<h2>อัตราความเหลื่อมล้ำด้านแรงงานระหว่างเพศ ที่จำกัดบทบาทหน้าที่ในองค์กรและรายได้ของพนักงานหญิงที่ดูแล้วจะกว่าชาย เห็นได้จากตัวเลขของผู้นำหญิงระดับสูงในองค์กรทั่วโลกที่มีสัดส่วนเพียง 32% เท่านั้น JPMorgan จึงจัดทำรายงานพร้อมคาดการณ์ว่า กว่าจะสร้างความเท่าเทียมทางเพศด้านแรงงานได้ ก็น่าจะต้องใช้เวลานานถึง 134 ปี !!! </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;JPMorgan Chase &amp; Co. เผยถึงรายงานความก้าวหน้าในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศในปัจจุบันได้หยุดชะงักลง และอาจจะต้องใช้เวลายาวนานถึง 134 ปี กว่าจะบรรลุผลสำเร็จ!&nbsp; &nbsp; โดยข้อมูลในรายงานมีการระบุว่า แม้อัตราการจ้างแรงงานของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาจะมีตัวเลขสูงเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมภายในบริษัททั่วโลกจะเพิ่มขึ้น แต่ทว่าอัตราตัวเลขของผู้หญิงที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำระดับสูงขององค์กรกลับมีสัดส่วนไม่มากอยู่ที่ 32% เท่านั้น&nbsp; &nbsp; นอกจากนี้ รายงานยังระบุเพิ่มเติมว่า ค่าตอบแทนสูงสุดที่องค์กรจ่ายให้พนักงานในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่มักจะเป็นของผู้ชายผิวขาว ขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังคงถูกจำกัดในบทบาทหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ภายในองค์กร รวมทั้งช่องว่างของอัตราค่าจ้างแรงงานระหว่างเพศหญิงและชาย ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างมาก เห็นได้จากตัวเลขในปี 2024 ที่ผ่านมา&nbsp;ค่าจ้างระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในสหรัฐฯ มีความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นราว 17% ส่วนที่ยุโรปนั้น ตัวเลขดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับทรงตัว 13% ไม่เปลี่ยนแปลง​&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม รายงานของ&nbsp;JPMorgan ยังระบุทิ้งท้ายด้วยว่า "หากแนวโน้มเรื่องความเหลื่อมล้ำค่าจ้างแรงงานระหว่างเพศในปัจจุบันยังดำเนินต่อไป ก็ทำให้คาดการณ์ได้ว่าความเท่าเทียมทางเพศทั่วโลกเกี่ยวกับการจ้างงานนี้ อาจจะต้องรอไปอีกนานในศตวรรษที่ 22" !!!&nbsp; ภาพ : <a href="https://www.freepik.com/free-photo/collaborative-process-multicultural-businesspeople-using-computer-presentation-communication-meeting-brainstorming-ideas-about-project-colleagues-working-plan-success-strategy-modern-office_7685829.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=1&amp;uuid=481ea1f6-d6c9-4e23-af56-bd7692ce2b2a&amp;query=working+office" alt="tirachadz from freepik">tirachadz from freepik</a>​ แปลและเรียบเรียงจากบทความ :&nbsp;<a href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-07/gender-equality-will-take-134-years-globally-report-says?srnd=homepage-asia&amp;sref=CVqPBMVg" alt="It will take another 134 years to achieve complete gender equality, JPmorgan says">It will take another 134 years to achieve complete gender equality, JPmorgan says</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/brian-armstrong-the-crypto-wisdom-king" alt="Brian Armstrong ราชาปราชญ์แห่งคริปโต">Brian Armstrong ราชาปราชญ์แห่งคริปโต</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เมื่อผู้นำหญิงในองค์กรทั่วโลกมีเพียง 32% JPMorgan ชี้ กว่าจะเกิด 'ความเท่าเทียมทางเพศ' ได้ ต้องใช้เวลา 134 ปี!

<h2>สำหรับบางคน ‘โซเชียลมีเดีย’ อาจไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์หรือควรใช้เวลาด้วยมากนัก อย่างเช่น Jamie Dimon ซีอีโอ JPMorgan ที่ไม่ค่อยมีโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดีย และยังบอกอีกว่าคนรุ่นใหม่ควรใช้เวลากับ Facebook และ TikTok ให้น้อยลง และอ่านหนังสือให้มากขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jamie Dimon ซีอีโอ JPMorgan กล่าวว่า คนหนุ่มสาวควรใช้เวลาน้อยลงกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และใช้เวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในการกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมคุณภาพตลาดการเงินประจำปีของ Georgetown Psaros Center for Financial Markets and Policy เมื่อมีคนถามว่าเขามีคำแนะนำอะไรให้กับนักศึกษาที่นั่นบ้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับพวกคุณส่วนใหญ่ ปิด TikTok หรือ Facebook ซะ เพราะมันเป็นการเสียเวลาที่โง่เขลาอย่างยิ่ง” Dimon กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dimon ยังแนะนำอีกว่าการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย อ่านแบบรวดเดียว น่าจะเป็นการใช้เวลาที่ดีกว่ามาก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คำแนะนำของผมสำหรับนักเรียนคือ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ หากคุณเป็นเดโมแครต ให้อ่านความเห็นของรีพับลิกัน ซึ่งเป็นความเห็นที่ดี หากคุณเป็นรีพับลิกัน ให้อ่านความเห็นของเดโมแครต” Dimonกล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น Nelson Mandela, Abe Lincoln, Sam Walton คุณเรียนรู้ได้จากการอ่านและพูดคุยกับผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่น” เขากล่าวเสริม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dimon เรียกได้ว่าแตกต่างจากผู้บริหารธุรกิจส่วนใหญ่ เขาค่อนข้างที่จะ ‘โลว์โปรไฟล์’ บนโซเชียลมีเดีย โดยนอกจาก LinkedIn แล้ว Dimon ไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, X หรือ TikTok แม้ว่าเขาจะยอมรับในปี 2021 ว่ามีบัญชี Instagram ภายใต้ชื่อผู้ใช้ปลอมก็ตาม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dimon ยังวิพากษ์วิจารณ์โซเชียลมีเดียในปีนี้ในจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น โดยระบุว่าแพลตฟอร์มต่างๆ จำเป็นต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อแก้ไขปัญหาที่พวกเขาสร้างขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบเชิงลบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนการเลือกตั้ง ไปจนถึงผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตของเด็กๆ ที่ได้รับการบันทึกว่าเพิ่มมากขึ้น” Dimon ระบุ “นี่คือปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งในระดับบุคคลและส่วนรวมของเรา” เขากล่าวเสริม “และถึงเวลาแล้วที่บริษัทโซเชียลมีเดียจะต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว” แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.entrepreneur.com/business-news/jpmorgan-ceo-jamie-dimon-tiktok-facebook-a-waste-of-time/480059" alt="Jamie Dimon Says TikTok and Facebook Are a 'Total Stupid Waste of Time' and People Should Read Books Instead">Jamie Dimon Says TikTok and Facebook Are a 'Total Stupid Waste of Time' and People Should Read Books Instead</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/america/bill-gates-says-he-wants-to-work-another-20-to-30-years" alt="Bill Gates บอกอยากทำงานไปอีก 20-30 ปี เน้นเรื่องมูลนิธิแก้ปัญหาโลก และขนาด Buffett ยังทำงาน 6 วัน/สัปดาห์">Bill Gates บอกอยากทำงานไปอีก 20-30 ปี เน้นเรื่องมูลนิธิแก้ปัญหาโลก และขนาด Buffett ยังทำงาน 6 วัน/สัปดาห์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ซีอีโอ JPMorgan แนะคนรุ่นใหม่อ่านหนังสือ เลิกเล่น Facebook – TikTok ซะ เพราะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์สุดๆ

<h3>JPMorgan Chase &amp; Co  ธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ประกาศเตรียมสร้างศูนย์ฟินเทคในย่าน Silicon Valley เน้นพัฒนาระบบจ่ายเงินดิจิทัล ดึงดูดคนเก่งเข้าทำงาน</h3>
ศูนย์ฟินเทคของ JPMorgan เเห่งนี้จะตั้งอยู่ที่ Palo Alto รัฐเเคลิฟอร์เนีย มีกำหนดเปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี 2020 พร้อมพนักงานกว่า 1,000 ตำเเหน่ง ด้วยมุ่งหวังให้พนักงานสามารถสื่อสารกันข้ามสายงานธุรกิจได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้างสรรค์กิจกรรมเเละบริการใหม่ๆ

โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบจ่ายเงินดิจิทัลให้หน่วย Chase Merchant Services ซึ่งเป็นหน่วยที่ทำการประมวลผลการจ่ายเงินผ่านบัตรรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้ JPMorgan Chase &amp; Co รวมไปถึงการให้บริการผู้บริโภคและภาคธุรกิจได้มากขึ้น ช่วยขยายฐานลูกค้าที่จะมาใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคาร เช่นเงินฝากเเละเงินกู้ ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าใช้โมบายเเบงก์กิ้งของบริษัทราว 47 ล้านคน

"การสร้างสถานที่ทำงานชั้นยอด เป็นกุญเเจสำคัญในการขยายธุรกิจของเราในย่านนี้ นี่คือตลาดสำคัญของเรา พร้อมกับการขยายการดำเนินงานเเละมองหาผู้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมในพื้นที่" Bill Wallace หัวหน้าฝ่ายดิจิทัล JPMorgan ระบุในเเถลงการณ์

JPMorgan กำลังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจด้านการเงินดิจิทัล โดยปลายปีที่ผ่านมา Chase Merchant Services ได้เข้าซื้อ WePay บริษัทในย่าน Silicon Valley ผู้ให้บริการซอฟต์เเวร์ระบบจ่ายเงินที่เชื่อมกับเครือข่ายธนาคาร บริการลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กกว่า 4 ล้านราย ซึ่งตอนนี้  WePay มีพนักงานทั้งหมด 275 คน เเละหากศูนย์ฟินเทคแห่งใหม่ของ JPMorgan สร้างเสร็จ พนักงานของ WePay ทั้งหมดก็จะย้ายเข้ามาทำงานในอาคารเเห่งนี้ ทั้งนี้ JPMorgan มีแผนจะจ้างพนักงานเพิ่มอีกนับร้อยคนอีกด้วย

ที่มา
<ul>
 	<li>https://www.reuters.com/article/us-jpmorgan-tech-office/jpmorgan-to-build-silicon-valley-fintech-office-idUSKCN1MT2OL</li>
 	<li>https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-10-19/jpmorgan-to-build-a-silicon-valley-campus-for-1-000-employees</li>
</ul>
AFP Photo/SPENCER PLATT

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events