชิตเป้าหมาย เปลี่ยนตัวเองรับปีใหม่ ไม่ให้หมดกำลังใจระหว่างทาง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เวลา’ คือทรัพย์ล้ำค่า เปิด 4 วิธีบริหารเวลา แบบฉบับนักธุรกิจระดับโลก

<h2>Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้ง IKEA บริษัทเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่งเสียชีวิตในวัย 91 ปี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2018 เขาคือตัวอย่างร่วมสมัยของนักธุรกิจที่สร้างตัวขึ้นจากความกล้าที่จะแตกต่าง ทำให้ร้านและแบรนด์ IKEA มีเอกลักษณ์ด้วยการออกแบบที่มีสไตล์ในราคาเข้าถึงได้ และก่อวัฒนธรรม DIY-Do it yourself ด้วยการให้ลูกค้าประกอบสินค้าเองที่บ้าน</h2>
ในเมือง Småland ทางใต้ของประเทศสวีเดน ปี 1926 เด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดในฟาร์มและมีสัญชาตญาณผู้ประกอบการติดตัวมาตั้งแต่เกิด Ingvar Kamprad เริ่มเป็นพ่อค้าตั้งแต่อายุ 5 ขวบด้วยการเร่ขายไม้ขีดไฟ และขยายกิจการเป็นการปั่นจักรยานขายปลา ดินสอ และเครื่องประดับตกแต่งต้นคริสต์มาสเมื่ออายุได้ 10 ปี

จนกระทั่งอายุ 17 ปี พ่อของ Kamprad ให้รางวัลเขาเป็นเงินสดจำนวนหนึ่ง เพื่อให้กำลังใจที่เขาสามารถสอบได้เกรดดีแม้จะเป็นโรคดิสเล็กเซีย (ภาวะบกพร่องในการอ่านและสะกดคำ) Kamprad ใช้เงินจำนวนนั้นก่อตั้งธุรกิจขึ้นในชื่อ IKEA เมื่อปี 1943 โดย IKEA เป็นอักษรย่อของชื่อและนามสกุลของเขา (I-Ingvar , K-Kamprad) ชื่อฟาร์มที่เขาถือกำเนิด (E-Elmtaryd) และชื่อหมู่บ้านที่ใกล้ฟาร์มมากที่สุด (A-Agunnaryd)

ในช่วงแรก IKEA ยังไม่ได้เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ แต่ค้าขายของใช้ภายในบ้านชิ้นเล็กๆ เช่น กรอบรูป โดยจัดส่งให้ทางไปรษณีย์ จน 5 ปีต่อมา Kamprad จึงได้ก่อตั้งร้านเฟอร์นิเจอร์ IKEA ที่มีหน้าร้านจริงๆ ขึ้นในเมืองบ้านเกิดของเขาที่สวีเดน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9efe26973940ca8e992f0a3c3b2519a8.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> IKEA สาขาแรกที่เมือง Småland ประเทศสวีเดน (Cr: wikicommon)</figcaption></figure>

สิ่งที่ทำให้ IKEA ขยับขยายจากร้านเฟอร์นิเจอร์ท้องถิ่นกลายเป็นบริษัทใหญ่ มาจากบุคลิกที่ไม่เหมือนใครของ Kamprad โดย Malcolm Gladwell ผู้เขียนหนังสือวิเคราะห์บุคลิกภาพของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ อธิบายไว้ว่า บุคลิกภาพ 3 อย่างที่โดดเด่นของ Kamprad คือ “มีมโนธรรมสูง เปิดใจกว้าง แต่กระนั้นก็เป็นคนที่ไม่เป็นมิตร ไม่สนใจหากใครจะมองว่าเขาสติไม่ดี”

Gladwell อธิบายว่า เพราะไม่แคร์สายตาคนอื่นถึงทำให้ Kamprad เป็นนักสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ดีตัวอย่างเช่น ในปี 1956 IKEA เป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์แห่งแรกที่ขายเฟอร์นิเจอร์แบบ “flatpacking” หมายถึงเฟอร์นิเจอร์ที่แยกชิ้นส่วนให้ลูกค้านำไปประกอบเองที่บ้าน เมื่อเฟอร์นิเจอร์ยังไม่ประกอบจึงทำให้การบรรจุในกล่องมีพื้นที่ว่างน้อยลง ไม่เปลืองพื้นที่ขนส่ง และลูกค้าที่ไม่มีรถส่วนตัวก็สามารถหิ้วเฟอร์นิเจอร์ที่ยังไม่ประกอบขึ้นรถสาธารณะได้ ณ ขณะนั้นการแยกชิ้นส่วนทำให้กล่องบรรจุเล็กและแบนของ IKEA กลายเป็นสิ่งที่ปฏิวัติวงการ จนถึงปัจจุบัน เฟอร์นิเจอร์ที่ยังไม่ประกอบก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ IKEA ทั่วโลก

จิตวิญญาณของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากสวีเดนแห่งนี้ล้วนเริ่มต้นจากตัวตนของ Kamprad เขาเคยเขียนหนังสือเรื่อง The Testament of a Furniture Dealer (พันธสัญญาของผู้ค้าเฟอร์นิเจอร์) เมื่อปี 1976 ซึ่งต่อมากลายเป็นเหมือนคัมภีร์ไบเบิลให้กับ IKEA ในหนังสือเล่มนั้นสามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า IKEA คือการทำให้ทุกอย่างสมถะธรรมดาที่สุด ได้ผลลัพธ์ที่ดีด้วยวิธีการที่ง่าย ราคาถูก และประหยัดทรัพยากร

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ef711a9bed19c3eb381028857386492d.png" alt="" width="680" height="455" /><figcaption> เฟอร์นิเจอร์แยกชิ้นส่วนแบบ flatpacking ของ IKEA ถูกออกแบบมาให้ชิ้นส่วนต่างๆ สามารถประกอบเองได้ที่บ้าน เมื่อประกอบเสร็จอย่างถูกต้อง จะไม่มีชิ้นส่วนใดๆ ขาดหรือเกินไปแม้แต่น็อตเพียงตัวเดียว เป็นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุด (Cr: ikea.com)</figcaption></figure>

ยกตัวอย่างเช่น IKEA เป็นเจ้าแรกๆ ที่นำไม้ MDF หรือที่เรียกกันว่าพาร์ติเคิลบอร์ดมาใช้แทนไม้จริงในการทำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่อย่างตู้ครัวหรือตู้เสื้อผ้า หรือการที่ IKEA ประสานความร่วมมือกับดีไซเนอร์เพื่อออกแบบเฟอร์นิเจอร์ แต่ไม่ได้นำชื่อดีไซเนอร์มาใช้เชิงการตลาดมากนักเหมือนอย่างเจ้าอื่นๆ เพราะ IKEA ให้ความสำคัญกับการนำเสนอดีไซน์ของผลิตภัณฑ์มากกว่าชื่อดีไซเนอร์ และไม่ได้ทำให้เป็นคอลเลกชันพิเศษด้วยการผลิตจำนวนจำกัดแต่กลับส่งมันออกขายไปทั่วโลก

ความไม่สนใจใครและเปิดกว้างต่อวิธีใหม่ของ Kamprad ยังสะท้อนออกมาในเชิงการบริหาร เขาย้ายแหล่งผลิตหลักไปยังโปแลนด์ตั้งแต่ปี 1961 เพราะค่าแรงถูกกว่า ทั้งที่ตอนนั้นโปแลนด์ยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตและเขาต้องเจอแรงต้านจากสังคมในยุคสงครามเย็น ต่อมาในปี 1973 Kamprad เมินสังคมอีกครั้งเมื่อเขาย้ายสำนักงานใหญ่ของ IKEA จากสวีเดนไป Copenhagen ประเทศเดนมาร์ก เพื่อประท้วงการขึ้นภาษีของรัฐบาลสวีเดน แถมยังย้ายตัวเองกับครอบครัวไปอาศัยที่สวิตเซอร์แลนด์แทนด้วยเหตุผลเดียวกัน (อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสำนักงานใหญ่ของ IKEA อยู่ในเนเธอร์แลนด์)

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d41f0c97a02f092490b2f956c3c0da3e.png" alt="" width="680" height="422" /><figcaption> ไม่เพียงสินค้าที่มีเอกลักษณ์ ร้าน IKEA ยังจัดวางสินค้าเลียนแบบการตกแต่งห้องจริงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และอนุญาตให้ลูกค้าสัมผัสหรือทดลองใช้ได้อย่างเต็มที่</figcaption></figure>

