จุดตัดสินของ FINRA - Forbes Thailand

จุดตัดสินของ FINRA

FORBES THAILAND / ADMIN
15 May 2025 | 08:37 AM
READ 82

แม้จะมีประวัติละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ การดำเนินธุรกิจที่ไม่โปร่งใสและสร้างความเสียหายมูลค่าหลายล้านเหรียญต่อนักลงทุน แต่ John Joseph Hurry นายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่ตอบโต้อย่างไม่สะทกสะท้านกำลังพยายามโค่นอำนาจหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจหลักทรัพย์ และจากนี้คือเรื่องราวการฟาดฟันของแต่ละฝ่ายที่มีพฤติกรรมทั้งดี แย่ และน่าเกลียดในเวลาเดียวกัน


    เมื่อกลางปีที่ผ่านมาศาลสูงสุดพิจารณา 3 คดี และคำตัดสินสั่นสะเทือนหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้รัฐบาลกลางซึ่งรวมถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐฯ (ก.ล.ต.) โดยตั้งคำถามถึงอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานเหล่านี้ และตอนนี้บริษัทที่มีชื่อเสียและประวัติคลุมเครือได้เปิดศึกทางกฎหมายซึ่งสุดท้ายแล้วศาลยุติธรรมสูงสุดอาจมีคำพิพากษาที่บั่นทอนอำนาจหน่วยงานอย่าง Financial Industry Regulatory Authority (FINRA)

    FINRA เป็นหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรภาคเอกชน ซึ่งดำเนินการและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากเหล่าผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ FINRA มีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจหลักทรัพย์ หน่วยงานดังกล่าวเป็นผู้ออกใบอนุญาต และกำกับดูแลนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 628,000 ราย และบริษัท 3,300 แห่ง ในองค์กรมีพนักงาน 4,300 คน และมีงบประมาณปีละราว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับ ก.ล.ต. ที่มีพนักงาน 5,000 คน และงบประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญ

    เมื่อปี 2023 FINRA ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักลงทุน 11,000 ราย ดำเนินการเพิกถอนหรือระงับใบอนุญาตบุคคล 435 ราย และบริษัท 9 แห่งจากอุตสาหกรรม และยื่นฟ้องต่อศาลกลางเพื่อดำเนินคดีฉ้อโกง และการนำข้อมูลภายในหาผลประโยชน์ในการซื้อขาย 623 คดี

    ทั้งนี้ FINRA คือหน่วยงานกำกับดูแลด่านแรกแต่ไม่มีอำนาจตัดสินชี้ขาดเนื่องจากเป็นองค์กรเอกชน โดยเมื่อมีคำตัดสินแล้ว ผู้กระทำความผิดยังสามารถยื่นอุทธรณ์มาตรการลงโทษทางวินัยต่อ ก.ล.ต. และศาลได้

    บริษัทหลักทรัพย์ที่มีประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน 2 แห่ง ได้แก่ Alpine Securities และ Scottsdale Capital Advisors ได้หยิบเอาข้อกฎหมายที่ดูจะเป็นอาวุธใหม่ และเป็นหมัดเด็ดในการต่อสู้คดีเพื่อมางัดข้อกับ FINRA โดยตั้งข้อกังขาถึงอำนาจอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญของหน่วยงานนี้ ทั้งสองบริษัทนี้มีเจ้าของคนเดียวกันคือ John Joseph Hurry วัย 57 ปี ผู้ประกอบการด้านการเงินรายเล็กที่ได้กลายเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่ FINRA เคี้ยวไม่ลง

    นับเป็นเวลาหลายปีที่ FINRA พยายามหยุดยั้ง Hurry แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ในช่วงแรก FINRA พยายามที่จะสั่งห้าม Hurry จากการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับหลักทรัพย์ เนื่องด้วยเหตุการณ์การปั่นหุ้นในปี 2014 นอกจากนี้ยังต้องสงสัยว่ามีการฟอกเงินด้วย อย่างไรก็ตาม Hurry ปฏิเสธข้อกล่าวหาและ ก.ล.ต. พิจารณายกเลิกคำ สั่งลงโทษในภายหลัง โดยสาเหตุสำคัญมาจากความผิดพลาดเชิงกระบวนการของ FINRA

    ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่า ก.ล.ต. ไม่ได้เห็นด้วยกับการดำเนินธุรกิจของ Hurry และทางสำนักงานเองได้พยายามดำเนินการทางกฎหมายหลายครั้ง ในปี 2019 ผู้พิพากษากลางสหรัฐฯ ตัดสินลงโทษปรับเงิน Alpine ตามมาตรการทางแพ่งจำนวน 12 ล้านเหรียญในข้อหา “กระทำผิดกฎหมายที่มีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก” หลังจากได้รับข้อมูลที่ ก.ล.ต. สามารถพิสูจน์ได้ว่าบริษัทละเลยสัญญาณเตือนเหตุการณ์อย่างน้อย 2,720 กรณี ซึ่งในการยื่นแบบระบุว่าบริษัทจำเป็นต้อง “รายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย”

    ปัจจุบัน FINRA พยายามยุติบทบาทธุรกิจ Alpine ด้วยการตั้งข้อหาว่าบริษัทฉ้อโกงลูกค้าในปี 2019 จากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงเกินจริง และทำการซื้อขายหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

    Hurry และทนายความของเขาหยิบยกประเด็นที่ชาญฉลาดมาใช้สู้คดี พวกเขาพยายามเรียกร้องว่า FINRA ดำเนินการขัดต่อรัฐธรรมนูญ พวกเขากล่าวหาว่า FINRA ไม่มีความโปร่งใสและหนึ่งในความผิดที่เป็นสาระสำคัญคือการใช้อำนาจฝ่ายบริหารอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งภายใต้ข้อกำหนดในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญให้ความรับผิดชอบนี้แก่ประธานาธิบดี

