<h2>ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศแต่งตั้ง ‘พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา’ รับตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ สาย Private Banking จากที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ อยู่แล้ว พร้อมเดินหน้าบริหาร SCB PRIVATE BANKING</h2><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);"><br></span></p><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันนี้ (8 ก.ค. 67) <strong>นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์</strong> กล่าวว่า ธนาคารประกาศแต่งตั้ง <strong>นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา</strong> ขึ้นดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking คนใหม่ รับภารกิจสำคัญในการเป็นหัวเรือใหญ่นำ SCB PRIVATE BANKING สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของธนาคาร</span></p><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ด้วยประสบการณ์การทำงานด้านการเงินการลงทุนของนายพีรพงศ์มากว่า 27 ปี ในสถาบันการเงินชั้นนำ ครอบคลุมด้านการบริหารความมั่งคั่งในผลิตภัณฑ์การลงทุนและทรัพย์สินหลากหลายประเภท การสร้างกลยุทธ์การลงทุนให้กับลูกค้า รวมถึงการวางแผนการดำเนินงานเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจให้กับองค์กร ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในอุตสาหกรรมกองทุนรวมระดับประเทศ ธนาคารเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำทัพของนายพีรพงศ์จะสามารถสานต่อยุทธศาสตร์องค์กรสู่การเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่งของเมืองไทย และสามารถครองใจลูกค้าไพรเวทแบงก์กิ้งของเมืองไทย”  นายกฤษณ์ กล่าว</span></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งให้ลูกค้า ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของธนาคารที่จะมุ่งเน้นดูแลให้คำปรึกษาด้านการบริหารพอร์ตการลงทุนที่ออกแบบเป็นพิเศษเฉพาะลูกค้าแต่ละราย เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดบนความเสี่ยงที่ลูกค้าสามารถรับได้ ผ่านทีมที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนส่วนบุคคลของธนาคาร</p><p><br></p><p><br></p><p><span style="color: rgb(68, 68, 68)">เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/byd-acquires-20-percent-stake-in-reve-automotive" alt="BYD เข้าถือหุ้น 20% ใน ‘เรเว่ ออโตโมทีฟ’ พร้อมเผยเหตุลดราคาเพราะ ‘ต้นทุนเปลี่ยน’">BYD เข้าถือหุ้น 20% ใน ‘เรเว่ ออโตโมทีฟ’ พร้อมเผยเหตุลดราคาเพราะ ‘ต้นทุนเปลี่ยน’</a></span><br></p><p><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a></p>

ไทยพาณิชย์ แต่งตั้ง ‘พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา’ เป็นรองผู้จัดการใหญ่ Private Banking

LGT แห่งราชวงศ์ลิกเตนสไตน์ ชูจุดเด่น เจ้าของร่วมลงทุน ตอบโจทย์ตระกูล high net-worth ไทย ที่เตรียมส่งต่อความมั่งคั่งสู่ next gen พร้อมชี้เป้า ESG Investment การลงทุนในธุรกิจยั่งยืน เทรนด์ใหม่หลังยุคโควิด

<h2>ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพรวมความมั่งคั่งภายในประเทศที่อยู่ในภาวะทรงตัว จากรายงานของธนาคารโลกประจำปี 2554 ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูง โดยตลอดระยะเวลาช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยเติบโตก้าวหน้าอย่างมาก พร้อมขยับสถานะจากประเทศที่มีรายได้ต่ำก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว</h2>
แนวโน้มความมั่งคั่งภาคครัวเรือนของไทยได้สะท้อนให้เห็นภาพรวมอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จาก<strong>รายงานความมั่งคั่งระดับโลกของสถาบันวิจัยเครดิตสวิส (Credit Suisse Research Institute Global Wealth)</strong> พบว่า หากเทียบตามค่าเงินบาท อัตราความมั่งคั่งภาคครัวเรือนของไทยโดยรวมเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 2.4 จากปี 2558 คิดเป็นมูลค่า 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ มากกว่า 14 ล้านล้านบาทในปีนี้ และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีอัตราเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ7.5 นับตั้งแต่ปี 2543 สอดคล้องกับแนวโน้มความมั่งคั่งทั่วโลก

นอกจากนั้น รายงานความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ <strong>Capgemini Asia Pacific Wealth Report 2016</strong> ระบุว่าประเทศไทยมีกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งทางการเงินมากกว่า 1 ล้านเหรียญ (35 ล้านบาท) จำนวน 96,000 คน ซึ่งถือครองสินทรัพย์รอการลงทุนหรือสินทรัพย์สภาพคล่องรวมแล้วมีมูลค่า 4.84 แสนล้านเหรียญ (17 ล้านล้านบาท) นับว่าเป็นอัตราส่วนที่มากพอสมควร เมื่อเทียบกับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในภูมิภาคอย่างมาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ซึ่งรายงานของเครดิต สวิส คาดการณ์ว่า กลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งทางการเงินรายใหญ่พิเศษซึ่งมีสินทรัพย์ทางการเงินมากกว่า 50ล้านเหรียญ (1.8 พันล้านบาท) มีจำนวนมากกว่า 400 คน

&nbsp;
<h2>เทรนด์บริหารความมั่งคั่งในไทย</h2>
ด้วยกฎเกณฑ์และนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบริหารจัดการค่าเงินบาทเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการเติบโตของธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนปรนการควบคุมอัตราการแลกเปลี่ยน เพื่อสร้างสมดุลในการหมุนเวียนเงินทุนภายในประเทศ ซึ่งช่วยให้คนไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศ และมีทางเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน และหากกล่าวถึงกองทุนส่วนบุคคลสำหรับสถาบันการเงินในประเทศไทยเริ่มเปิดให้บริการ private banking ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ครอบคลุมการให้บริการกลุ่มลูกค้าและบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่กลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งระดับกลาง (mass affluent) จนถึงกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งทางการเงินรายใหญ่

ในภูมิภาคเอเชีย บรรดาธนาคารระดับโลกที่มีประสบการณ์ด้านบริการ private banking มายาวนานยังคงรักษาตำแหน่งผู้ให้บริการทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดไว้ได้ ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินของลูกค้าของธนาคารระดับโลก 3 อันดับแรกมีจำนวนรวมกันมากกว่า 6 แสนล้านเหรียญหรือ 21 ล้านล้านบาท โดยเครดิต สวิส เป็นหนึ่งในสามของธนาคารชั้นนำระดับโลกที่นำประสบการณ์ความรู้และความเชี่ยวชาญ ด้าน private banking มายังประเทศไทยเป็นเวลากว่า 160 ปี โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักสองกลุ่ม คือกลุ่มลูกค้าผู้ลงทุนรายใหญ่ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของเครดิต สวิส มากกว่า 2 ล้านเหรียญ (70 ล้านบาท) และกลุ่มลูกค้าผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของเครดิต สวิส มูลค่า 50 ล้านเหรียญ (1.8 พันล้านบาท) หรือมีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 250 ล้านเหรียญ (9 พันล้านบาท)

ทั้งนี้ สถาบันวิจัยของเครดิต สวิส คาดการณ์ว่า ความมั่งคั่งระดับโลกจะยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 1.4 ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำสำคัญในการขับเคลื่อน อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะแซงหน้ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในเรื่องอัตราการเติบโตของความมั่งคั่ง และประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราความมั่งคั่งภาคครัวเรือนขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 6 ต่อปี และมีจำนวนกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งทางการเงินเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน ด้วยจำนวนกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่และกลุ่มลูกค้าผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่กำลังเพิ่มขึ้นในประเทศไทยทำให้ตลาดการเงินในประเทศและภูมิภาคมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ธุรกิจเติบโตและมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการและองค์กรธุรกิจ

&nbsp;

<img style="width: 300px; height: 300px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/96a5e76bf6c1ad3ce7daaef8e00f322b.png" alt="" />
ทิพพา ปราณีประชาชน
หัวหน้าฝ่ายบริหาร ความมั่งคั่งประจำประเทศไทย
เครดิต สวิส

ทิศทางการบริหารความมั่งคั่งในปี 2017

<div>
	<div>
		<strong>กล่าวกันว่า<span style="color:#b22222;">สิงคโปร์</span>คือศูนย์กลาง <span style="color:#b22222;">private banking</span> ของเอเชียแปซิฟิก ที่วันนี้มีโอกาสที่จะก้าวไปไกลกว่า <span style="color:#b22222;">Hong Kong</span> เมืองศูนย์กลางตลาดทุนที่ทรงอิทธิพลมาหลายทศวรรษ</strong><br />
		&nbsp;</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		รายงานฉบับใหม่ของ <span style="color:#b22222;">WealthInsight </span>ระบุว่า ในปี 2013 ความมั่งคั่งรวมประชากร<span style="color:#b22222;">สิงคโปร์</span>ที่มีสินทรัพย์เกิน 1 ล้านเหรียญสิงคโปร์ รวมแล้วมีมูลค่าสุทธิ 7.48 แสนล้านเหรียญ พุ่งขึ้นถึง 51.7% นับแต่ฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินโลกปี 2009 &nbsp;คาดหมายว่าในปี 2018 ความมั่งคั่งสุทธิของเศรษฐีสิงคโปร์จะแตะหลักล้านล้านเหรียญ</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		แม้ว่าปริมาณความมั่งคั่งจะยังไม่เทียบชั้นบรรดาเศรษฐีใน Hong Kong ที่ในปี 2013 มีทรัพย์สินรวมทั้งเกาะถึง 1.04 ล้านล้านเหรียญไปแล้ว &nbsp;แต่ความหวั่นไหวต่อความไม่แน่นอนในอนาคตของ <span style="color:#b22222;">Hong Kong </span>ทบทวีมากขึ้นทุกขณะ &nbsp;ความวิตกต่อเสรีภาพที่อาจโดนลิดรอนเข้าสักวัน อาจแปรเป็นแรงผลักให้ความมั่งคั่งทางการเงินยักย้ายถ่ายโอนมาสู่สิงคโปร์ก็เป็นได้&nbsp;</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		แม้ว่าจะลำบากหากให้ชี้ชัดไปว่า ประเทศสิงคโปร์ธำรงแบบแผนตามครรลองประชาธิปไตย เนื่องจากมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวทำหน้าที่บริหารและเป็นผู้ปกครอง มาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ แม้ว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้านเริ่มชนะเลือกตั้งบ้างแล้ว แต่ก็เป็นส่วนน้อยมาก ทว่าในมิติทางเสถียรภาพของเกาะแห่งนี้แล้ว สิงคโปร์มิได้หวั่นไหวใดๆ พร้อมทั้งยังมีบรรยากาศและโครงสร้างพื้นฐานเอื้อต่อการบริหารจัดการความมั่งคั่งส่วนบุคคล ที่นับวันจะเพิ่มพูนมากขึ้น</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		รายงานระบุอีกว่า หากความตึงเครียดทางการเมืองใน <span style="color:#b22222;">Hong Kong</span> ยังยืดเยื้อต่อไปอีก 5 ปี อาจส่งผลให้สิงคโปร์กลายเป็นเมืองเอกของธุรกิจ <span style="color:#b22222;">private banking</span> ในเอเชียแปซิฟิก</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		<span style="color:#b22222;">"นับแต่การหยุดงานประท้วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลจีนเริ่มเข้าแทรกแซง Hong Kong มากขึ้นเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยในระยะยาวนั้น ย่อมทำให้ความเข้มแข็งภาคการเงินของ Hong Kong เปลี่ยนแปลงไปด้วย จึงเป็นโอกาสดีของสิงคโปร์ที่จะก้าวขึ้นนำ"</span> Tom Carlisle นักวิเคราะห์ของ WealthInsight ย้ำ</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		รายงานยังระบุว่าในสิงคโปร์มีเศรษฐีกว่า 150,000 ราย และในปี 2018 จะเพิ่มขึ้นอีก 30,000 ราย รวมแล้วประมาณ 182,855 คน &nbsp;คาดว่าในจำนวนนี้จะมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านเหรียญ 32 คน ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านขนาดใหญ่กว่าอย่างมาเลเซีย มีคนรวยพันล้านเพียง 20 คนเท่านั้น</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		แม้ไม่มีตัวเลขจำนวนมหาเศรษฐีจากสหรัฐฯ หรืออังกฤษมาเทียบเคียง แต่ด้วยจำนวนประชากรของสิงคโปร์ 5.4 ล้านคน &nbsp;เท่ากับว่า<span style="color:#b22222;">คนสิงคโปร์ทุกๆ 36 คน จะต้องมีเศรษฐีเงินล้านหนึ่งคนเสมอ</span> นับว่าเป็นอัตราที่ไม่เลวเลย ถ้ามั่นใจว่าข้อมูลในรายงานฉบับนี้แม่นยำจริง</div>
</div>
<div>
	<br />
	<br />
	&nbsp;</div>
<div>
	เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/chriswright/2015/01/29/why-is-singapore-full-of-millionaires/">Why Is Singapore Full Of Millionaires? </a>โดย Chris Wright<br />
	<br />
	<hr />
	<div>
		<br />
		<span style="color:#696969;"><strong>ข่าวอื่นๆ</strong></span></div>
	<ul>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/lists_detail.php?lists_id=11">เมืองทรงอิทธิพลของโลกประจำปี 2014</a></li>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=180">"สิงคโปร์" รั้งประเทศที่เป็นมิตรกับการทำธุรกิจที่สุดในโลก</a></li>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=179">ผู้นำสิงคโปร์ชี้ ประชาธิปไตยแก้ปัญหาของประเทศในเอเชียไม่ได้</a></li>
	</ul>
	<div>
		&nbsp;</div>
</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events