<h2>เมื่อวันอังคารนี้ เหล่าผู้บริหารแห่ง YouTube TikTok และ Snapchat ล้วนถูกตั้งคำถามโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐว่า พวกเขาจะลงมือทำอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้เยาวชนมั่นใจในความปลอดภัยเวลาใช้งานแต่ละแอปพลิเคชัน </h2>
โซเชียลมีเดียอย่าง Youtube Tiktok และ Snapchat ทำให้เยาวชนทั้งหลายสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่ปลอดภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพอนาจาร และเนื้อหาที่สนับสนุนการใช้สิ่งเสพติด รวมไปถึงยังทำให้ผู้ใช้งานบางส่วนรู้สึกซึมเศร้า และมีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ

"ปัญหามันชัดเจน พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่มีวัยรุ่นและเด็กๆ เป็นเหยื่อที่ช่วยพวกเขาทำเงิน" Edward Markey วุฒิสมาชิกศาลแขวงแห่งสหรัฐอเมริกาประจำเขตแมสซาชูเซตส์ กล่าวระหว่างการรับฟังพยานหลักฐานของทางอนุกรรมการ Senate Commerce ในประเด็นการคุ้มครองผู้บริโภค

คณะอนุกรรมการได้นำคำให้การจากอดีต Data Scientist ของทาง Facebook โดยคำให้การแสดงถึง Internal Data ของบริษัท ที่ทำให้เห็นว่า Instagram บริการแชร์รูปภาพของทางบริษัทนั้น ส่งผลเสียต่อทีมงานบางคน

ทางคณะอนุกรรมการยังได้ขยายความสนใจไปที่โซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่แข่งกันแย่งความสนใจเหล่าเยาวชนนี้อีกด้วย

สมาชิกสภานิติบัญญัติเสนอว่านี้อาจจะเป็น ‘big tobacco moment’ ของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ โดยอ้างถึงการที่ผู้บริหารบริษัทบุหรี่ทั้งหลายที่รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขาผลิตอันตราย แต่ยังคงเน้นโฆษณาไปที่กลุ่มเยาวชน

<a href="https://www.npr.org/2021/10/26/1049248403/snapchat-tiktok-youtube-child-safety-hearing-congress">ทาง NPR ได้แถลงข่าวไว้ว่า วุฒิสมาชิก Markey ได้ถามสามผู้บริหาร </a>ซึ่งประกอบไปด้วย Michael Beckerman รองประธานกรรมการ และหัวหน้าด้านนโยบายสาธารณะของโซนอเมริกาประจำ TikTok Leslie Miller รองประธานกรรมการประสานงานและนโยบายสาธารณะแห่งบริษัทแม่ของ YouTube อย่าง Google และ Jennifer Stout รองประธานกรรมการนโยบายสาธารณะระดับมหภาคของ Snapchat บริษัทในเครือ Snap Inc. ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับข้อตกลงของทั้งสองพรรคที่จะมอบสิทธิความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ให้เด็กๆ มากขึ้น แบนการยิงโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม และหยุดการเล่นวิดีโออัตโนมัติสำหรับเด็กๆ หรือไม่

เหล่าผู้บริหารต่างก็หลีกเลี่ยงที่จะสนับสนุนตรงๆ แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนหยัดว่าแอปฯ ของพวกเขาทำตามข้อจำกัดที่สัญญาไว้อยู่แล้ว

คำถามที่ว่านั่นมันจะดีพอสำหรับสมาชิกสภานิติบัญญัติหรือไม่นั้น ดูเหมือนคำตอบจะเป็นไม่

"นักการเมืองทั้งหลายปาคำวิจารณ์มากมายมาทางบริษัทเทคโนโลยี แต่ไม่เคยปาทางออกมาบ้างเลย" Paul Bischoff Privacy Advocate ของ Comparitech กล่าว "บริษัทเทคโนโลยีติดอยู่ในสถานการณ์ที่ขยับไปไหนได้ ติดอยู่ระหว่างความต้องการของผู้บริโภคและผู้ตั้งกฎ กับสถานการณ์บนแอปฯ ที่พวกเขาสร้างขึ้น"

