<h2>รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Biden-Harris กำลังจะปิดฉากลัทธิมอนโร (Monroe Doctrine) ที่ดำเนินมานานถึง 2 ศตวรรษ ซึ่งถือเป็นลางร้ายทางด้านความมั่นคงของอเมริกา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในการแถลงนโยบายต่อสภาคองเกรสเมื่อปี 1823 ประธานาธิบดี James Monroe ได้ประกาศแนวทางที่ถูกใช้เป็นรากฐานของนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ สืบต่อกันมาอีกนาน โดยเขาได้เตือนประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ไม่ให้เข้ามาแทรกแซงกิจการของประเทศในซีกโลกตะวันตก ซึ่งในการนี้สหรัฐฯ จะถือว่าการแทรกแซงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองหรือการทหารเป็นการกระทำที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลัทธิมอนโรเกิดขึ้นมาจากความกังวลว่าประเทศมหาอำนาจในยุโรปโดยเฉพาะสเปน ฝรั่งเศส และรัสเซียจะพยายามแผ่ขยายอาณานิคม หรือกลับมายึดบางส่วนของอเมริกาเป็นอาณานิคม ซึ่งในตอนนั้นสเปนเองก็พยายามจะกลับมายึดประเทศเม็กซิโกที่เพิ่งประกาศอิสรภาพไปหมาดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมไม่ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ ฝรั่งเศสยังได้ส่งกองทหารมาที่เม็กซิโกเพื่อตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้น แต่เมื่อสงครามจบลงฝรั่งเศสก็เข้าใจแล้วว่าจำเป็นต้องถอยออกจากเม็กซิโก ไม่อย่างนั้นเป็นได้เห็นดีกันกับสหรัฐฯ แน่ ดังนั้น ฝรั่งเศสจึงถอนกำลังไป ส่วนรัสเซียก็ถอดใจจากความพยายามรุกรานพื้นที่ในภูมิภาคนี้เมื่อตัดสินใจขายที่ในรัฐ Alaska ให้กับสหรัฐฯ ในปี 1867&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อมาในปี 1962 ตอนที่สหภาพโซเวียตพยายามจะติดตั้งฐานยิงจรวดปรมาณูที่คิวบา เราร่ำๆ จะเกิดสงครามนิวเคลียร์แล้ว แต่เคราะห์ดีที่ทางโซเวียตยอมถอยในที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อมาเมื่อถึงยุคปัจจุบันลัทธิมอนโรกลายเป็นเพียงตัวอักษรที่ไร้ความหมาย โดยทั้งจีน รัสเซีย หรือแม้แต่อิหร่านต่างพากันเคลื่อนไหวในอเมริกาอย่างอิสระโดยปราศจากข้อยำเกรงใดๆ โดยจีนได้เข้ามากว้านซื้อกิจการบริษัทต่างๆ และเหมืองแร่อย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อควบคุมทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมากมายในภูมิภาคนี้ และพร้อมกันนั้นก็เข้ามาควบคุมหรือเข้ามาเปิดดำเนินกิจการท่าเรือของตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกันบริษัทสัญชาติจีนก็ตบเท้าเข้ามาผูกสัมพันธ์กับรัฐบาลของประเทศในทวีปอเมริกาใต้และเพิ่มอิทธิพลทางการทูตกับประเทศเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ประเทศบราซิลที่เพิ่งสั่งห้ามใช้แอป X (เดิมคือ Twitter) ทั่วประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุกวันนี้จีนได้กลายมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศส่วนใหญ่ในอเมริกาใต้ไปแล้ว โครงการที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาลจีนคือ ท่าเรือขนาดใหญ่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่ประเทศเปรู โดยจีนตั้งเป้าจะใช้ท่าเรือแห่งนี้เป็นประตูสำหรับภูมิภาคอเมริกาใต้ที่จะเปิดไปสู่ตลาดโลกโดยเฉพาะในเอเชีย และพร้อมกันนั้นก็จะใช้เป็นจุดรับสินค้าจากจีน โดยเฉพาะ EV เพื่อนำเข้าไปขายในอเมริกาใต้อีกด้วย และแน่นอนว่าท่าเรือดังกล่าวสามารถแปรสภาพเป็นฐานทัพเรือจีนได้ไม่ยาก นอกจากนี้ ท่าเรืออื่นๆ ในภูมิภาคนี้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจีนก็เอื้อต่อการขยายอิทธิพลของทัพเรือจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Jim Risch วุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของพรรครีพับลิกันและอยู่ในคณะกรรมการด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศกล่าวถึงการดำเนินการในอีกด้านหนึ่งของจีนว่า “จีนเข้ามาซื้อที่ดินในอเมริกาใต้ สร้างเป็นเขตทหารที่มีความอ่อนไหว และประกาศห้ามไม่ให้รัฐบาลของประเทศนั้นเข้ามายุ่มย่ามในพื้นที่ดังกล่าว...จีนติดตั้งเครือข่ายการสื่อสารที่ทำให้เพื่อนบ้านของเราต้องเผชิญความเสี่ยงทางด้านข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการสร้างเครือข่ายไซเบอร์ที่ควบคุมโดยกองทัพและหน่วยงานด้านอวกาศในประเทศอาร์เจนตินา โบลิเวีย และประเทศอื่นๆ...หน่วยงานด้านข่าวกรองของกองทัพจีนตั้งอยู่ที่คิวบา ห่างจากชายฝั่งสหรัฐฯ แค่ไม่ถึง 100 ไมล์เท่านั้นเอง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางด้านของรัสเซียก็มีการส่งยุทโธปกรณ์และกำลังพลเข้าไปในนิการากัว พร้อมทั้งติดตั้งระบบยิงจรวดมิสไซล์ในเวเนซุเอลา โดยมีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อและข้อมูลที่บิดเบือนจากรัสเซียออกไปในวงกว้าง ส่วนสายลับอิหร่านก็ดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลเผด็จการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท่ามกลางสถานการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ สิ่งที่รัฐบาล Biden-Harris ทำก็แค่มองดูตาปริบๆ ทั้งนี้ด้วยความสนับสนุนจากรัสเซีย จีน และอิหร่าน รวมถึงถึงสายลับคิวบาที่เข้ามามีอิทธิพลกับด้านความมั่นคงของเวเนซุเอลาทำให้ผู้นำเผด็จการอย่าง Nicolas Maduro สามารถขโมยผลการเลือกตั้งไปได้หน้าตาเฉย โดยการตอบสนองของสหรัฐฯ ต่อเรื่องนี้อยู่ในระดับที่อ่อนแอจนน่าเศร้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การหันหลังให้กับลัทธิมอนโรเท่ากับเป็นการบอกต่อประชาคมโลกว่า ทั้งหมดไม่สามารถวางใจให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกเสรีเหมือนที่เคยเป็นมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อีกต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรากำลังอยู่บนหนทางที่นำไปสู่หายนะ เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยาภาพ: Forbes และ <a href="https://www.pexels.com/photo/usa-flag-2862155/" alt="Markus Winkler from Pexels">Markus Winkler from Pexels</a>​ ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/donald-trump-money-from-politics" alt="Donald Trump ทำเงินจากการเมือง">Donald Trump ทำเงินจากการเมือง</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-338717-Forbes-Thailand-December-2024" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-338717-Forbes-Thailand-December-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-338717-Forbes-Thailand-December-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/N7XJzBErAUPSeEjXJA7H.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="N7XJzBErAUPSeEjXJA7H.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="549,720" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-338717-Forbes-Thailand-December-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></a></figure></div>

