Ian MacLachlan ฮีโร่วัคซีนโควิดผู้ถูกลืม

<h2>ท่ามกลางสงครามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลกยังคงต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะและหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีอาวุธหลักคือ “วัคซีน” จากบริษัทด้าน Biotechnology</h2>
ซึ่งหากลองย้อนดูจากประเทศพัฒนาแล้วจะพบว่า แม้ว่าจะฉีดให้ประชาชนยังไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ตาม แต่ก็เริ่มพิสูจน์ได้แล้วว่าวัคซีนสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 จนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้

บรรดาบริษัทด้าน Biotechnology ตามระดมสรรพกำลังผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่นับได้ว่าเป็นวัคซีนสร้างขึ้นมาใช้กับมนุษย์ได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และบางชนิดยังเป็นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีไบโอเทคมาเพิ่มประสิทธิภาพให้วัคซีนเป็นครั้งแรกของโลกซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าว คือ การสังเคราะห์สารพันธุกรรม mRNA (Messenger Ribonucleic Acid)

โดยวัคซีนชนิดนี้จะทำให้ร่างกายสังเคราะห์โปรตีนที่มีลักษณะคล้ายๆ โปรตีนหนาม หรือที่เรียกว่า สไปค์ (Spike) ของเชื้อไวรัส เพื่อเป็นการจำลองลักษณะของไวรัสเข้ามาในร่างกายของมนุษย์ โดยโปรตีนหนามนี้จะไม่ทำให้ร่างกายติดเชื้อและจะมากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านเชื้อโควิด-19

ซึ่งบริษัทไบโอเทคโนโลยีที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ในการสร้างวัคซีนและได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ปัจจุบันมี 2 บริษัท คือ BioNTech/Pfizer (BNT162b2) และ Moderna (mRNA–1273) ซึ่งวัคซีนทั้งสองบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันและลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อได้สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

<figure><img class="wp-image-49665 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Bearwalk_Moderna_Lab_15_2.jpeg" alt="" width="320" height="480" /><figcaption> เครดิตภาพ: Moderna</figcaption></figure>

สำหรับ Moderna ก่อนหน้านี้เป็นบริษัทที่หลายคนไม่รู้จัก แต่หลังจากบริษัทประสบความสำเร็จในการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ก็กลายมาเป็นบริษัทนวัตกรรมการแพทย์ชั้นนำระดับโลก และถูกนำมาร่วมคำนวนในดัชนี S&amp;P 500 และทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทขึ้นมาอยู่ที่ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

สำหรับรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 Moderna มีรายได้รวมอยู่ที่ 6.29 พันล้านเหรียญฯ จำนวนนี้มาจากการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ถึง 5.9 พันล้านเหรียญฯ และรายได้รวมครึ่งแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 8,310 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 74.79 ล้านเหรียญฯ  และจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการจำหน่ายวัคซีน หนุนให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 Moderna พลิกมีกำไรสุทธิ 4 พันล้านเหรียญฯ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 241 ล้านเหรียญฯ

นอกจากนี้ประเด็นบวกดังกล่าวยังส่งผลให้อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) มาอยู่ที่ 9.3 เหรียญฯ และราคาหุ้นบริษัท Moderna ก็ปรับตัวขึ้นได้ถึงเกือบ 248 เปอร์เซ็นต์ (ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564) นับตั้งแต่ต้นปี 2564

สำหรับด้านการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการทุ่มค่าใช้จ่ายของยาและวัคซีน เช่น วัคซีน RSV, ZIKA, HIV และโรคหายยากอื่นๆ อย่างโรคมะเร็งอีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการที่ผู้บริหารคาดว่า ในปี 2564 จะสามารถผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้ราว 800 - 1,000 ล้านโดส และได้ทำสัญญาจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ล่วงหน้า สำหรับปี 2564 อีกราว 2 หมื่นล้านเหรียญฯ และปี 2565 อีกราว 1.2 หมื่นล้านเหรียญฯ และยังมีดีลที่กำลังเจรจาเพิ่มอีกสำหรับปี 2566 นอกจากนี้ผู้บริหารคาดว่าจะลงทุนเพิ่มอีกราว 450 - 550 ล้านเหรียญฯ ในปีนี้ รวมถึงขยายกำลังการผลิตวัคซีนโควิด-19 ด้วย