Bischoff ยกตัวอย่างมาเล็กน้อยทางอีเมล และยังบอกอีกว่าการยืนยันอายุนั้นมันยากที่จะทำหากไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด ซึ่งก็เสี่ยงต่อการสร้างปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว

"เด็กๆ ก็จะโกงอายุ การที่จะยืนยันอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ผู้ปกครองต้องให้ข้อมูลยืนยันตัวที่สามารถรับรองว่าถูกต้องได้ให้กับบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น สำเนาบัตรประชาชน หรือเลขบัตรประชาชน" Bischoff อธิบายผ่านทางอีเมล "มันก็เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว และเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงที่บริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย รวมถึงผู้บริโภคจำนวนมากคิดว่ามันไม่คุ้มกันเลย"

อีกอย่างหนึ่ง เขายังได้บอกกับเราอีกด้วยว่า ปริมาณคอนเทนต์ที่ถูกอัปโหลดลงในโซเชียลมีเดียเหล่านี้ก็มหาศาลเกินที่จะตรวจสอบเบื้องต้นโดยคนได้ทั้งหมด

"ระบบอัตโนมัตินั้นมันก็จำเป็น แต่ก็ไม่ได้สามารถกรองได้ทุกอย่าง" Bischoff กล่าว "ดังนั้นบริษัททั้งหลายเลยต้องพึ่งให้ผู้ใช้งานร้องเรียนเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และเด็กๆ ที่ดูโดยไม่มีผู้ปกครองนั้นก็มักจะไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้อย่างรอบคอบ"

อีกหนึ่งปัญหาคือความไม่พอใจของสมาชิกสภานิติบัญญัติในปัจจุบันเป็นเพียงแค่เสียงสะท้อนความกังวลของผู้ปกครองสมัยก่อน แต่กับสื่อรูปแบบใหม่

"เช่นเดียวกับโซเชียลมีเดีย วิดีโอเกม ทีวี หนัง และหนังสือก็มักจะกลายเป็นแพะรับบาปของพวกผู้ปกครองในอดีต" Bischoff กล่าว "เราจำเป็นต้องแยกแยะว่าอะไรคืออิทธิพลที่ไม่ดี และอะไรที่ก่อให้เกิดอันตรายโดยตรงและจัดการพวกนั้นก่อน"

เมื่อพูดถึงประเด็น Cyberbully Bishchoff อธิบายว่ามันยังคงเป็นปัญหาที่มีอยู่ และซีเรียสมากๆ เพราะมันตามเด็กๆ ไปถึงที่บ้าน แม้กระทั่งจะกลับจากโรงเรียนแล้วก็ตาม แต่เขาก็กล่าวต่อว่า การที่บริษัทเทคโนโลยีจะคอยจับตาดูความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและลงมือทำอะไรบางอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว

"โซเชียลมีเดียบางเจ้าจึงลบการสนทนาส่วนตัวออกสำหรับเด็กๆ เพราะเหตุนี้" Bischoff กล่าว

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เราไม่อาจคาดหวังให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ดูแลความปลอดภัยของเด็กๆ ได้จนสำเร็จ

"ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถการันตีได้ว่าเด็กๆ ทุกคนจะปลอดภัยบนโลกออนไลน์ 100 เปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา" Bischoff ยอมรับ "ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะนิยามคำว่าสำเร็จอย่างไร แต่ก็ต้องให้เครดิตพวกเขานะ บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่สามารถหยุดอาชญากรรมดิจิทัล และการใช้ความรุนแรงต่อเด็กได้ แต่พวกเขาช่วยไปได้เท่าไรมันก็ยากที่จะพูด"

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ YouTube, TikTok And Snapchat Face Demands Of Consumers And Regulators Over Child Safety เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/hui-ka-yan-เสนอแผนนำ-evergrande-รุกธุรกิจย.html">Hui Ka Yan เสนอแผนนำ Evergrande รุกธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ท่ามกลางข้อกังขาจากนักวิเคราะห์</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

YouTube TikTok และ Snapchat เผชิญข้อเรียกร้องด้านความปลอดภัยของเยาวชน

Self-Made Billionaires "7 เศรษฐีโลกอายุน้อยที่สุด" ที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเอง แห่งปี 2019

<h2>ทั่วโลกมีมหาเศรษฐีพันล้านซึ่งอายุน้อยกว่า 40 ปีทั้งหมด 56 คน ในจำนวนนั้น 30 คนก่อร่างสร้างฐานะด้วยตัวเอง จำนวนดังกล่าวลดลงจาก 36 คนในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมพวกเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะถึงแม้มูลค่าทรัพย์สินของบางคนจะคงที่แต่ไม่มีเลยสักคนที่อยู่ในรายชื่ออภิมหาเศรษฐีอายุน้อยกว่า 40 ปีที่มีทรัพย์สินลดลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมของมหาเศรษฐี 30 คนนี้อยู่ที่ 1.387 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2>
ทั้งนี้ Forbes Thailand ได้คัดเลือก 12 อันดับแรกของกลุ่มมหาเศรษฐีพันล้านวัยต่ำกว่า 40 ปีที่ก่อร่างสร้างตัวมาด้วยตนเองประจำปี 2017 มาเสนอ ใครบ้างที่จะผงาดขึ้นมาอยู่บนลิสท์ครั้งนี้!

&nbsp;

อันดับ 12
Robert Pera
39 ปี
3,000 ล้านเหรียญ
อุปกรณ์เครือข่ายไร้สาย
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/46c23d49b87eec8c8bca851fc11792c9.png" alt="" />

Pera เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายไร้สาย (Wi-Fi) ชื่อ Ubiquiti Networks ซึ่งเริ่มต้นจากการขายและติดตั้งระบบไร้สายให้กับบริษัทต่างๆ จนกระทั่งเมื่อปี 2016 ที่ Ubiquiti เริ่มทำตลาดผู้บริโภคทั่วไปโดยเสนอขายเครื่องกระจายสัญญาณไร้สาย (Wi-Fi router) ในราคา 199 เหรียญ

Pera ยังเป็นเจ้าของทีมบาสเกตบอล Memphis Grizzlies ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2016 ทีมทำสัญญาซื้อตัวนักบาสเกตบอล Mike Conley เป็นสถิติแพงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นใน NBA ด้วยค่าตัว 153 ล้านเหรียญ

Pera เคยร่วมงานกับ Apple เมื่อปี 2003 ก่อนจะลาออกมาหาหนทางทำธุรกิจของตนเองใน 2 ปีให้หลัง และในที่สุดเขากลายเป็นเศรษฐีพันล้านเมื่อปี 2011 โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 ทศวรรษนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

&nbsp;

อันดับ 11
Frank Wang
36 ปี
3,600 ล้านเหรียญ
Drones
จีน

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3bd11dee9f70dd1cf41075034b448b56.png" alt="" />

Wang เริ่มก่อตั้งบริษัทผลิต Drone จากหอพักของเขาขณะเรียนอยู่ที่ Hong Kong University of Science &amp; Technology เมื่อปี 2006 ซึ่งปัจจุบันคือบริษัท DJI Technology มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Shenzhen ประเทศจีน DJI ถือเป็นบริษัทผู้นำในการผลิตโดรนสำหรับพลเมืองทั่วไปโดยมีส่วนแบ่งตลาดโลกถึงกว่า 70%

&nbsp;

อันดับ 8 (ร่วม)
Joe Gebbia
35 ปี
3,800 ล้านเหรียญ
Airbnb
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/103663453a3980ca31ea4394a4caaec9.png" alt="" />

Gebbia ร่วมกับ Brian Chesky และ Nathan Blecharczyk เพื่อนของเขาที่ Rhode Island School of Design ก่อตั้งบริษัทให้เช่าห้องและบ้านแบบโดยตรงจากเจ้าของถึงผู้เช่าชื่อ Airbnb เมื่อปี 2008 และสามารถเข้าสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการอย่างเต็มตัวในปี 2015 ปีเดียวกับที่นักลงทุนประเมินมูลค่าของบริษัทไว้ที่ 2.5 หมื่นล้านเหรียญ ปัจจุบัน Airbnb มีผู้ใช้งานแล้วรวม 60 ล้านคนทั่วโลกนับตั้งแต่ก่อตั้ง และมีบ้าน/ห้องพักอยู่ในระบบถึง 2 ล้านแห่งใน 190 ประเทศ

&nbsp;

อันดับ 8 (ร่วม)
Brian Chesky
35 ปี
3,800 ล้านเหรียญ
Airbnb
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f7cbb4d83131428e56a1daa6fd7a77fd.png" alt="" />

เช่นเดียวกัน เขาคือผู้ก่อตั้ง Airbnb โดยก่อนหน้านั้น Chesky เคยเป็นนักเพาะกายมาก่อน! ล่าสุด Chesky ในฐานะซีอีโอของบริษัทกำลังคร่ำเคร่งกับการให้บริการรูปแบบใหม่ Airbnb Trips ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการประสบการณ์การท่องเที่ยว เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016

&nbsp;

อันดับ 8 (ร่วม)
Nathan Blecharczyk
33 ปี
3,800 ล้านเหรียญ
Airbnb
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b4f1410df1d0f2611986de2b86bf3d3c.png" alt="" />

อีกหนึ่งผู้ก่อตั้ง Airbnb ปัจจุบันเขานั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีของบริษัท และร่วมผลักดันธุรกิจมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการขยายตลาดเข้าสู่ประเทศคิวบา ทวีปแอฟริกา และล่าสุดคือในประเทศจีน

&nbsp;

อันดับ 6 (ร่วม)
Bobby Murphy
28 ปี
4,000 ล้านเหรียญ
Snap
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7e0014e9cdf2e5d3396ec50f08693dd9.png" alt="" />

Murphy เริ่มก่อตั้งแอพพลิเคชั่น Snapchat ร่วมกับ Evan Spiegel ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่ Stanford University เมื่อปี 2011 จนถึงปัจจุบัน Snapchat แอพฯ ส่งข้อความ รูปภาพ วิดีโอ พร้อมมีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้เป็นที่นิยมอย่างมากในคนวัย 18-34 ปี และมีคนใช้งาน 150 ล้านคนต่อวัน ล่าสุด Snap เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ New York เมื่อเดือนมีนาคม 2017

&nbsp;

อันดับ 6 (ร่วม)
Evan Spiegel
26 ปี
4,000 ล้านเหรียญ
Snap
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e4c911387b4ee354a7b911401d6a53fb.png" alt="" />

ตั้งแต่ Snap เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Spiegel กลายเป็นซีอีโอบริษัทจดทะเบียนที่อายุน้อยที่สุด ขณะนี้ Spiegel และ Murphy มีหุ้นในบริษัทคนละ 18% ซึ่งมากพอที่จะยังคงเป็นผู้ควบคุมในบอร์ดผู้บริหาร

&nbsp;

อันดับ 5
Xu Bo
39 ปี
4,100 ล้านเหรียญ
เกมบนมือถือ
จีน

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9394e5ce6a326e26eef4cbbd5bd9bda1.png" alt="" />

Xu Bo คือผู้ก่อตั้งบริษัท Guangzhou Duoyi Networks ซึ่งเป็นบริษัทเกมบนมือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เขาก่อตั้งบริษัทโดยร่วมกับการลงทุนจากบริษัท Kingsoft

&nbsp;

อันดับ 4
Garrett Camp
38 ปี
6,300 ล้านเหรียญ
Uber
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7301168b888091faa0e1ad550e60be0d.png" alt="" />

Camp ร่วมก่อตั้งบริษัท Uber แอพพลิเคชั่นร่วมเดินทาง กับ Travis Kalanick Camp นั่งตำแหน่งประธานกรรมการ และ Forbes คาดว่าเขามีหุ้นอยู่ 9% ในบริษัท Uber ซึ่งได้รับการประเมินมูลค่าอยู่ที่ 6.8 หมื่นล้านเหรียญ

ก่อนหน้าที่ Camp จะร่วมก่อตั้ง Uber เขาเคยพัฒนาเครื่องมือสำรวจเว็บไซต์ชื่อ StumbleUpon ซึ่งเขาขายให้กับ eBay ในราคา 75 ล้านเหรียญเมื่อปี 2007 อย่างไรก็ตาม Camp เพิ่งเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของ StumbleUpon คืนมาเมื่อกลางปี 2015 นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ก่อตั้งศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพ Expa Studios อีกด้วย

&nbsp;

อันดับ 3
Eduardo Saverin
34 ปี
7,900 ล้านเหรียญ
Facebook
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/23fde8887e4cbf2605c7f3f48e7c272b.png" alt="" />

Saverin ร่วมก่อตั้ง Facebook กับ Mark Zuckerberg เมื่อปี 2004 ในปี 2014 เขาก่อตั้งกองทุนเวนเจอร์แคปิตอลโดยระดมเม็ดเงินได้ 144 ล้านเหรียญเพื่อลงทุนในประเทศอินเดีย พื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสหรัฐฯ โดยเฉพาะ

แม้ว่าปัจจุบัน Saverin จะเป็นนักลงทุนในเวนเจอร์แคปิตอล แต่ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของเขายังคงมาจากหุ้นบางส่วนที่เขาถือใน Facebook

&nbsp;

อันดับ 2
Dustin Moskovitz
32 ปี
1.07 หมื่นล้านเหรียญ
Facebook
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/84ec69d1cc23b7471586b8bc147a16aa.png" alt="" />

อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายสื่อสังคม Facebook อย่างไรก็ตาม Moskovitz ลาออกจากบริษัทในปี 2008 และก่อตั้งบริษัทใหม่ของตนเองในชื่อ Asana ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับบริหารระบบการทำงานภายในองค์กร อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับ Saverin เขาถือหุ้น 3% ใน Facebook และนั่นเป็นแหล่งความมั่งคั่งหลักของ Moskovitz

&nbsp;

อันดับ 1
Mark Zuckerberg
32 ปี
5.6 หมื่นล้านเหรียญ
Facebook
สหรัฐอเมริกา

<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3a24c2152cc98f1b3165f8a7c26097b0.png" alt="" />

ผู้ที่ครองตำแหน่งอภิมหาเศรษฐีวัยต่ำกว่า 40 ปีที่มีความมั่งคั่งสูงสุด เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook เรื่องราวของเขาเป็นที่ทราบดี Zuckerberg ในวัย 19 ปีก่อตั้งโซเชียลมีเดียที่จะแพร่หลายไปทั่วโลกในเวลาต่อมา ณ Harvard University และลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อปั้นบริษัทขึ้นมา ปัจจุบันทรัพย์สินของ Zuckerberg พุ่งตามราคาหุ้นที่ทะยานขึ้นสูง

&nbsp;

<hr />

<a href="https://goo.gl/PHHCQw">คลิกอ่าน "อภิมหาเศรษฐีอายุน้อยกว่า 40 ปี" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ พฤษภาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/PHHCQw"><img style="width: 300px; height: 396px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ce332a7d68848adbf8b65d73e9329ca9.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events