<h2>REIC เผยสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ยังชะลอตัว สะท้อนจากความต้องการซื้อบ้านสร้างใหม่-ที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ลดลงทั้งในเชิงมูลค่าและจำนวน ส่วนภาพรวมทั้งปี 67 มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ที่ 62,771 หน่วย ลดลง 34.9% และจำนวนหน่วยเหลือขายยังเพิ่มขึ้น 2.9% ยังหวังปี 68 มีแรงหนุนจากการผ่อนปรน LTV</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานผลสำรวจภาคสนามอุปทานและอุปสงค์โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย ประจำไตรมาส 4 ปี 2567 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยสำรวจเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่น้อยกว่า 6 หน่วย พบว่า สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย (บ้านจัดสรรและอาคารชุด) ในกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดปริมณฑล (กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ปรับตัวลดลงทั้งอุปสงค์ และอุปทาน โดยอุปสงค์ที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ ณ ไตรมาส 4 ปี 2567 มีจำนวน 15,038 หน่วย ลดลงร้อยละ 21.6 มูลค่า 90,713 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.1&nbsp; &nbsp; ขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2567 มีจำนวน 17,153 หน่วย ลดลงร้อยละ 45.3 มูลค่า 137,882 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 42.5 โดยการปรับตัวดังกล่าวมีผลให้หน่วยที่มีการเสนอขายทั้งหมดในตลาด ปี 2567 ลดลงร้อยละ -3.3 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 275,541 หน่วย มูลค่า 1,700,189 ล้านบาท มีโครงการเปิดขายใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 62,771 หน่วย ลดลงร้อยละ 34.9 มูลค่า 500,957 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16.2 มีจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ จำนวนรวม 59,585 หน่วย ลดลงร้อยละ 20.8 มูลค่า 348,991 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.7 มีผลให้หน่วยเหลือขายสิ้นงวด ณ ปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 215, 956 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 คิดเป็นมูลค่า 1,351,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด 5 อันดับแรกยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งหมดประกอบด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 1 ย่านบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 21,705 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 118,082 ล้านบาท อัตราดูดซับร้อยละ 1.5&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 2 ย่านลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 19,236 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 97,795 ล้านบาท อัตราดูดซับ ร้อยละ 1.1&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 3 ย่านคลองหลวง จำนวน 16,544 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 61,935 ล้านบาท อัตราดูดซับ ร้อยละ 1.6&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 4 ย่านเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 14,940 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 67,283 ล้านบาท อัตราดูดซับร้อยละ 1.7&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 5 ย่านเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 13,022 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 97,790 ล้านบาท อัตราดูดซับ ร้อยละ 1.7&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ที่อยู่อาศัยหน่วยเหลือขายสูงสุด เป็นกลุ่มระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท จำนวนถึง 62,167 หน่วย และระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท จำนวน 53,371 หน่วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม&nbsp;คาดการณ์ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2568 จะมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัว 2.2 - 3.2% เพราะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น การลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณการฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2568 – 30 มิถุนายน 2569 ในทุกระดับราคา จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคงค้างในระบบได้เป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จึงคาดการณ์ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2568 จะมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยคาดว่าจะมีการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่สร้างอุปทานใหม่เสนอขายในตลาดที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและอาคารชุด) ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 16.8 หรือประมาณ 73,291 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 519,692 ล้านบาท แบ่งเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โครงการบ้านจัดสรร 37,800 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 348,564 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โครงการอาคารชุด 35,491 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 171,128 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านอุปสงค์คาดว่าสถานการณ์การขายจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีทิศทางที่ดีขึ้นของหน่วยขายได้ใหม่ โดยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 หรือประมาณ 61,714 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 361,216 ล้านบาท แบ่งเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โครงการบ้านจัดสรร 37,173 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 252,975 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โครงการอาคารชุด 24,542 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 108,241 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ในส่วนของอัตราดูดซับในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก โดยภาพรวมคาดว่าอยู่ในอัตราร้อยละ 1.8 เนื่องจากยังมีที่อยู่อาศัยคงค้างในตลาดซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 หรือประมาณ 227,304 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 1,454,101 ล้านบาท แบ่งเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โครงการบ้านจัดสรร 129,394 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 966,149 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โครงการอาคารชุด 97,909 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 487,952 ล้านบาท Photo by <a href="https://unsplash.com/@brenoassis?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Breno Assis</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/aerial-photography-of-rural-r3WAWU5Fi5Q?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/property/thailand-japan-property-mar-2025" alt="เมื่ออสังหาฯ ‘ยอดขายชะลอ-ราคาร่วง’ ไทยยังเสี่ยงตามรอยญี่ปุ่นสู่ “ทศวรรษที่สูญหาย”">เมื่ออสังหาฯ ‘ยอดขายชะลอ-ราคาร่วง’ ไทยยังเสี่ยงตามรอยญี่ปุ่นสู่ “ทศวรรษที่สูญหาย”</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

REIC เผยตลาดบ้านกทม.-ปริมณฑล ไตรมาส 4/67 ‘คนซื้อหด-บ้านเหลือขายล้น’ หวังผ่อนเกณฑ์ LTV ช่วยฟื้นได้ในปี 68

<h2>REIC เผยราคาที่อยู่อาศัยไตรมาส 4 ปี 2567 ในพื้นที่เมืองและตามแนวรถไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ปัจจัยจากต้นทุนราคาที่ดินและค่าก่อสร้างดันโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่พุ่ง คาดแคมเปญสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยช่วงต้นปี 2568</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานสถานการณ์ราคาที่อยู่อาศัย ไตรมาส 4 ปี 2567 พบว่า มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาบ้านจัดสรร และห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาบ้านจัดสรรใหม่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 9 ไตรมาส ขณะที่ราคาห้องชุดใหม่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 8 ไตรมาส ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งราคาที่ดิน ราคาวัสดุก่อสร้าง และค่าก่อสร้าง รวมถึงค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ที่อยู่อาศัยในโครงการเปิดขายใหม่มีราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่า การจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำของสถาบันการเงินจะช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงต้นปี 2568 โดยได้รับแรงสนับสนุนให้สถานการณ์ราคาที่อยู่อาศัย ไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยดังต่อไปนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(1) ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 มีค่าดัชนี 131.4 จุด ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยพื้นที่กรุงเทพ ฯ มีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ซึ่งสูงกว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ) ที่มีค่าดัชนีลดลงร้อยละ -1.0 โดยการลดลงดังกล่าวเกิดจากการปรับราคาลดลงของดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ อย่างไรก็ตาม เมื่อแยกประเภทบ้านจัดสรร พบว่า ราคาบ้านเดี่ยวในไตรมาส 4 ปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 2.1 ขณะที่ราคาทาวน์เฮ้าส์ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการจัดรายการส่งเสริมการขาย โดยการให้ส่วนลดเงินสดในไตรมาสนี้สูงถึงร้อยละ 29.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 21.0 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่บ้านเดี่ยวในกรุงเทพ ฯ ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ ย่านมีนบุรี–หนองจอก–ลาดกระบัง ในกลุ่มราคาเกิน 10 ล้านบาท ส่วนทำเลบ้านเดี่ยวใน 3 จังหวัดปริมณฑล ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ ย่านลำลูกกา–คลองหลวง–ธัญบุรี ในกลุ่มราคา 7.51–10 ล้านบาท ส่วนทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ ย่านพระโขนง บางนา สวนหลวง ประเวศ ในกลุ่มราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท ส่วนทาวน์เฮ้าส์ใน 3 จังหวัดปริมณฑล ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ ย่านบางกรวย บางใหญ่ บางบัวทอง ไทรน้อย ในกลุ่มราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(2) ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ไตรมาส 4 ปี 2567 ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 159.9 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนถึงต้นทุนการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าที่ดินในบริเวณตามแนวรถไฟฟ้าที่มีประชาชนใช้บริการเป็นจำนวนมาก อาทิ รถไฟฟ้า BTS สายสีลม และ รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน เป็นต้น โดยราคาห้องชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 แต่ราคาเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าราคาห้องชุดในพื้นที่ 2 จังหวัดปริมณฑล (สมุทรปราการ และนนทบุรี) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนอาคารชุดในกรุงเทพฯ ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ ย่านห้วยขวาง - จตุจักร - ดินแดง ในกลุ่มราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท ส่วนทำเลพื้นที่ปริมณฑล 2 จังหวัด (สมุทรปราการ-นนทบุรี) ที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ ย่านสมุทรปราการ - พระประแดง - พระสมุทรเจดีย์ ในกลุ่มราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาทนอกจากนี้ ยังพบว่า มีการจัดรายการส่งเสริมการขายห้องชุด โดยให้ส่วนลดเงินสดในไตรมาสนี้ในสัดส่วนร้อยละ 25.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 21.7 เพื่อเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อเช่นเดียวกับโครงการบ้านจัดสรร​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/3XmojiGv4VgJAcBTNMv6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3XmojiGv4VgJAcBTNMv6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,656" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน (HCCI) ณ ไตรมาส 4 ปี 2567 พบว่า มีค่าดัชนีเท่ากับ 139.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แสดงให้เห็นถึงต้นทุนค่าก่อสร้างที่อยู่อาศัย มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน โดยสุขภัณฑ์ ราคาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.0 กระเบื้อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 และวัสดุอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เป็นผลมาจากราคาน้ำมันและราคาพลังงานที่สูงขึ้นในตลาดโลก ส่วนค่าแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ภาวะที่ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับราคาเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ราคาขายที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่กำลังซื้อของประชาชนลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราที่ต่ำ ดังนั้น สถาบันการเงินของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จึงพร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ในการจัดทำโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย รวมถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มต้นชีวิตการทำงานและยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งคาดว่า โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจในการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงต้นปี 2568 ได้เป็นอย่างดี ภาพ: REIC,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@tricell1991?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Waranont (Joe)</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/high-angle-photo-of-buildings-BvNNxnzds4U?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/marketing/or-new-ceo-peekthong-thongyai-first-vision-presentation" alt="ฟื้นความมั่นใจ นลท. หลังหุ้นราคาร่วงตั้งแต่ IPO ภารกิจ ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ ซีอีโอคนใหม่ OR"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kkp-research-thailand-economy-feb-2025" alt="KKP แจงเหตุเศรษฐกิจไทยปี 2025 เสี่ยงโตต่ำศักยภาพที่ 3% แม้มีแจกเงิน-ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว">KKP แจงเหตุเศรษฐกิจไทยปี 2025 เสี่ยงโตต่ำศักยภาพที่ 3% แม้มีแจกเงิน-ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

REIC เผยราคาที่อยู่อาศัยไตรมาส 4 ปี 2567 โซน 'ในเมือง-แนวรถไฟฟ้า' ราคาพุ่งต่อเนื่อง

<h2>ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย เพราะเกี่ยวเนื่องกับหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะการกระจายรายได้สู่แรงงาน ภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ไปจนถึงการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่สำคัญคือหากย้อนดูในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยยังเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤติฟองสบู่แตกปี 2540 ว่า ตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ในยุครุ่งเรืองมีบ้านและคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลสูงถึงปีละ 150,000-170,000 ยูนิต ซึ่งส่งผลให้ยอดสินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ยังเติบโตขึ้นจากหลักหมื่นล้านบาทมาสู่ระดับแสนล้านบาทในปัจจุบัน (ปี 2566 มีมูลค่ารวม 670,000 ล้านบาท )&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ของไทยเผชิญกับวิกฤตและสถานการณ์ต่างๆ มาหลายครั้ง เช่น วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 การรัฐประหารอีกหลายครั้ง รวมถึงวิกฤต COVID-19 ที่ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวอย่างรุนแรง แต่หลังจากนั้นยังเห็นการฟื้นตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่หลังจากนี้ ภาพของตลาดที่อยู่อาศัยในไทยอาจเปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งเพราะสต็อกบ้านใหม่ที่ยังคงค้างอยู่ยังมีปริมาณสูง และรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นตัว และอาจไม่ได้รู้สึกมั่นคงพอที่จะซื้อบ้านสักหลัง นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นแนวโน้มว่า ผู้ประกอบการในตลาดที่อยู่อาศัยหันมาสร้างบ้านใหม่ในราคาที่แพงขึ้น <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/L6qeW9aKvYykAk4ozxaY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="L6qeW9aKvYykAk4ozxaY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจาก ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ยังระบุว่า ในปี 2567 นี้ประเมินว่ามูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศจะอยู่ที่ 650,000 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อนหน้า เพราะสภาพเศรษฐกิจและภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงยอดการปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทไปจนถึงระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยเหล่านี้ยังสะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่ว่า ประชาชนซื้อบ้านได้ยาก เพราะรายได้โตตามราคาบ้านไม่ทัน REIC ได้ประเมินว่า เมื่อเปรียบเทียบความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงความสามารถในการหารายได้เทียบกับอัตราการเติบโตของราคาบ้านพบว่า&nbsp;คนทั่วไปจะซื้อบ้านอยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ยากขึ้น เพราะราคาบ้านสูงเกินกว่าความสามารถในการหารายได้ของประชาชน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยเทียบกับ GPP per Capita ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล CAGR 2557-2566 ของราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.4% และ CAGR 2557-2566 ของ GPP per Capita Income อยู่ที่ 1.4% ดังนั้นรายได้ต่อหัวของประกรในปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 347,900 บาท หรือเดือนละ 30,000 บาท แต่ราคาบ้านอยู่ที่ 7 ล้านบาท ทำให้โอกาสที่จะยื่นกู้ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นไปได้ยากมาก&nbsp; &nbsp; ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในตลาดที่อยู่อาศัยของไทยที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายของทางการว่าจะมีมาตรการและแนวนโยบบายระยะยาวในการสร้างสมดุล ทั้งด้านการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย และการสร้างรายได้ของประชาชน ให้เติบโตสอดคล้องกันได้อย่างไร&nbsp;​ ​ที่มา เสวนากรุงเทพจตุรทิศ : Property เจอหนี้ 10 ปี อสังหาฯไทยกลับไปไม่เหมือนเดิม จัดขึ้นโดย prop2morrow​ Photo by <a href="https://unsplash.com/@tankanin?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Tan Kaninthanond</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/aerial-view-of-city-buildings-7cZ8No3_v30?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bbl-q-3-2024" alt="แบงก์กรุงเทพเผย 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิ 34,807 ล้านบาท โต 6.2%YoY ผลรายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังโต"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-q-3-oct-2024" alt="กรุงศรีเผยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2567 อยู่ที่ 23,424 ล้านบาท ลดลง 7% เหตุตั้งสำรองรับความเสี่ยงหนี้"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/how-has-thai-real-estate-been-in-the-past-10-years" alt="10 ปีอสังหาไทย หนักขนาดไหน? บ้านแพงขึ้น รายได้โตไม่ทันราคาบ้าน หนี้ครัวเรือนสูง กู้บ้านไม่ผ่านพุ่ง 80%">10 ปีอสังหาไทย หนักขนาดไหน? บ้านแพงขึ้น รายได้โตไม่ทันราคาบ้าน หนี้ครัวเรือนสูง กู้บ้านไม่ผ่านพุ่ง 80%</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ย้อนรอยกว่า 30 ปี เหตุการณ์สำคัญในไทยกระทบ 'สินเชื่อบ้านปล่อยใหม่' แค่ไหน

<h2>ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดรายงานสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 2/2567 พบว่า ไตรมาส 2/2567 ยอดขายได้ใหม่ในภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยลดลง 8.4% แบ่งเป็นคอนโดฯ ลดลง 3.4% และบ้านจัดสรรลดลง 11.5% ส่วนหน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายรวมในตลาดเพิ่ม 12.6% แต่ยังเชื่อว่ามาตรการรัฐจะช่วยกระตุ้นยอดขายใหม่ ทั้งปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.8%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 2 ปี 2567 ปรับตัวลดลงแรงทั้งอุปสงค์ และอุปทาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ด้านอุปทานที่อยู่อาศัยเสนอขายในตลาดที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและอาคารชุด) มีจำนวน 229,528 หน่วย ขยายตัว 11.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ด้านมูลค่า 1,350,586 ล้านบาท ขยายตัว 30.3%YoY เนื่องจากมีโครงการเปิดตัวใหม่เข้ามาสู่ตลาดจำนวน 17,197 หน่วย (ลดลง 23.9%YoY) มูลค่า 128,440 บาท (0.4%YoY) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคาต่ำ 3 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ด้านอุปสงค์มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่&nbsp;มีจำนวน 14,938 หน่วย ลดลง 8.4%YoY มูลค่า 84,327 ล้านบาท ลดลง 2.2%YoY แบ่งเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- คอนโดมิเนียม มีจำนวนหน่วยลดลง 3.4% ด้านมูลค่าลดลง 7.5% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคาต่ำ 3 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; - โครงการบ้านจัดสรร มีจำนวนหน่วยลดลง 11.5% แต่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 0.1%ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคา 3.01 - 7.50 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เป็นที่น่าสังเกตว่าภาพรวมหน่วยขายได้ใหม่ปรับตัวลดลง ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนยังมีการขยายตัวติดลบแต่เป็นการติดลบที่น้อยลง จึงส่งผลให้อัตราดูดซับต่อเดือนปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.2% ซึ่งต่ำกว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ที่มีอัตราดูดซับที่ 2.3%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มีผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขาย (สต็อกคงค้าง) ยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้าติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 214,590 หน่วย เพิ่มขึ้น 12.6% มูลค่า 1,266,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.3% แบ่งเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โครงการอาคารชุด อยู่ที่ 84,556 หน่วย เพิ่มขึ้น 14.5% มูลค่า 379,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บ้านจัดสรร อยู่ที่ 130,034 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.4% มูลค่า 886,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.9%<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/fHK8hwsEicBo64LUyz4o.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fHK8hwsEicBo64LUyz4o.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>​ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ REIC&nbsp;​</div></figcaption></figure></div>&nbsp; &nbsp; ในไตรมาส 2 ปี 2567 มีโครงการบ้านจัดสรร 5 ทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 1 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 2,037 หน่วย มูลค่า 15,293 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 2 โซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 1,267 หน่วย มูลค่า 5,361 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 3 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,070 หน่วย มูลค่า 5,979 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 4 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 711 หน่วย มูลค่า 3,103 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 5 โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 675 หน่วย มูลค่า 2,903 ล้านบาท<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/N8ThLRbeXzko25Mcz8cc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="N8ThLRbeXzko25Mcz8cc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน 5 ทำเลบ้านจัดสรรที่ต้องระมัดระวังเพราะหน่วยเหลือมาก ในไตรมาส 2 ปี 2567 ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 1 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 20,686 หน่วย มูลค่า 114,376 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 2 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 15,551 หน่วย มูลค่า 91,184 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 3 โซนคลองหลวง จำนวน 14,457 หน่วย มูลค่า 57,650 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 4 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 12,181 หน่วย มูลค่า 81,531 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 5 โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 11,367 หน่วย มูลค่า 53,705 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รายงานผลสำรวจภาคสนามอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย ไตรมาส 2 ปี 2567 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยสำรวจเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่น้อยกว่า 6 หน่วย ซึ่งพบว่า ในกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดปริมณฑล Photo by <a href="https://unsplash.com/@barilo?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Vitalijs Barilo</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/white-concrete-building-under-blue-sky-during-daytime-KBt8XQwD5qg?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/crc-supersport-rev-edition" alt="หลังเครือเซ็นทรัลถือหุ้น 75% ‘เรฟ อีดิชั่น’ กางแผนลุยตลาดรองเท้าครั้งใหญ่ เล็งเปิดสาขาแรกปีหน้าที่สิงคโปร์"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/siam-kubota-sales-growth-23-3-quarters-confident-2024-revenue-reach-60-billion-baht" alt="สยามคูโบต้า มั่นใจรายได้ปี 67 แตะ 6 หมื่นล้านตามเป้า หลังยอดขาย 3 ไตรมาสโต 23%"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/scasset-scx-5-years-plan-sep-2024" alt="อ่านกลยุทธ์ SC Asset ขยายธุรกิจใหม่ ‘โรงแรม-คลังสินค้า’ ผ่าน SCX อัดงบ 20,000 ล้าน ใน 5 ปี" class="on">อ่านกลยุทธ์ SC Asset ขยายธุรกิจใหม่ ‘โรงแรม-คลังสินค้า’ ผ่าน SCX อัดงบ 20,000 ล้าน ใน 5 ปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิด 5 ทำเล ‘บ้านจัดสรร’ ทั้งยอดขายดี - สต็อกเหลือสูงสุดในไตรมาส 2/67

<h2>REIC เผยไตรมาส 2 ปี 2567 ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองมีจำนวนที่ประกาศ 140,725 หน่วย มูลค่า 718,436 ล้านบาท ในด้านทำเลพบว่า ‘กรุงเทพฯ-ปริมณฑล' (ยกเว้นสมุทรสาคร) แห่ขายมากที่สุด </h2>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC)&nbsp;เปิดเผยว่าในไตรมาส 2 ปี 2567 ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองมีจำนวนที่ประกาศ 140,725 หน่วย มูลค่า 718,436 ล้านบาท โดยประเภทที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายจำนวนหน่วยมากที่สุด คือ&nbsp; &nbsp; - บ้านเดี่ยว จำนวน 55,754 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 39.6% (มูลค่า 373,917 ล้านบาท)&nbsp; &nbsp; - ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 41,384 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 29.4% (มูลค่า 105,191 ล้านบาท)&nbsp; &nbsp; - ห้องชุด จำนวน 35,963 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 25.6% (มูลค่า 201,887 ล้านบาท )&nbsp; &nbsp; - อาคารพาณิชย์ จำนวน 5,326 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 3.8% (มูลค่า 30,635 ล้านบาท)&nbsp; &nbsp; - บ้านแฝด จำนวน 2,298 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 1.6% (มูลค่า 6,805 ล้านบาท)<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/3rFiRnkyLqb9nVNmQrbo.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3rFiRnkyLqb9nVNmQrbo.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านระดับราคาที่ประกาศขาย พบว่า จำนวนหน่วยในระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาทมีจำนวนประกาศขายมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 21.1% ขณะที่ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยประกาศขายน้อยที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 4.0%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านทำเลที่ตั้ง อุปทานที่อยู่อาศัยมือสองยังคงมีการประกาศขายมากที่สุดอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล (ยกเว้นสมุทรสาคร) และมีจำนวนประกาศขายมากในพื้นที่จังหวัดสำคัญที่เป็นหัวเมืองหลัก และเมืองท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จังหวัดที่มีมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายสูงสุด 10 อันดับแรกในไตรมาส 2 ปี 2567 ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 42,377 หน่วย มีมูลค่า 386,191 ล้านบาท สัดส่วน 53.8% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 2 นนทบุรี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 10,895 หน่วย มีมูลค่า 48,382 ล้านบาท สัดส่วน 6.7% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 3 ชลบุรี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 9,229 หน่วย มีมูลค่า 43,925 ล้านบาท สัดส่วน 6.1% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 4 สมุทรปราการ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 9,613 หน่วย มีมูลค่า 43,030 ล้านบาทสัดส่วน 6.0% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 5 ปทุมธานี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 10,250 หน่วย มีมูลค่า 28,169 ล้านบาท สัดส่วน 3.9% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 6 เชียงใหม่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 4,508 หน่วย สั มีมูลค่า 23,303 ล้านบาท สัดส่วน 3.2% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 7 ภูเก็ต &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 1,818 หน่วย มีมูลค่า 15,006 ล้านบาท สัดส่วน 2.1% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 8 นครราชสีมา &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 2,745 หน่วย มีมูลค่า 9,436 ล้านบาท สัดส่วน 1.3% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 9 ระยอง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 4,062 หน่วย มีมูลค่า 8,081 ล้านบาท สัดส่วน 1.1% ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 1.51 - 2.00 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 10 นครปฐม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีจำนวนประกาศขาย 2,296 หน่วย มีมูลค่า 7,700 ล้านบาท สัดส่วน 1.1% (ไม่ได้ระบุราคาประกาศขายส่วนใหญ่)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รวบรวมข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ จากการประกาศขายผ่านเว็บไซต์บริษัทภาคเอกชนที่มีปริมาณการประกาศขายเป็นจำนวนมาก และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี ที่ประกาศขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง ภาพ:&nbsp;ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/it/xiaomi-q-2-2024-revenue-growth-yoy" alt="Xiaomi อวดรายรับ Q2/67 ทำนิวไฮที่ 8.89 หมื่นล้านหยวน โตเพิ่ม 32% YoY"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/toyota-lowers-production-target-2024-9-8-millions-vehicles" alt="Toyota มั่นใจยอดขายกระเตื้อง หลัง Yaris Cross และ Corolla กลับมาผลิตและส่งออกได้ตามปกติ"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/chinhuay-ch-set-sep-2024" alt="ChinHuay ธุรกิจครอบครัวอายุ 99 ปีที่มี ‘ธรรมนูญโฮลดิ้ง’ และปี 67 นี้คาดรายได้ทะลุ 2,000 ล้าน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/volvo-gives-up-plans-produce-sell-ev-car-plan-on-2030" alt="Volvo ถอดใจ ล้มแผนผลิตรถ EV เต็มสูบภายในปี 2030 เหตุสภาวะตลาดและดีมานด์ไม่เป็นไปตามคาด"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/commentaries/thought-leaders/why-fed-do-mistake-by-steve-forbes" alt="ทำไม Fed ถึงได้พลาด"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/fetco-aug-2024" alt="FETCO ชี้จุดเปลี่ยนโลก ‘ดอกเบี้ยขาลง’ ลุ้นตลาดหุ้นคึก แต่เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยง ‘ฟื้นไม่ทั่ว-หนี้สูง’"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/vayu-1-sec-sep-2024" alt="เจาะลึก ‘กองทุนรวมวายุภักษ์’ เปิดรายย่อยจองซื้อ 16 - 20 ก.ย. 67 หลัง ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์ฯ แล้ว">เจาะลึก ‘กองทุนรวมวายุภักษ์’ เปิดรายย่อยจองซื้อ 16 - 20 ก.ย. 67 หลัง ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์ฯ แล้ว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไตรมาส 2/67 ประกาศขายบ้านมือสองในไทยพุ่ง 7.1 แสนล้านบาท ‘กรุงเทพฯ-ปริมณฑล' แห่ขายมากที่สุด

<h2>REIC เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2566 เศรษฐกิจโลกชะลอ หนี้ครัวเรือนสูง ค่าครองชีพพุ่ง ฉุดยอดโอนบ้านราคาต่ำกว่า 5 ล้านทั้งมือหนึ่งและมือสอง ส่วนปี 2567 จับตาปัจจัยเสี่ยงส่งผลให้แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ บ้านต่ำ 3 ล้านเสี่ยงเหลือขาย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) แถลงตัวเลขสำคัญที่เป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยของไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่า อุปสงค์ในไตรมาส 4/2566 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ 96,163 หน่วย ลดลงร้อยละ -12.7 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มีจำนวน 110,210 หน่วย โดยแนวราบลดลงร้อยละ -13.5 และอาคารชุดลดลงร้อยละ -11.0 ขณะที่มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 279,875 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -9.7 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มีจำนวน 309,830 ล้านบาท โดยแนวราบลดลงร้อยละ -8.0 และอาคารชุดลดลงร้อยละ -13.5&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การลดลงของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ได้ส่งผลให้มูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ลดลงเช่นกัน โดยพบว่าไตรมาส 4 ปี 2566 มีจำนวน 177,473 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -14.8 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มีจำนวน 208,339 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ด้านอุปทานในไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่า จำนวนหน่วยที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรสำหรับที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 23,413 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มีจำนวน 21,759 หน่วย แต่ประมาณการว่าพื้นที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศในไตรมาส 4 ปี 2566 มีจำนวน 9,483,777 ตร.ม. ลดลงร้อยละ -5.5 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มีจำนวน 10,040,818 ตร.ม.&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยพื้นที่ก่อสร้างแนวราบลดลงร้อยละ -4.5 และอาคารชุดลดลงร้อยละ -15.4 แต่อุปทานการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ไตรมาส 4 ปี 2566 ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 31,774 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 27,751 หน่วย ซึ่งเป็นไตรมาสแรกที่มีการขยายตัวครั้งแรก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ให้ความเห็นว่าในปี 2566 เศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามการค้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 90.9 ของ GDP ประกอบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2565&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยลบเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่ออุปสงค์โดยทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยและการขอสินเชื่อของประชาชนลดลง โดยพบว่า จำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศมีจำนวน 366,825 หน่วย มูลค่า 1.05 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ -6.6 และ -1.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามลำดับ ส่งผลให้มูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่มีจำนวน 678,347 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากพิจารณาถึงระดับราคาที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย พบว่า ภาพรวมหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ (ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง) ลดลงในทุกระดับราคาที่ไม่เกิน 5.00 ล้านบาท ซึ่งลดลงระหว่างร้อยละ -1.7 ถึง -9.8 โดยระดับราคาที่มีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดคือ ไม่เกิน 1.00 ล้านบาท และ 2.01 – 3.00 ล้านบาท แต่ระดับราคา 5.00 ล้านบาทขึ้นไปมีการขยายตัวในทุกระดับราคาระหว่างร้อยละ 1.9 ถึง 11.9&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การชะลอตัวของอุปสงค์ โดยเฉพาะอุปสงค์ในระดับรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อยได้ส่งผลต่อการปรับตัวของอุปทานที่อยู่อาศัยในระบบ ที่เกิดกระแสที่ผู้ประกอบการได้เบนเข็มไปจับตลาดที่อยู่อาศัยราคาแพงมากขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซึ่งพบว่าบ้านเดี่ยวมีการเปิดตัวจำนวน 18,520 หน่วย มูลค่า 269,533 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.7 และ 10.6 ตามลำดับ และบ้านแฝด 9,609 หน่วย มูลค่า 56,747 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.7 และ 11.3 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนทาวน์เฮ้าส์ที่ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยมีการเปิดตัวใหม่ลดลง โดยทาวน์เฮ้าส์แม้ว่าเปิดตัวใหม่ยังมีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ 20,427 หน่วย มูลค่า 69,679 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -22.1 และ -26.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่อาคารชุดมีการเปิดตัวใหม่จำนวน 47,800 หน่วย ลดลงร้อยละ -14.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่กลับมีมูลค่าสูงถึง 196,595 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาคารชุดที่เปิดตัวใหม่ในช่วงปี 2566 เป็นอาคารชุดที่มีราคาสูงกว่าปี 2565&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ปี 2566 มีจำนวน 96,813 หน่วย ลดลงร้อยละ -11.4 แต่มีมูลค่า 597,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน จีนครองแชมป์ต่างชาติรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ศูนย์ข้อมูลฯ ยังได้ติดตามสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในไตรมาส 4 ปี 2566 พบว่ามีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ 3,746 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.8 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งหมด ส่วนมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.1 หรือมีมูลค่า 20,901 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -0.9 แต่มูลค่าเพิ่มร้อยละ 6.9&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยภาพรวมปี 2566 มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ 14,449 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.4 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งหมด โดยมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 73,161 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.0 ทั้งนี้ มีหน่วยโอนฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.0 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สัญชาติจีนยังคงซื้อห้องชุดมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนถึง 6,614 หน่วย รวมพื้นที่ 261,035 ตร.ม. ขณะที่สัญชาติพม่าซื้อห้องชุดมีมูลค่าสูงที่สุด โดยซื้อราคาเฉลี่ย 6.6 ล้านบาท สัญชาติสหราชอาณาจักรซื้อห้องชุดที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยสูงที่สุด โดยซื้อพื้นที่เฉลี่ย 56.5 ตร.ม.&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.วิชัย กล่าวสรุปว่า “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว แต่ยังเผชิญความเสี่ยงในหลายประการ เช่น เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยและการขอสินเชื่อ และยังคงมีโอกาสที่จะไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ เนื่องจากสถาบันการเงินมีเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อที่เข้ม ซึ่งอาจส่งผลต่อที่อยู่อาศัยในระดับราคาปานกลางถึงระดับราคาต่ำ และก็อาจส่งผลให้มีการซื้อขายและการโอนกรรมสิทธิ์ในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท อาจมีภาวะทรงตัวในทิศทางที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้อุปทานที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้อาจมีหน่วยเหลือขายที่สะสมต่อเนื่อง และอาจมีอุปทานเหลือขายมากขึ้น หากมีการเติมอุปทานใหม่เข้ามามากกว่าความสามารถในการดูดซับของอุปสงค์ได้ ดังนั้นจึงควรให้ความระมัดระวังในการเปิดโครงการในกลุ่มระดับราคานี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ที่อยู่อาศัยในระดับราคาแพง หรือราคาเกินกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ แม้ที่ผ่านมาจะมียอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ค่อนข้างทรงตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2565 – 2566 แต่ก็มีข้อสังเกตว่าที่อยู่อาศัยในระดับราคานี้มีอุปทานเข้ามาเพิ่มในตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปริมาณอุปทานส่วนเกินที่เริ่มสะสมมากขึ้น โดยประมาณการคร่าวๆ ว่า หน่วยเหลือขายในปัจจุบันมีมากกว่ายอดขายได้ในแต่ละไตรมาสถึง 10 เท่าในปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 ที่อาจมีโอกาสขยายตัว แต่ตั้งอยู่บนปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทำให้ต้องหวังแรงสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อสร้างให้อุปสงค์ในตลาดมีความแข็งแรง และสร้างแรงกระตุ้นต่างๆ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับที่ต่ำจากการที่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถผ่านการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินได้หรือไม่” Photo by <a href="https://unsplash.com/@brenoassis?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Breno Assis</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/aerial-photography-of-rural-r3WAWU5Fi5Q?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/property/luxriva-residences-first-phase-sold-out" alt="เฟสแรก Sold Out แล้ว! ‘ลักซ์ริวา เรสซิเดนเซส’ จาก CP LAND โครงการบ้านเดี่ยวหรูสุดในนครศรีธรรมราช">เฟสแรก Sold Out แล้ว! ‘ลักซ์ริวา เรสซิเดนเซส’ จาก CP LAND โครงการบ้านเดี่ยวหรูสุดในนครศรีธรรมราช</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

หนี้ครัวเรือนสูง-ค่าครองชีพพุ่ง ฉุดยอดโอนบ้านต่ำ 5 ล้าน ร่วงทั้งบ้านมือหนึ่งและมือสอง

ดัชนีราคา อสังหาฯ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล Q1/62 "คอนโดฯ" พุ่ง 12.2% "บ้านจัดสรร" ขึ้น 3.4%

REIC เผยราคาที่ดินไตรมาส 2-3 ปี 2561 โตพุ่งกว่า 30% จากปีก่อน หลังโครงการรถไฟฟ้าก่อสร้าง

<h2>ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. เผยสถิติอสังหาฯภาคใต้ปี 2559 ยังดูดซับซัพพลายเดิม โอนกรรมสิทธิ์ลดลง ชะลอเปิดตัวใหม่ ด้านสต๊อกเหลือขายคอนโดฯภูเก็ต-สงขลาลดลงจากปี’58 ธอส.ประเมินผู้ประกอบการรอจังหวะลงทุน แนะพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับพื้นที่</h2>
วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC เปิดเผยข้อมูลจาก การสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ในช่วงปี 2559 พบว่า โดยภาพรวมภาคใต้มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงทั้งในแง่จำนวนยูนิตและมูลค่า ยกเว้นจังหวัดนครศรีธรรมราช ดังนี้
<ul>
 	<li>จังหวัดภูเก็ต มีการโอนกรรมสิทธิ์ 6,333 ยูนิต ลดลง 17.8% คิดเป็นมูลค่า 17,858 ล้านบาท ลดลง 12.1%</li>
 	<li>จังหวัดสงขลา มีการโอนกรรมสิทธิ์ 5,958 ยูนิต ลดลง 8.9% คิดเป็นมูลค่า 9,494 ล้านบาท ลดลง 4.2%</li>
 	<li>จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการโอนกรรมสิทธิ์ 3,768 ยูนิต ลดลง 19.5% คิดเป็นมูลค่า 7,355 ล้านบาท ลดลง 16.4%</li>
 	<li>จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการโอนกรรมสิทธิ์ 3,011 ยูนิต เพิ่มขึ้น 64.9% คิดเป็นมูลค่า 4,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.0%</li>
</ul>
<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7d9183f12ca2e87e8f57e7120299fd9e.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC</figcaption></figure>

ทั้งนี้ วิชัยกล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชมีการเติบโตสูงเกิดจากการเติบโตฐานต่ำ ต่างจากจังหวัดอื่นๆ เช่น ภูเก็ตและสงขลาที่เป็นตลาดใหญ่ของภาคใต้ ในภาพรวมแล้วการโอนอสังหาฯภาคใต้หดตัวลง ส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้มงวดอนุมัติสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศในปีที่ผ่านมา ทำให้ความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคลดลงแม้จะมีความต้องการบ้านอยู่ก็ตาม

ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ยังไม่สูงมาก พิจารณาจากสถิติการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินของภาคใต้ทั้งหมดปี 2559 มี 1,110 หน่วย ซึ่งลดลง 74% จากปี’58 ขณะที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแนวราบปี’59 มี 28,150 หน่วย ลดลง 9% จากปี’58 อย่างไรก็ตาม การออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแนวสูงปี’59 ปรับขึ้นเป็น 5,343 หน่วย เพิ่มขึ้น 17% แต่ยังต่ำกว่าในช่วงปี’55-56 ที่อสังหาฯภาคใต้เติบโตสูงทำให้มีการขออนุญาตก่อสร้างคอนโดมิเนียมประมาณปีละ 8,000-8,500 หน่วย

&nbsp;
<h2>สต๊อกคอนโดฯภูเก็ต-สงขลาลดลง</h2>
ข้อมูลจาก REIC ยังเสนอสถิติโครงการระหว่างขายและจำนวนหน่วยเหลือขายรวมทั้งที่อยู่ระหว่างสร้างและก่อสร้างเสร็จของภาคใต้ปี 2559 ดังนี้

1.จังหวัดภูเก็ต

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 155 โครงการ รวม 30,365 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 13,246 หน่วย และคอนโดฯ 16,311 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 6,094 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 2,984 หน่วย คิดเป็น 22.5% ของจำนวนหน่วยระหว่างขาย และคอนโดฯ 3,110 หน่วย คิดเป็น 19% ทั้งนี้ หน่วยคอนโดฯเหลือขายลดลงจากเมื่อเดือนต.ค. 2558 ที่มี 4,300 หน่วย
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 6.6% ต่อเดือน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/11ba2d75ad6d99785c49eaeb6dbd67dd.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> คอนโดมิเนียม บ้านไม้ขาว จ.ภูเก็ต พัฒนาโดย บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

2.จังหวัดสงขลา
- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 161 โครงการ รวม 14,227 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 9,367 หน่วย และคอนโดฯ 4,860 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 4,046 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 3,217 หน่วย คิดเป็น 34.3% และคอนโดฯ 829 หน่วย คิดเป็น 17% ทั้งนี้ หน่วยคอนโดฯเหลือขายลดลงจากเมื่อเดือนต.ค. 2558 ที่มี 1,100 หน่วย
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 4.5% ต่อเดือน

3.จังหวัดสุราษฎร์ธานี

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 95 โครงการ รวม 7,567 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 5,845 หน่วย และคอนโดฯ 1,722 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 2,308 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,943 หน่วย คิดเป็น 33.2% และคอนโดฯ 365 หน่วย คิดเป็น 21.2%
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 4.9% ต่อเดือน

4.จังหวัดนครศรีธรรมราช

- มีโครงการระหว่างขายทั้งหมด 39 โครงการ รวม 4,934 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 4,549 หน่วย และคอนโดฯ 385 หน่วย
- เหลือขายทั้งหมด 1,325 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,085 หน่วย คิดเป็น 23.9% และคอนโดฯ 240 หน่วย คิดเป็น 62.3%
- อัตราดูดซับเฉลี่ย 5.0% ต่อเดือน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0fb0225ca37b7802b0b0593b713be583.png" alt="" width="680" height="432" /><figcaption> คอนโดมิเนียม ศุภาลัย วิสต้า ภูเก็ต พัฒนาโดย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ซึ่งวิชัยกล่าวว่า ภาพรวมอสังหาฯภาคใต้ยังขายได้ต่อเนื่อง จากอัตราการดูดซับในระดับเฉลี่ย 5% ต่อเดือน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง เพราะปกติแล้วหากอยู่ในสภาพการณ์หดตัว อัตราดูดซับจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% ต่อเดือน ดังนั้นถ้าหากไม่มีซัพพลายใหม่เพิ่มขึ้น อัตราดูดซับในระดับเฉลี่ย 5% ต่อเดือนจะใช้เวลาในการขายซัพพลายเหลือขายประมาณไม่เกิน 20 เดือน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใหม่จะต้องศึกษาจังหวะที่ดี โดยดูจากเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว มีการลงทุนใหม่ด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ มีแนวโน้มการเติบโตของภาคท่องเที่ยว และราคาผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ซึ่งราคาพืชผลนั้นเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯของชาวใต้ นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรลงทุนพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่ อาทิ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช การพัฒนาคอนโดฯอาจไม่เหมาะสมกับตลาดนี้ซึ่งผู้บริโภคต้องการโครงการแนวราบมากกว่า

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events