Ben Lamm เศรษฐีพันล้าน จากการชุบชีวิตสัตว์สูญพันธุ์ - Forbes Thailand

Ben Lamm เศรษฐีพันล้าน จากการชุบชีวิตสัตว์สูญพันธุ์

FORBES THAILAND / ADMIN
18 Aug 2025 | 08:59 AM
READ 171

สิ่งที่บ้าระห่ำสุดๆ คือ การชุบชีวิตแมมมอธสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หนังหนา ขนดก และงายาวโง้งที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 4,000 ปีก่อน แต่ก็เป็นความคิดที่บรรเจิดมาก เพราะมันจะส่งผลในวงกว้างทั้งเรื่องภาวะโลกรวนและการดูแลสุขภาพ แถมยังทำให้เกิดเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลกจากสายงานการชุบชีวิตสัตว์สูญพันธุ์ด้วยนั่นคือ Ben Lamm


    เมื่อดูแวบแรกสัตว์ฟันแทะที่น่ารักคู่นี้ดูคล้ายหนูแฮมสเตอร์ขนตั้งสีทอง เหมือนสุนัขสะบัดขนตอนเปียกน้ำ แต่ถ้าสังเกตหูและหางที่แปลกตาดีๆ ก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่สัตว์ที่คุณเคยเห็นมาก่อน อันที่จริงมันเป็นสัตว์ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนพวกมันคือหนูขนยาว เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจากห้องทดลองของบริษัท Colossal Biosciences ในเมือง Dallas โดยถูกออกแบบให้มีลักษณะสำคัญบางอย่างของสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มนุษย์ไม่ได้เห็นมาหลายพันปีนั่นคือ แมมมอธขนยาว

    บริษัท Colossal ตั้งขึ้นในปี 2021 โดย Ben Lamm ผู้ประกอบการแบบต่อเนื่องชาว Texas วัย 43 ปี ที่คลุกคลีอยู่ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงวิดีโอเกมและการเรียนการสอนออนไลน์ด้วย และ George Church นักพันธุศาสตร์ระดับตำนานจากมหาวิทยาลัย Harvard

    บริษัทนี้ระบุตัวเองว่า กำลังประกอบธุรกิจ “ชุบชีวิต” ซึ่งหมายถึงการใช้ DNA โบราณและเทคนิคการตัดต่อยีน CRISPR เพื่อนำสัตว์ที่สูญพันธุ์กลับคืนมา เช่น แมมมอธขนยาว นกโดโด และเสือแทสเมเนียน แต่ความพยายามเหล่านี้ส่วนใหญ่เน้นสร้างความตื่นเต้นให้นักลงทุนและการเป็นข่าวหน้าหนึ่ง

    สิ่งที่ใกล้เคียงกับรูปแบบธุรกิจของ Colossal ที่สุดคือ การใช้เทคนิคที่คล้ายกันเพื่อรักษาสัตว์สายพันธุ์ต่างๆ นับพันที่สูญพันธุ์ได้โดยฝีมือมนุษย์ ซึ่งหลายสายพันธุ์มีคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมหรือด้านการอนุรักษ์สูง ปัจจุบันมีสัตว์มากกว่า 46,000 สายพันธุ์ที่อยู่ในรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง

    เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Colossal ได้ปิดการระดมทุนรอบ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าประเมินบริษัทอยู่ที่ 1.02 หมื่นล้านเหรียญ บริษัทระดมทุนได้ทั้งหมด 435 ล้านเหรียญจากนักลงทุนเงินหนาที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งรวมถึง Breyer Capital, Draper Associates และ TWG Global แม้ว่า Colossal จะยังไม่มีรายได้ แต่มีการตั้งสตาร์ทอัพแยกออกไปอีก 2 แห่ง ได้แก่ Form Bio แพลตฟอร์มชีววิทยาเชิงคำนวณ (ปี 2022) และ Breaking บริษัทรีไซเคิลชีวภาพ (ปี 2024)

    การระดมทุนรอบล่าสุดทำให้ Lamm ที่เป็นซีอีโอมีมูลค่าทรัพย์สินราว 3.7 พันล้านเหรียญ ส่วน Church วัย 70 ปี ผู้ไม่ได้ถือหุ้นใน Colossal ได้บอกว่า “การที่ผมไม่ใช่เศรษฐีพันล้านนั้นน่าสนใจพอๆ กับการที่ Ben ได้เป็น” และเสริมว่า “แต่ถ้าผมมีเงินพันล้านก็คงใช้มันไปกับโครงการนี้แหละ”

    สำหรับ Church ผู้มีชื่อเสียงจากการคิดค้นวิธีการจัดลำดับจีโนมเป็นครั้งแรกในปี 1984 และยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพอีกประมาณ 50 แห่ง หนูขนยาวถือเป็นตัวพิสูจน์แนวคิดที่รอคอยกันมานาน เขาทำเรื่องการจัดลำดับจีโนมของแมมมอธมานานเกือบ 2 ทศวรรษ แต่ว่าความหลงใหลของเขาเริ่มมานานก่อนหน้านั้น “ผมก็เหมือนเด็กส่วนใหญ่คือชอบอะไรที่มีขน ตัวใหญ่ๆ” เขาเล่า “ผมเป็นคนรุ่นที่อ่านหนังสือ Jurassic Park”

    งานนี้เริ่มต้นจากการขุดซากแมมมอธขนยาวจากชั้นดินเยือกแข็งในอาร์กติก จากนั้น Church และนักวิจัยของเขาก็เปรียบเทียบ DNA ของพวกมันกับ DNA ของช้างเอเชียซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยมีเป้าหมายนำลูกผสมช้างกับแมมมอธกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