นอกจากนี้ Kamprad ยังไม่สนใจการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหมือนอย่างบริษัทขนาดใหญ่ทั่วไปด้วย โดยเขาให้เหตุผลว่า “ผมตัดสินใจว่าการนำ IKEA เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่ทางเลือกของบริษัท ผมรู้ว่ามีเพียงวิสัยทัศน์ระยะยาวเท่านั้นที่จะรับประกันแผนการเติบโตของบริษัทได้ และผมไม่ต้องการให้ IKEA ขาดอิสระเพราะสถาบันทางการเงิน”

ถึงแม้ IKEA จะไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่จนถึงปี 2017 บริษัทสามารถขยายสาขาไปถึง 411 สาขาใน 49 ประเทศ (รวมสาขาที่เป็นระบบแฟรนไชส์ด้วย) เมื่อปี 2016 IKEA สร้างรายได้รวม 35,074 ล้านยูโร

ส่วนทรัพย์สินของ Ingvar Kamprad นั้นย่อมติดอันดับโลกเช่นกัน เจ้าพ่อเฟอร์นิเจอร์เคยติดอันดับ 10 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกจัดโดยนิตยสาร Forbes ช่วงปี 2005-2010 อันดับสูงสุดที่เขาเคยได้รับคืออันดับ 4 ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่ในปี 2011 เอกสารจากทนายของ Kamprad จะเปิดเผยว่าความเป็นเจ้าของ IKEA ของ Kamprad ได้ถูกโอนย้ายไปให้มูลนิธิที่ตั้งอยู่ในประเทศลิคเตนสไตน์มานานกว่าทศวรรษแล้ว ทำให้อันดับของเขาลดฮวบลง จนถึงปี 2016 เขาจึงหลุดจากการจัดอันดับทั้งหมดของ Forbes เนื่องจาก Kamprad ได้โอนย้ายทรัพย์สินให้กับลูกชายทั้งสามของเขา ได้แก่ Peter, Jonas และ Mathias

ถึงแม้ว่า Ingvar Kamprad จะเป็นมหาเศรษฐี แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของเขากลับสมถะเหมือนกับเอกลักษณ์ของแบรนด์ IKEA เขายังคงเลือกที่นั่งชั้นประหยัดเมื่อต้องโดยสารเครื่องบิน และขับรถวอลโว่คันเดิมอยู่นานถึงสองทศวรรษจนรถหมดอายุการใช้งาน

ช่วงบั้นปลายของชีวิต Kamprad กลับไปอาศัยอยู่ในบ้านเกิดที่สวีเดน ลมหายใจสุดท้ายของเขาจากไปในบ้านที่อยู่ห่างจากฟาร์มที่เขาถือกำเนิดเพียง 10 นาทีโดยรถยนต์

&nbsp;

Forbes Facts

สำหรับประเทศไทย IKEA เปิดตัวสาขาแรกขึ้นที่บางนา-ตราด กม.8 เชื่อมต่อกับศูนย์การค้าเมกา บางนา เมื่อปี 2554 และกำลังจะเปิดสาขาที่สองที่ศูนย์การค้า เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ย่านบางใหญ่ ในเดือนมีนาคมนี้

&nbsp;

อ้างอิงจาก
<ul>
 	<li><a href="http://www.businessinsider.com/how-ikea-founder-ingvar-kamprad-became-a-billionaire-2015-7/#kamprad-was-born-in-the-south-of-sweden-in-1926-and-by-the-age-of-5-began-selling-matches-for-profit-at-10-he-rode-his-bike-around-the-neighborhood-to-sell-christmas-decorations-fish-and-pencils-1">How IKEA founder Ingvar Kamprad’s bizarrely frugal habits and ‘disagreeable’ personality trait made him one of the richest self-made billionaires</a></li>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/maxjedeurpalmgren/2018/01/28/ingvar-kamprad-founder-of-ikea-dead-at-91/#6fa3028d4972">Ingvar Kamprad, Founder of IKEA, Dead at 91</a></li>
 	<li><a href="http://www.businessinsider.com/malcolm-gladwell-on-ikea-founder-personality-trait-2014-10">Malcolm Gladwell Says IKEA Buitl a Multibillion-Dollar Brand Because Its Founder Had This Disagreeable Personality Trait</a></li>
 	<li><a href="http://www.ikea.com/ms/en_US/pdf/reports-downloads/the-testament-of-a-furniture-dealer.pdf">The Testament of a Furniture Dealer</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events