<figure><img class="wp-image-49664 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/AstraZeneca.jpg" alt="" width="600" height="397" /><figcaption> เครดิตภาพ: AstraZeneca.com</figcaption></figure>

อีกบริษัทหนึ่งที่มีการจำหน่ายวัคซีนไปทั่วโลก คือ AstraZeneca บริษัทที่มีการเติบโตของรายได้รวมจากการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ในครึ่งปีแรก 2564 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 50 โดยรายได้หลักของบริษัท AstraZeneca มาจากการจำหน่ายยารักษาที่เกี่ยวกับโรคมะเร็งวิทยา (Oncology) โรคหลอดเลือดหัวใจ ไต และเมแทบอลิซึม (CVRM) และกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันและโรคติดเชื้อ (Respiratory, Immunology and Infectious Disease หรือ RIID)

ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายวัคซีนไตรมาสสอง 2564 อยู่ที่ 894 ล้านเหรียญฯ เมื่อรวมครึ่งปีแรก 2564 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายวัคซีนกว่า 700 ล้านโดส คิดเป็นมูลค่า 1,169 ล้านเหรียญฯ ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตร้อยละ 9 และเมื่อดูรายได้รวมของบริษัทครึ่งปีแรก 2564 อยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านเหรียญฯ เติบโตร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 2.110 พันล้านเหรียญฯ เมื่อเทียบกับกำไรที่ 1.536 พันล้านเหรียญฯ ในครึ่งปีแรก 2563

ส่งผลให้อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) ครึ่งปีแรก 2564 ออกมาที่ 1.27  เหรียญฯ เทียบกับ 1.01 เหรียญฯ ในครึ่งปีแรก 2563 คิดเป็นการเติบโตถึงร้อยละ 25.74  ด้านราคาหุ้นบริษัท AstraZeneca ADR ก็ปรับตัวขึ้นได้ถึงเกือบร้อยละ 17 (ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564) นับตั้งแต่ต้นปี 2564

สำหรับการเติบโตในอนาคตของ AstraZeneca ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท Alexion ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 โดย Alexion เป็นบริษัทในกลุ่ม Biotech ที่เน้นผลิตยารักษาโรคหายากที่เกี่ยวกับระบบเลือด ไต ระบบประสาท เมแทบอลิซึม (Metabolism) และหัวใจ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้การเติบโตของ AstraZeneca มีรายได้เติบโตเกิน 2 หลัก จนถึงปี 2025 และคาดว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทด้วย

โลกของเราอาจจะต้องอยู่กับเชื้อ โควิด-19 อีกนาน Biotechnology จึงเป็นอาวุธที่จะใช้ต่อสู้กับ โควิด-19 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่ใช้มีเพียงแค่ 2 บริษัทนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายบริษัททั่วโลกที่กำลังพัฒนายาและวัคซีนกว่า 1,200 แบบ<a href="http://www.statista.com" name="_ftnref1">[1]</a> เพื่อเอาชนะ โควิด-19 เช่นกัน

นอกเหนือจากนี้ Biotechnology ไม่เพียงแต่จะเอาชนะการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่ในอนาคต Biotechnology ยังมีโอกาสที่จะเติบโตไปพร้อมกับนวัตกรรมการแพทย์ (Innovative Healthcare) ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในการรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ อย่าง เช่น โรคมะเร็งที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย

<img class="alignnone wp-image-41940 size-thumbnail" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/ณัฐกฤติ-เหล่าทวีทรัพย์-150x150.jpg" alt="ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์" width="150" height="150" />
บทความโดย
ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์
CFP® Head of Wealth Advisory
ธนาคารทิสโก้

ภาพเปิด: Pixabay.com

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“Biotechnology” อาวุธลงทุนที่เอาชนะโควิด-19

<h2>นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อต้นปี 2020 ที่ได้ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของ Moderna บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนำจากเมือง Cambridge รัฐ Massachusetts ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีผู้บริหารก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีมากถึง 5 ราย </h2>
<img class="alignnone wp-image-46855" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/1960x0-1024x683.jpg" alt="Stephen Hoge" width="720" height="480" />