    พวกเขาหวังว่าจะได้ลูกช้างภายในปี 2028 ส่วนหนูขนยาวถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ของ Colossal ทดสอบความเชื่อมโยงระหว่างลำดับของ DNA บางส่วนกับลักษณะเฉพาะของแมมมอธ เช่น ขนาด ขนที่รุงรัง และการเผาผลาญอาหารที่เร็วขึ้นซึ่งดีต่อสภาพอากาศที่หนาวจัด

    Lamm มีความคิดหลายอย่างเกี่ยวกับการใช้วิทยาการที่บริษัทกำลังพัฒนาในการสนับสนุนธุรกิจที่กำลังโต ซึ่งรวมถึงการหารายได้จากรัฐบาลที่ต้องการนำสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์กลับคืนมา หรือป้องกันไม่ให้สายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ล้มตายไป รัฐบาลให้เงินสนับสนุนการอนุรักษ์มานานแล้ว แต่การจัดงบประมาณสำหรับวิทยาศาสตร์ล้ำสมัยที่ก่อให้เกิดการถกเถียงนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ “ถ้าคุณบอกผมช่วงต้นปี 2024 ว่า รัฐบาลจะจ่ายเงินให้ผมทำเรื่องพวกนี้ผมคงจะบอกว่า ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เรากำลังเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้น” เขากล่าว

    Lamm บอกว่า ปัจจุบัน Colossal กำลัง “พูดคุยในเบื้องลึก” เกี่ยวกับสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพที่ว่ากับรัฐบาลของ 2 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นประเทศที่เป็นเกาะ แต่ยังไม่มีการลงนามในข้อตกลงใดๆ “พวกเราคิดว่ามันเจ๋งทีเดียว เพราะความพยายามยุติการสูญพันธุ์จะสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างรายได้” เขาบอกต่ออีกว่า “การปล่อยสัตว์กลับคืนสู่แหล่งที่อยู่อาศัยของพวกมันอาจทำให้บริษัทมีสิทธิได้รับเงินรายปีเป็นคาร์บอนเครดิต สินเชื่อด้านธรรมชาติ และภาษีการท่องเที่ยว”

    เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อจูงใจให้คนปกป้องและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แบบเดียวกับที่คาร์บอนเครดิตจะช่วยลดมลพิษ Colossal น่าจะทำเงินจากตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ได้ และอาจได้รับการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ที่ร่วมงานด้วย

    รัฐบาลหนึ่งที่ Colossal กำลังหารือด้วย (ซึ่ง Lamm ปฏิเสธที่จะระบุชื่อเพราะการหารือดังกล่าวมีความละเอียดอ่อน) มุ่งเน้นช่วยเหลือสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์และอาจทำให้ระบบนิเวศทั้งหมดเสียสมดุล Lamm กล่าวว่า การขาดแคลนตัวเมียและปัญหาเรื่องช่วงเวลาของวงจรการสืบพันธุ์ตามฤดูกาลทำให้เกิดปัญหาคอขวด ความพยายามของรัฐบาลในการเพาะพันธุ์แบบเดิมอาจใช้เวลานานถึง 25 ปี และมีค่าใช้จ่าย 350 ล้านเหรียญ และสายพันธุ์ดังกล่าวก็มีโอกาสอาจล้มหายตายจากอยู่ดี

    ทั้งนี้ Colossal ได้เสนอให้ดัดแปลงพันธุกรรมตัวเมียเพื่อกระตุ้นให้พวกมันผสมพันธุ์อย่างต่อเนื่องแทนที่จะผสมพันธุ์ตามฤดูกาล หรือลัดกระบวนการนั่นเอง “ต่อให้เราจะเรียกเก็บเงินจากพวกเขา 100 ล้านเหรียญเพื่อทำเรื่องนั้นแต่ผลลัพธ์คือ พวกเขาจะอนุรักษ์สายพันธุ์ต่างๆ ไว้ได้อย่างแน่นอน เราช่วยพวกเขาประหยัดเวลาไปได้ 20 ปีจากแผนเดิม และประหยัดเงินได้อีกหลายร้อยล้านเหรียญ” Lamm กล่าว

    แต่นั่นเป็นวิธีที่ปกติไม่มีใครทำกันจึงก่อให้เกิดคำถามทางจริยธรรมว่า “จะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าปล่อยสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมเข้าสู่สิ่งแวดล้อม” Karl Flessa ศาสตราจารย์ด้านธรณีศาสตร์ที่ University of Arizona กล่าว เขามีความกังขาต่อโครงการแมมมอธในฝันของ Colossal เป็นอย่างมาก และบอกว่า โครงการนี้เป็น “การตัดสินใจที่ผลีผลาม ไม่รอบคอบ และเป็นแค่อุบายดึงดูดคนให้มาลงทุนในบริษัท” และกล่าวเสริมว่า “การปล่อยสิ่งมีชีวิตที่รู้กันอยู่ว่าเหมาะกับสภาพอากาศหนาวเย็นให้เผชิญกับภาวะโลกรวนซึ่งแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกมันกำลังหายไปถือว่าเป็นปัญหาทางจริยธรรม”


Beth Shapiro


    Beth Shapiro หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ Colossal รู้ดีถึงความเสี่ยง แต่เขาบอกว่า ปัญหาใหญ่ๆ บางครั้งก็ต้องการวิธีแก้ที่สุดขั้วไปเลย “นั่นคือเงินทุนใหม่ คนกลุ่มใหม่ และแนวคิดใหม่ที่เข้าสู่วงการที่ต้องการสิ่งเหล่านี้เป็นที่สุด”



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Michael Taylor จากนักไวรัสวิทยา สู่ผู้ปั้นกำไรแด่การกุศล

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine