<h2>เบื้องหลังการบรรลุข้อตกลงธุรกิจนับไม่ถ้วนของ Tencent มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้กลับมาใช้แพลตฟอร์มของตัวเอง</h2>
ตลอดเวลาที่ผ่านมา Tencent บริษัทเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่ของจีน ดำเนินธุรกิจโดยพึ่งพาเกมออนไลน์และแอพพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์ WeChat ในการดึงดูดผู้ใช้ แต่บริษัทกำลังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ใหม่เพื่อสร้างความเติบโต นั่นคือลงทุนในสตาร์ทอัพเพื่อสร้างบริการใหม่

สำหรับธุรกิจหลักของบริษัทบริษัทจาก Shenzhen ซึ่งติดอันดับ Fabulous 50 ของ Forbes เป็นปีที่ 10 ติดต่อกันแห่งนี้กำลังค่อยๆ ผันตัวมาเป็นนักลงทุนด้านเทคโนโลยีรายสำคัญ เว็บไซต์ Dealogic รายงานว่า จนถึงขณะนี้บริษัทได้ลงทุนใน 68 ข้อตกลงธุรกิจที่มีมูลค่ารวมกัน 54.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทลงทุน 31.1 พันล้านเหรียญใน 72ข้อตกลง

ตัวเลขดังกล่าวนี้เหนือกว่าคู่แข่งสำคัญอย่าง Alibaba ซึ่งในปีนี้ลงทุนใน 52 ข้อตกลงธุรกิจ คิดเป็นมูลค่ารวม 25.6 พันล้านเหรียญ ข้อมูลจาก Dealogic ระบุว่าในระดับโลก อัตราการลงทุนที่รวดเร็วของ Tencent ทำให้บริษัทขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับ Softbank กลุ่มบริษัทจากญี่ปุ่นที่ในปีนี้ลงทุนไปแล้วคิดเป็นมูลค่ารวม 62.5 พันล้านเหรียญ จาก 97 ข้อตกลง

Ken Xu หุ้นส่วนจาก Gobi Partners บริษัทร่วมทุนซึ่งลงทุนเคียงคู่กับ Tencent กล่าวว่า Tencent ลงทุนเพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้บริษัททำรายได้เพิ่มขึ้นจากฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ บริษัทให้ความสนใจในธุรกิจหลายประเภท อาทิ วิดีโอเกมสตรีมมิ่ง บริการทางการเงินและซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากการเข้าถือหุ้นร้อยละ 10-20 ในสตาร์ทอัพน้องใหม่หรือธุรกิจที่ติดตลาดแล้วจากนั้นจะกระตุ้นให้บริษัทในพอร์ตแข่งขันกันเอง และจะให้การสนับสนุนเฉพาะแต่กับบริษัทที่ยังยืนหยัดได้

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Alibaba บริษัทจาก Hangzhou ให้ความสำคัญกับธุรกิจค้าปลีกและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่า และยังเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจสตาร์ทอัพที่ลงทุนมากกว่า โดยในบางครั้งยังมีเป้าหมายสุดท้ายที่จะเข้าซื้อกิจการด้วย “Alibaba มักหวังที่จะได้อำนาจบริหารงานในระดับใดระดับหนึ่งในบริษัทที่ลงทุน” Xu ซึ่งเคยทำงานกับบริษัทอี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่แห่งนี้ให้ความเห็น

“สิ่งที่ Tencent ต้องการคือหุ้นส่วนธุรกิจที่สามารถสร้างความได้เปรียบให้แก่ทรัพยากรของบริษัทและนำมาซึ่งบริการที่เพิ่มมากขึ้น” Shi Jialong นักวิเคราะห์จาก Nomura ยกตัวอย่างการเข้าลงทุนใน Pinduoduo หรือ PDD บริการช็อปปิ้งสินค้าราคาประหยัดว่าได้ช่วยให้ WeChat แอพฯ ของ Tencent มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น PDD ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ดำเนินธุรกิจโดยใช้โมเดลที่คล้ายคลึงกับโมเดลของ Groupon ซึ่งเน้นการซื้อเป็นกลุ่ม แต่ PDD ใช้ WeChat เป็นฐานในการดำเนินธุรกิจ

ทำให้ผู้ใช้ประจำ 3 ล้านคนบนแพลตฟอร์มสามารถรวมกลุ่มซื้อและรับส่วนลดเพิ่มขึ้น สิ่งที่ตามมาคือมีผู้ใช้งานระบบชำระเงินของ WeChat เพิ่มมากขึ้นจากการชำระเงินให้กับ PDD “ลูกค้าของ PDD จำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่ค่อยคุ้นเคยกับระบบชำระเงินดิจิทัล” Shi กล่าวในการประชุมทางโทรศัพท์เมื่อเร็วๆ นี้ “แต่ขณะที่ PDD ติดตลาด มันก็ได้ช่วยนำผู้ใช้มาสู่ระบบกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลของ WeChat”

<figure><img class="wp-image-1839 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/tencent-04.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> เชื่อมโยงเครือข่าย: คนงานกำลังติดตั้งสำนักงานของ Pinduoduo ใน Shanghai โดย PDD ใช้ระบบชำระเงินของ WeChat ในการจำหน่ายสินค้าออนไลน์</figcaption></figure>

Tencent ยังได้ผลตอบแทนมหาศาลเมื่อสามารถเปลี่ยนการลงทุนให้เป็นผลกำไรตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว บริษัท 12 แห่งในพอร์ตของ Tencent ได้เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทมหาชน ซึ่ง CB Insights ระบุว่ามากกว่าพอร์ตของบริษัทด้านการลงทุนหรือส่วนงานธุรกิจการลงทุนของบริษัททุกแห่งทั่วโลกในช่วงของความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นหุ้นของ Tencent ในบริษัทต่างๆ เช่น China Literature และ Sea แพลตฟอร์มเกมออนไลน์ มีมูลค่ามากกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญ

บริษัทยังมีแผนลงทุนในอีกหลายธุรกิจไม่นานมานี้ บริษัท 3 แห่งที่ Tencent ร่วมลงทุน ไม่ว่าจะเป็น Meituan Dianping เว็บไซต์ด้านบริการท้องถิ่น Qutoutiao แพลตฟอร์มศูนย์รวมข่าว และ Nio ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ต่างก็ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นบริษัทมหาชนอย่างไรก็ดี แผนลงทุนจำนวนมากเหล่านี้ก็ไม่ได้มีแต่ด้านบวกเสมอไป การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของบางบริษัทเมื่อไม่นานมานี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าแสดงให้เห็นว่าการสนับสนุนจาก Tencent ไม่ได้เป็นสิ่งรับประกันความสำเร็จ

นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าการลงทุนอย่างไร้ขีดจำกัดอาจทำให้ Tencent สูญเสียจุดโฟกัสการดำเนินธุรกิจ “บริษัทค่อยๆ ผันตัวเป็นบริษัทร่วมทุน โดยมีธุรกิจเกมและสื่อสังคมออนไลน์เป็นธุรกิจรอง” Brock Silvers กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษา Kaiyuan Capita lกล่าว “นี่เป็นผลมาจากการผสมกลมกลืนของการเข้าถึงเงินทุนจำนวนมหาศาล การส่งเสริมจากรัฐบาล และอาจจะรวมถึงความฮึกเหิมในอหังการขององค์กร”

แต่ Xu จาก Gobi Partners กล่าวว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ Tencent จะลงทุนต่อไป WeChat มีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคน แต่ Tencent ไม่มีวิธีในการหาเงินจากผู้ใช้เหล่านี้ นอกจากการโฆษณาและเชื่อมโยงพวกเขากับเกมออนไลน์ บริษัทจำเป็นต้องสำรวจบริการภายนอกอื่นๆ ที่จะสามารถนำมาผนวกรวมเข้ากับแพลตฟอร์มที่มีอยู่เพื่อให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมมากขึ้น และอยู่นานขึ้น “Tencent ไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตัวเอง” เขากล่าว “ฉะนั้นบริษัทจึงมองเห็นคุณค่ามหาศาลจากการลงทุน”

เรื่อง Yue Wang เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม

<hr />

<a href="http://bit.ly/2OuRAlE">ติดตามฉบับเต็มจากการจัดอันดับ FAB 50 "50 สุดยอดบริษัทมหาชนแห่งเอเชีย" ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2561 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2OuRAlE"><img class="alignnone wp-image-1596 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/COVER-65-750-228x300.jpg" alt="" width="228" height="300" /></a>

ลงทุนไร้ขีดจำกัดแบบ Tencent

[Jeanie Han ผู้บริหารแอพฯ ส่งข้อความ LINE จากเอเชีย กำลังเฟ้นหาสติ๊กเกอร์ยอดนิยมตัวต่อไป]
<h2>.....การใช้สติกเกอร์และไอคอนแสดงอารมณ์เป็นเครื่องมือหนึ่ง สำหรับเหล่าวัยรุ่นที่ต้องการเป็นที่ชื่นชอบ และเร่งกระแสให้สังคมออนไลน์สื่อสารกันผ่านการพูดคุยด้วยตัวอักษรน้อยลง Bertrand Schmitt วัย 37 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านวิเคราะห์แอพพลิเคชั่น App Annie กล่าวว่าเวลาที่พนักงานใน Beijing ของเขาส่งข้อความหากันหลังเลิกงานผ่านโปรแกรม WeChat “จะมีการส่งข้อความโต้ตอบกัน 7-8 ครั้งโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย [ผ่านตัวอักษร] คนเราหันมาใช้การสื่อสารผ่านรูปภาพมากขึ้น”</h2>
เหล่าศิลปิน ตัวแทนซื้อขาย และนักโฆษณากำลังสร้างตลาดสำหรับสติกเกอร์บนโลกดิจิตอล ซึ่งอาจเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าไอคอนแสดงอารมณ์ขนาดเล็กที่ปรากฏอยู่บนโปรแกรมแชตและ Instagram อย่างมหาศาล

ปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นสติกเกอร์บน iTunes และ Play Store ให้ดาวน์โหลดแล้วมากกว่า 600 แอพฯ แต่ที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่คือแอพพลิเคชั่นสำหรับส่งข้อความ เช่น LINE ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากบริษัท Naver ยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาออนไลน์สัญชาติเกาหลีใต้ LINE มีจำนวนผู้ใช้ที่ลงทะเบียนทั้งหมด 420 ล้านบัญชีทั่วโลก และมีการส่งสติกเกอร์ 1.8 พันล้านครั้งในแต่ละวันจากจำนวนสติกเกอร์ที่ LINE ผลิตขึ้นเองกว่า 10,000 แบบ โดยสติกเกอร์การ์ตูนบางตัวได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนมีการนำไปเขียนเป็นหนังสือและผลิตเป็นรายการโทรทัศน์ อย่างเช่น เรื่องราวความรักของหมี Brown และ Conyกระต่ายตัวป่วน

คนส่วนใหญ่คงไม่เคยคิดที่จะควักเงินซื้อสติกเกอร์รูปหน้าแมวกำลังพ่นไฟ ผู้ใช้สติกเกอร์ในโปรแกรมแชท Kik เกือบทั้งหมดใช้สติกเกอร์ที่ดาวน์โหลดได้ฟรี ทางด้าน Facebook ก็ยังไม่ได้วางแผนที่จะเรียกเก็บเงินจากการใช้สติกเกอร์ตัวการ์ตูนจาก Lego และ Minions ตัวละครจิ๋วจากภาพยนตร์ชื่อดัง

แต่ทว่าในเอเชีย LINE สร้างธุรกิจใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทมียอดจำหน่ายสติกเกอร์เกือบ 70 ล้านเหรียญในปี 2013 คิดเป็นสัดส่วน 20% จากรายได้ทั้งหมดของบริษัทในปีที่ผ่านมาที่ 338 ล้านเหรียญ และรายได้จากการขายสติกเกอร์น่าจะอยู่ที่ 140 ล้านเหรียญในปีนี้ ตัวแทนซื้อขายสติกเกอร์ Evan Wray กล่าวว่าตัวเลขนี้เพียงพอที่จะหนุนให้ตลาดมีมูลค่าถึง 2 พันล้านเหรียญในปีนี้ เพราะกระแสนิยมกำลังขยับขยายไปยังประเทศตะวันตก ประกอบกับจำนวนผู้ใช้แอพฯ LINE และ WeChat ที่จะพุ่งขึ้นอีกสองเท่าในปีนี้ตามการคาดการณ์ของ Wray

การคาดการณ์ในทางบวกนี้มาจากสมมุติฐานที่ว่า สติกเกอร์จะเป็นกระแสนิยมทางวัฒนธรรมของเอเชียที่จะสามารถฝ่าอุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม สู่ประเทศแถบตะวันตกได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง

Jeanie Han ผู้บริหารประจำสหรัฐของ LINE ได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วในประเทศสเปน ซึ่งมีรายงานว่ามีผู้ดาวน์โหลดโปรแกรมไปแล้วมากกว่า 10 ล้านคน Han ได้ดำเนินการผลิตคอนเทนต์สติกเกอร์ในสเปนก่อนย้ายไปยังสหรัฐ เธอกล่าวว่าชาวสเปนรับเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วมากและสติกเกอร์ยังเป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นและราคาไม่แพงสำหรับประเทศที่ผู้คนเปิดเผยแสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา และมีอัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวอยู่ที่ 54% .....

<hr />

สามารถอ่านรายงาน "แมวพ่นไฟร้อนๆ มาแล้วจ้า" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ AUGUST 2014

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events