ล่าสุด Stephen Hoge ประธานบริษัทก้าวเข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อจาก <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/stephane-bancel/?sh=3be332f83742">Stephane Bancel</a> ผู้ดำรงตำแหน่งซีอีโอ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/noubar-afeyan/?sh=3d935ffb1d14">Noubar Afeyan</a> ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/timothy-springer/?sh=577800612b2d">Timothy Springer</a> นักลงทุน และ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/robert-langer/?sh=d48566e45372">Robert Langer</a> ผู้ร่วมก่อตั้ง

แม้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นของ Moderna จะปรับตัวลงจากข่าววัคซีนโควิด-19 ซึ่งผลิตโดย <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/alexknapp/2021/06/14/novavax-reports-over-90-efficacy-for-its-covid-vaccine-including-against-variants/?sh=6715db485351">Novavax</a> มีประสิทธิภาพร้อยละ 90 ในการต่อต้านไวรัส แต่ในเดือนที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทได้ปรับตัวขึ้นมากถึงร้อยละ 29 หลังจากที่ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องขออนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 ในวัยรุ่นอายุ 12-17 ปีต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) เป็นกรณีฉุกเฉิน หลังจากยื่นขออนุมัติใช้ในผู้ใหญ่เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

หากผ่านการอนุมัติ วัคซีนของ Moderna จะเป็นวัคซีนตัวที่ 2 ในสหรัฐฯ ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในเด็กอายุ 12-17 ปี ต่อจากวัคซีนของบริษัท Pfizer-BioNTech ซึ่งได้รับอนุมัติจาก FDA ให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินในกลุ่มเด็ก 12-15 ปีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดเผยว่า ในปีนี้อาจมีการเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 800 ล้านโดสเป็น 1 พันล้านโดส

ปัจจุบัน Stephen Hoge วัย 45 ปี ถือหุ้นในบริษัทอยู่ที่ร้อยละ 0.4 คิดเป็นมูลค่า 365 ล้านเหรียญ และตราสารสิทธิ (option) อีกราว 685 ล้านเหรียญ 

เช่นเดียวกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ Hoge ได้ทำการขายหุ้น Moderna รวมเป็นมูลค่า 65.5 ล้านเหรียญ (ก่อนหักภาษี) ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 ถึงเมษายน 2021 นอกจากนี้ เขายังถือหุ้นร้อยละ 0.2 ใน Axcella Health บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่ใช้การผสมผสานโมเลกุลชีวภาพของร่างกายมนุษย์ในการรักษาโรคที่ซับซ้อน และดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการบริษัทมาตั้งแต่ปี 2014

Hoge สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ University of California รัฐซานฟรานซิสโกในปี 2003 หลังจากได้รับปริญญาตรีด้านประสาทวิทยาที่ Amherst College และเป็นมหาเศรษฐีใน Moderna เพียงคนเดียวที่เป็นแพทย์ด้วย 

โดยเขาใช้เวลาหลายปีในฐานะแพทย์ประจำบ้านในกรุงนิวยอร์ก ก่อนที่จะมาร่วมงานกับ McKinsey  ในตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับธุรกิจด้านสุขภาพในปี 2010 และย้ายมาที่ Moderna ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายพัฒนาองค์กรและเนื้องอกวิทยาในปี 2012 แล้วจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานในปี 2015

ในฐานะประธาน Hoge เป็นผู้นำในงานด้านการวิจัยและการพัฒนาทั้งหมดของบริษัท และเป็นหัวหน้าสำนักงานพัฒนาทางคลินิก ซึ่งเป็นบทบาทที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในปีที่แล้ว

ทั้งนี้ Hoge เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดของของ<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/giacomotognini/2021/04/06/meet-the-40-new-billionaires-who-got-rich-fighting-covid-19/?sh=2dd9309717e5">มหาเศรษฐีหน้าใหม่กว่า 40</a> รายที่สร้างความมั่งคั่งจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Surging Moderna Stock Mints The Vaccine Maker’s Fifth Billionaire โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/sponsored-content/boi-2-june2021.html">อุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อผู้สูงอายุของบีโอไอ</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events