วาระสุดท้ายของลัทธิมอนโร 2 ศตวรรษแห่งความมั่นคงของอเมริกา

มองโลกแบบ Biden : ทั้งหดหู่และผิดเพี้ยน

<h1>“Biden-Xi&nbsp;Jinping”&nbsp;หารือร่วมกันในการประชุม&nbsp;G20&nbsp;ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด</h1>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในวันพุธที่ผ่านมา ณ เกาะบาหลี&nbsp;ประเทศอินโดนีเซีย&nbsp;โดยสถานการณ์ความตึงเครียดที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในช่วงห้าปีที่ผ่านมาได้ผ่อนคลายลดระดับลงหลังผู้นำทั้งสองประเทศ&nbsp;อย่าง&nbsp;Joe Biden&nbsp;และ&nbsp;Xi Jinping&nbsp;สามารถเผชิญหน้ากันพร้อมพัฒนาความร่วมมือในด้านต่างๆ ผ่านการประชุมระดับโลกที่เกิดขึ้น &nbsp; &nbsp; ทั่วโลกต่างจับตาปัญหาสงครามและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนโดยมีจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายตรงข้ามที่สนับสนุนนละขั้วของกับความขัดแย้งดังกล่าว โดยมองว่าการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 จากหลากหลายประเทศจะมีส่วนช่วยชีิวิตผู้คนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนได้ ขณะเดียวกันเหล่าบรรดานักวิเคราะห์มากกมายได้คาดการณ์ว่าการประชุมสุดยอดผู้นําในครั้งนี้จะทําให้เกิดความตึงเครียดทั่วโลกรุนแรงขึ้นแทน ทั้งนี้ การเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่าง Joe Biden ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและ Xi Jinping ประธานาธิบดีของจีน ถือเป็นสิ่งที่หลายคนต่างไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นก่อนการประชุมระดับผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการ โดยทั้งสองฝ่ายได้ใช้เวลาในการพูดคุยหารือถึงประเด็นสำคัญต่างๆ นานถึงสามชั่วโมงกว่า  &nbsp; &nbsp; ด้านนาย Antony Blinken&nbsp;ว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้รับคำสั่งหลังจากนี้เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อหารือติดตามผลต่างๆ เพิ่มเติมซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า แม้จีนออกมาแสดงจุดยืนในการสนับสนุนรัสเซียที่มีปัญหาความขัดแย้งกับยูเครน แต่ในเรื่องของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนั้น แนวทางดังกล่าวนี้มีประโยชน์อย่างมากสําหรับความร่วมมือระดับโลกเพราะอย่างน้อยที่สุดสหรัฐฯและจีนยังสามารถปรากฏตัวในฟอรัมระดับโลกเช่น G20 เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะพูดคุยเกี่ยวกับความกังวลระดับโลกที่เร่งด่วนได้&nbsp; นอกจากนี้ การแยกตัวของความร่วมมือระดับโลกสืบเนื่องจากการรุกรานของรัสเซีย ขณะที่ G7 ยังคงแน่วแน่และเป็นปึกแผ่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับ G20 ที่อ่อนแอลง ได้แสดงให้เห็นว่าประชาคมระหว่างประเทศไม่สามารถเชื่อมโยงความแตกต่างเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณะทั่วโลก เช่น ราคาอาหารและน้ํามันเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น ความเดือดร้อนของหนี้ที่เพิ่มขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำ รวมถึงภัยธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น แปลและเรียบเรียงจากบทความ&nbsp;G20 Comes Off Life Support Due To Biden-Xi Meeting เผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;&nbsp;<ul><li>​<a href="https://forbesthailand.com//world/global-world/igor-bukhman-%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a4%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b9%80" alt="Igor Bukhman คนตรงกลางในวิกฤตรัสเซีย -ยูเครน">Igor Bukhman คนตรงกลางในวิกฤตรัสเซีย -ยูเครน</a></li><li>​<a href="https://forbesthailand.com//news/other/%e0%b8%aa%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%a1%e0%b8%b1" alt="ส่องความสำคัญของ ‘น้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย’ หลังยุโรปจ่อเพิ่มมาตรการคว่ำบาตร">ส่องความสำคัญของ ‘น้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย’ หลังยุโรปจ่อเพิ่มมาตรการคว่ำบาตร</a></li></ul><hr class="__se__solid"> ​​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine?mibextid=LQQJ4d" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​

"Biden-Xi Jinping" หารือร่วมกันในการประชุม G20 ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด

<h2 class="p1">เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ทำการบัญญัติ CHIPS Act หรือชื่อเต็ม “Creating Helpful Incentives to Produce Semiconductors for America Act” กฎหมายใหม่ที่สำรองเงินจำนวนถึง 5.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนการค้นคว้าและการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ</h2>
เซมิคอนดักเตอร์ หรือ “สารกึ่งตัวนำ” เป็นเสมือนตัวสั่งการในสารพัดสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ รถยนต์ สมาร์ทโฟน ไปจนถึง โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า หรือแม้กระทั่ง ผ้าอ้อม ดังนั้น สิ่งของเหล่านี้จะไม่สามารถใช้งานได้เลย หากปราศจากตัวเซมิคอนดักเตอร์
เป็นที่ปรากฏว่าความต้องการของตัวเซมิคอนดักเตอร์จากทั่วโลกนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีแววว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในยุคปัจจุบัน ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อให้มีความ “สมาร์ท” และสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ จากรายงานของ ASML บริษัทซัพพลายเออร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ปัจจุบัน จำนวนอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมอินเทอร์เน็ตมีอยู่ราวๆ 4 หมื่นล้านเครื่อง และจะเพิ่มขึ้นมากถึง 3.5 แสนล้านเครื่อง ในปี 2023

กล่าวคือ ตลาดโลกของเซมิคอนดักเตอร์นั้นคาดว่าจะเติบโตถึงร้อยละ 16.3 ภายในปีนี้ ซึ่งนับเป็นปีที่สองแล้วที่เปอร์เซ็นต์การเติบโตของตลาดอยู่ที่สองหลัก จากรายงานสถิติโดย World Semiconductor Trade Statistics ในปี 2023 ที่จะถึงนี้ มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตอีกร้อยละ 5.1 กรณีนี้ การออกนโยบายของภาครัฐในสหรัฐอเมริกาจึงอาจทำให้ส่วนแบ่งตลาดโลกของสหรัฐฯ ในเซมิคอนดักเตอร์ชิปเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

<img class="size-full wp-image-67776 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/semiconductorsales_1708.jpeg" alt="semiconductor sales" width="650" height="444" />
<h3 class="p1">ปริมาณเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในรถยนต์ </h3>
รายงานของ Goldman Sachs พบว่าในปี 2021 รถยนต์ที่ผลิตออกมาใหม่แต่ละคันมีจำนวนเซมิคอนดักเตอร์เกือบถึง 300 ตัว ซึ่งนับเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากสองปีก่อน 

<img class="size-full wp-image-67777 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/semiconductorsvehicles_0817.jpeg" alt="semiconductors in vehicles" width="650" height="444" />

ทั้งนี้ ปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นนั้นมีเหตุมาจากการพัฒนาของ รถยนต์ไฟฟ้า ระบบช่วยเหลือคนขับ และเทคโนโลยีอื่นๆ ดูจากกรณีของ Tesla ที่มีการใช้เซมิคอนดักเตอร์ใน Tesla Model 3 มากกว่าปกติถึง 2 เท่าของเครื่องยนต์สันดาปภายใน 
<h3 class="p1">บทบาทของ CHIPS Act ในการแก้ปัญหาความขาดแคลนของซัพพลายเชน</h3>
การล็อกดาวน์วิกฤตโรคระบาดในปี 2020 ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนของสินค้าหลายประเภทที่จะนำเข้ามายังสหรัฐฯ และหนึ่งในนั้นรวมเซมิคอนดักเตอร์ด้วย เมื่อตัวชิปขาดแคลน ผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องลดปริมาณการผลิตลงอย่างช่วยไม่ได้ จากการรายงานของ Automotive News รถยนต์ผลิตใหม่ขาดตลาดมากถึง 100,000 คัน ในแถบอเมริกาเหนือ ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา เนื่องมาจากปัญหาความขาดแคลนอย่างต่อเนื่องของตัวชิป

เมื่อรถยนต์ผลิตใหม่ขาดตลาด ส่งผลให้ราคาและปริมาณความต้องการของรถยนต์และรถกระบะมือสองเพิ่มสูงขึ้น ดัชนีราคารถยนต์มือสองที่จัดทำโดยบริษัทประมูลยานยนต์อย่าง Manheim ชี้ว่า ราคารถยนต์มือสองในสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 12.5 จากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว

กฎหมายฉบับใหม่ที่ลงนามโดยประธานาธิบดี Joe Biden เมื่อวันอังคารที่ผ่านมานั้น จึงถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาซัพพลายเชน เพิ่มแรงจูงใจในการสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อีกทั้งเพื่อการร่วมแข่งขันกับนานาประเทศ ในบรรดาอุตสาหกรรมที่ได้รับเงินอุดหนุนจากหลายภาคส่วน 

ปัจจุบัน อันดับการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ อยู่ในอันดับ 5 ของประเทศ นอกจากนี้ ใน 10 บริษัทที่เป็นผู้ผลิตชิปและมีมูลค่าหลักทรัพย์มากที่สุดในโลก ยังเป็นของสหรัฐฯ ถึง 7 แห่งอีกด้วย อย่างไรก็ตาม Keith Jackson ประธานบริษัทและซีอีโอของ Semiconductor Industry Association หรือ SIA กล่าวว่า แต่กำลังการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ในระดับสากลนั้น นับเป็นจำนวนเพียงร้อยละ 12 เท่านั้น ทั้งที่เทคโนโลยีนี้มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกา

<img class="size-full wp-image-67780 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/08/SemiconductorMakers_1708.jpeg" alt="semiconductor makers" width="650" height="444" />

Jackson ยังกล่าวเพิ่มอีกว่า เทคโนโลยีชิปถือว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างมากสำหรับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ 

นอกเหนือจาก CHIPS Act แล้ว ทางรัฐ New York ได้ออกกฎหมายลดหย่อนภาษีจำนวน 1 หมื่นล้านเหรียญให้แก่ผู้ผลิตชิปที่สร้างหรือขยายโรงงานประกอบเซมิคอนดักเตอร์ภายในรัฐ โดยคาดว่าเร็วๆ นี้ รัฐอื่นๆ อาจมีการออกนโยบายให้ประโยชน์ทางภาษีในลักษณะเดียวกัน

จากดัชนีหุ้น Philadelphia Semiconductor Index (SOX) ปรากฏว่า หุ้นของ 30 บริษัทที่เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ มีการปรับตัวสูงขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาที่มีการรอคอยกฎหมายฉบับใหม่ โดยสัปดาห์ที่แล้วนับเป็นสัปดาห์ที่หกที่ดัชนีหุ้น SOX มีการรายงานว่าผลตอบแทนเป็นไปในทิศทางที่ดี

อย่างไรก็ตาม การบัญญัติกฎหมายในครั้งนี้ถือเป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่การทรานส์ฟอร์มความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของสหรัฐฯ ท่ามกลางความท้าทายในการลงทุนสำหรับการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษาวิจัย และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ปัจจุบัน สหรัฐฯ จัดอยู่ในอันดับ 10 เมื่อพิจารณาสัดส่วนจีดีพีที่ใช้ไปในการลงทุนด้านการวิจัยและการพัฒนา 

ดังนั้น เงินทุนจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญ หากสหรัฐฯ ต้องการแก้ปัญหาซัพพลายเชนและพลิกบทบาทขึ้นมาเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมท่ามกลางคู่แข่งจากนานาชาติ สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กฎหมายฉบับใหม่นี้กำหนดให้ค่าใช้จ่ายสำหรับทั้งระบบการผลิตและกระบวนการผลิตถือเป็นวาระฉุกเฉินเร่งด่วน ในส่วนหัวข้ออื่นๆ อย่างการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ในกระทรวงพาณิชย์ หรือ สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Institute of Standards and Technology) ต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสเสียก่อน 

แปลและเรียบเรียงโดย สิรินนรี อ๋องสกุล จากบทความ What Is The Semiconductor CHIPS Act, And Why Does The U.S. Need It? และ CHIPS And Science Act Is Now Law. That Doesn’t Mean Policymakers’ Work Is Done. แพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม:
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/global-world/%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99-%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88.html">จีน “ล็อกดาวน์” ครั้งใหม่อาจสะเทือนการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ</a></li>
</ul>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สหรัฐฯ ออก CHIPS Act ทุ่มเงินผลิตเซมิคอนดักเตอร์

<h2 class="p1">กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่า นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2022 นี้เป็นต้นไป พลเมืองสหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการระบุเพศของตน จะมีทางเลือกใหม่ในการระบุเครื่องหมาย X ในหนังสือเดินทาง</h2>
<img class="alignnone wp-image-60961" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/GettyImages-74633679.jpeg" alt="สหรัฐฯ อนุมัติหนังสือเดินทาง 'X'" width="720" height="405" />
เนื่องในโอกาส<a style="color: #008000;" href="https://www.state.gov/proposing-changes-to-the-departments-policies-on-gender-on-u-s-passports-and-consular-reports-of-birth-abroad/">วันสนับสนุนสิทธิของกลุ่มคนข้ามเพศสากล</a> ซึ่งตรงกับวันที่ 31 มีนาคม 2022 ฝ่ายบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joe Biden ประกาศมาตรการใหม่หลายประการ เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ไปจนถึงการกำจัดอุปสรรคต่างๆ ที่กลุ่มคนข้ามเพศต้องเผชิญโดยเฉพาะเมื่อต้องใช้บริการของรัฐ และการเพิ่มความตระหนักรู้ต่อกลุ่มคนข้ามเพศในฐานข้อมูลแห่งชาติ
นอกจากการเพิ่มเครื่องหมาย X ในหนังสือเดินทางแล้ว กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า การเพิ่มตัวเลือกนี้จะสามารถใช้ได้ “สำหรับเอกสารรูปแบบอื่น” ในปีหน้า
เช่นเดียวกับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่ได้เดินหน้าออกหนังสือเดินทางระบุเพศที่นอกเหนือไปจากชายและหญิงแล้วเช่นกัน
โดย Oregon นับเป็นรัฐแรกที่เริ่มเสนอเครื่องหมายที่เป็นกลางทางเพศบนบัตรประจำตัวของรัฐและใบขับขี่ โดยไม่ต้องขอใบรับรองจากแพทย์ตั้งแต่ปี 2017 ขณะที่อีกกว่า 20 รัฐเริ่มทยอยเพิ่มข้อเสนอเรื่องเครื่องหมาย X บนบัตรประจำตัวของรัฐ
ด้าน California เป็นรัฐแรกที่เสนอสูติบัตรที่ไม่ระบุเพศ (gender-neutral birth certificate) ในปี 2017 และในปีต่อมา Colorado ก็ได้มีการเสนอสูติบัตรระหว่างเพศ (intersex birth certificate) เป็นรัฐแรกซึ่งในที่นี้หมายถึงคนที่เกิดมามีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากปกติจนไม่สามารถระบุเพศได้อย่างชัดเจนไม่ได้หมายถึงเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศแต่อย่างใด
ล่าสุด กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ประกาศใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การเดินทางสำหรับนักเดินทางข้ามเพศ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการคัดกรองที่ปรับปรุงแล้วเพื่อลด “อัตราการเตือนภัยที่ผิดพลาด” ซึ่งในที่สุดจะถูกนำมาแทนที่ “ระบบปัจจุบันที่ใช้เทคโนโลยีที่ถูกกำหนดด้วยเพศสภาพ” 
ขณะที่หน่วยงานด้านความปอดภัยในการเดินทางของสหรัฐฯ (TSA) จะอัปเดตขั้นตอนแยกต่างหาก เพื่อลบการพิจารณาเรื่องเพศขณะตรวจสอบความถูกต้องของบัตรประจำตัวผู้เดินทาง ที่จุดตรวจรักษาความปลอดภัยสนามบิน
“พลเมืองสหรัฐฯ ข้ามเพศยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ การล่วงละเมิด และอุปสรรคในการเข้าถึงโอกาสต่างๆ” ประธานาธิบดี Joe Biden ระบุในแถลงการณ์ “ในปีที่ผ่านมา มีการเสนอร่างกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเพศหลายร้อยฉบับในรัฐต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่เด็กข้ามเพศ”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Gender-Neutral ‘X’ Passports Will Be Available In April — Here’s Which States Already Offer Gender-Neutral Identification โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/nongfu-spring-zhong-shanshan-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%94%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%99.html">“Nongfu Spring” ปรับทัพรับแรงกดดัน เหตุต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้น</a>

สหรัฐฯ อนุมัติหนังสือเดินทาง ‘X’ เป็นกลางทางเพศ 11 เมษายนนี้

สหรัฐฯ กำลังเดินผิดทาง เรื่องสิทธิบัตรวัคซีน

<h2 class="p1">รัฐบาลทหารเมียนมาสั่งการให้บริษัทเครือข่ายโทรคมนาคมในประเทศปิด Facebook ชั่วคราว เพื่อลดโอกาสในการชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร</h2>
<figure><img class="wp-image-41084" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/Min-Aung-Hlaing.jpg" alt="Aung San Suu Kyi " width="720" height="480" /><figcaption> พลเอกอาวุโส Min-Aung-Hlaing ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา และผู้ก่อรัฐประหารในปี 2021</figcaption></figure>
<a style="color: #333333;" href="https://www.reuters.com/article/us-myanmar-politics-facebook/myanmar-internet-providers-block-facebook-services-after-government-order-idUSKBN2A32ZE">กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารของเมียนมา</a>มีคำสั่งให้ระงับการให้บริการของ<a style="color: #008000;" href="https://www.theguardian.com/global-development/2021/feb/04/myanmar-coup-army-blocks-facebook-access-as-civil-disobedience-grows"> Facebook</a> ชั่วคราว จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ โดยอ้างว่าเพื่อธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพภายในประเทศ
ปัจจุบัน Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมในเมียนมามีผู้ใช้บริการกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรภายในประเทศ เพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อและรับรู้ข่าวสาร ได้ถูกนำมาใช้ในการนัดแนะชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021
โดยส่วนหนึ่งของข้อความในหนังสือคำสั่งระบุว่า “Facebook ได้ถูกใช้เพื่อแพร่กระจายข่าวปลอมและข้อมูลที่ผิดๆ ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ผู้คน และอาจนำมาซึ่งการก่อการจราจลภายในประเทศ”
ด้าน Facebook ได้ตระหนักถึงประเด็นปัญหานี้ และได้เปิดเผยกับ Forbes ว่า “เราขอเรียกร้องให้ทางการฟื้นฟูการเชื่อมต่อ เพื่อให้ชาวเมียนมาสามารถสื่อสารกับครอบครัวและเพื่อน ตลอดจนเข้าถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ ได้”
ทั้งนี้ นอกจาก Facebook แล้ว ธุรกิจอื่นๆ ในเครือของบริษัทก็โดนระงับการให้บริการเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Messenger, WhatsApp หรือ Instagram
ในที่นี้ Telenor Group บริษัทโทรคมนาคมท้องถิ่น ผู้ระงับการให้บริการดังกล่าว ได้ “แสดงความกังวลอย่างมาก” และเปิดเผยกับ Reuters ว่า "แม้คำสั่งจะอิงพื้นฐานทางกฎหมายตามกฎหมายเมียนมา แต่ Telenor ไม่เชื่อว่าคำขอนั้นมีความจำเป็นและสอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ”
ช่วงเช้าของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กองทัพเมียนมาจับกุม Aung San Suu Kyi ที่ปรึกษาแห่งรัฐ รวมถึงประธานาธิบดี <a style="color: #008000;" href="https://www.theguardian.com/world/2021/feb/01/further-army-clampdown-feared-in-myanmar-after-aung-san-suu-kyi-detained">U Win Myint</a> และแกนนำคนสำคัญของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือ NLD ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเมียนมา และ<a style="color: #333333;" href="https://www.aljazeera.com/news/2021/2/1/full-text-of-myanmar-army-statement-on-state-of-emergency">ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี </a>
โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลของเมียนมา ภายใต้การนำของ Aung San Suu Kyi ล้มเหลวในการตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไป ที่มีขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนั้นเธอสามารถคว้าชัยได้เป็นสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนถล่มทลายร้อยละ 83 ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งและมีประชาชนบางส่วนถูกตัดสิทธิ์การลงคะแนนเสียง
<img class="alignnone wp-image-41083" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/960x0-coup.jpg" alt="Aung San Suu Kyi " width="720" height="481" />
ทั้งนี้ ในปี 2018 <a style="color: #333333;" href="https://about.fb.com/news/2018/11/myanmar-hria/">Facebook</a> ตระหนักว่า ทางบริษัท “สามารถหรือควร” ที่จะ “ป้องกันการใช้แพลตฟอร์มในการปลุกระดมความรุนแรง” ในพม่า หลังจากที่ <a style="color: #333333;" href="https://www.nytimes.com/2018/11/06/technology/myanmar-facebook.html">New York Times</a> ได้ออกมาเปิดเผยว่า ผู้นำทหารได้พยายามใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการโจมตีรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาชาวโรฮิงญา ในรัฐยะไข่ 
อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ความรุนแรงในปัจจุบัน หลายชาติทั่วโลกทั้งในเอเชียและชาติตะวันตกได้ออกมาประณามกองทัพเมียนมาที่ก่อการรัฐประหาร แต่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ <a style="color: #333333;" href="https://www.aljazeera.com/news/2021/2/3/security-council-fails-to-agree-statement-condemning-myanmar-coup">(UNSC)</a> องค์กรระหว่างประเทศที่มีหน้าที่ดำรงรักษาสันติภาพและความปลอดภัยแก่ประเทศสมาชิกกลับเผชิญเสียงคัดค้านจากจีนและรัสเซียในการออกแถลงการณ์ประณามการกระทำดังกล่าว
ด้าน <a style="color: #008000;" href="https://www.whitehouse.gov/briefing-room/statements-releases/2021/02/01/statement-by-president-joseph-r-biden-jr-on-the-situation-in-burma/">Joe Biden</a> ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากจะออกแถลงการณ์ประณามการจับกุมตัวผู้นำประเทศและการเข้ายึดอำนาจแล้ว ยังยุติความช่วยเหลือระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีให้แก่รัฐบาลเมียนมาทั้งหมดทันที เว้นแต่เพียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวโรฮิงญา ในรัฐยะไข่ ซึ่งถือเป็นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมทิ้งท้ายว่า “สหรัฐฯ จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทุกประเทศที่ประชาธิปไตยถูกคุกคาม”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Myanmar’s Military Blocks Access To Facebook After Overthrowing Government เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/ant-group-%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3.html">Ant Group เตรียมปรับโครงการธุรกิจเป็น “บริษัทโฮลดิงด้านการเงิน”</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events