    แม้ว่าการยื่นคำร้องกล่าวโทษองค์กรกำกับดูแลตนเองในลักษณะคล้ายกันนี้จะถูกศาลปฏิเสธไปในอดีต แต่ตอนนี้ทีมของ Hurry ได้รับการสนับสนุนจากผู้พิพากษา ในเดือนกรกฎาคม ปี 2023 คณะพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ประจำเขต District of Columbia ที่ประกอบด้วยผู้พิพากษา 3 คนลงมติเสียงข้างมาก 2 ต่อ 1 ไม่อนุญาตให้ FINRA ระงับการดำเนินธุรกิจของ Alpine ขณะอยู่ระหว่างการพิจารณาถึงประเด็นเกี่ยวกับอำนาจ ตามหลักรัฐธรรมนูญของหน่วยงาน

    ก่อนจะจบลงที่ศาลสูงสุดซึ่งได้ประกาศคำตัดสินที่พลิกความคาดหมายในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า ก.ล.ต. ไม่สามารถใช้คณะผู้ตัดสินของตัวเองมาพิจารณาคดีทางแพ่งสำหรับคดีฉ้อโกงหลักทรัพย์ในการพิจารณาคดีของศาลสูงสุดที่กินเวลานานเกือบทศวรรษระหว่าง ก.ล.ต. และ Jarkesy คณะผู้พิพากษามีมติเสียง 6 ต่อ 3 ตัดสินว่าจำเลยไม่ได้รับสิทธิในการให้คณะลูกขุนพิจารณาคดีแพ่งตามหลักความเสมอภาคในรัฐธรรมนูญฉบับ แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 7 “หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ได้กำหนดนโยบายและบังคับใช้ กฎหมายในสหรัฐฯ และมีหน่วยงานมากมายในนี้ไม่มีความ รับผิดชอบ”

    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาบริษัทของ Hurry ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาจาก FINRA และ ก.ล.ต. ที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บริษัทเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญในด้านมืดของการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนหรือบริษัทมหาชนขนาดเล็กซึ่งได้รับการยกเว้นจากการเปิดเผยข้อมูลตามกำหนดของ ก.ล.ต. ตามข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของ Scottsdale Capital บริษัทมีความเชี่ยวชาญใน “การรับฝากและขายหุ้น” ซึ่งคำนี้เป็นศัพท์เฉพาะในอุตสาหกรรมที่มักจะหมายถึงแผนการลากราคาหุ้นขึ้นไปสูงๆ และเทขายลงมา

    เรื่องราวการยื่นฟ้องร้องครั้งแรกของ FINRA เพื่อเอาผิด Hurry และบริษัทของเขาซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเป็นดังนี้ ในปี 2014 บริษัท Scottsdale Capital ของเขาได้ขายหุ้นจำนวน 74 ล้านหุ้นของบริษัทขนาดเล็กที่มีราคาต่ำ 3 แห่ง ได้แก่ Neuro-Hitech Inc., Voip Pal.com และ Orofino Gold Corp. หุ้นเหล่านี้ตกมาอยู่ในมือของ Scottsdale ผ่าน Cayman Securities Clearing and Trading บริษัทสัญชาติ Caribbean ที่ไม่จดทะเบียนรับอนุญาตซึ่ง Hurry เป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการเช่นกัน

    ในปี 2015 FINRA กล่าวหาว่า CSCT เป็น “บริษัทตัวกลางที่น่าจูงใจ” สำหรับบุคคลไม่โปร่งใสที่ต้องการขายหุ้นขนาดเล็กราคาต่ำนอกตลาดหลายล้านหุ้น ผ่านสถาบันการเงินต่างชาติ ข้อมูลจากเอกสารฟ้องร้องระบุว่า CSCT มีลูกค้า 4 รายในเบลีซและปานามา ซึ่งลูกค้าเหล่านี้มีบัญชีย่อยรวมกันทั้งหมด 27 บัญชี โดยผู้ขายหุ้นที่แท้จริงยังคงเป็นปริศนา

    Neuro-Hitech ซึ่งได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัท เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ มีการประกอบกิจการ (shell company) ในชื่อ Northern Way Resources ในการยื่นแบบแสดงรายการต่อ ก.ล.ต. เดือน มิถุนายน ปี 2005 เพื่อเสนอขายหุ้นจำนวน 4.6 ล้านหุ้น บริษัทซึ่งตั้งอยู่ที่ Vancouver รัฐ British Columbia แห่งนี้รายงานสถานะเงินสดในบัญชีเพียง 20,000 เหรียญ และกำลังขุดหาทองคำและแร่แพลเลเดียมใกล้กับเมือง Sudbury รัฐ Ontario

    ภายในเวลา 6 เดือนหลังจดทะเบียนเป็นมหาชน บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจาก New York ได้ดำเนินการควบรวมกิจการแบบย้อนกลับ เป้าหมายการดำเนินธุรกิจได้เปลี่ยนไปเป็นการพัฒนา Huperzine A ยาสำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์ที่ใช้ในประเทศจีน และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Neuro-Hitech Pharmaceuticals หลังจากมีผลการดำเนินงานขาดทุนหลายปีบริษัทได้ย้ายไปยัง Florida ในปี 2008 และเริ่มผลิต Pseudoephedrine ยาลดน้ำมูกที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในสารเสพติด Methamphetamine

    ในปีดังกล่าวรายได้พุ่งขึ้นเป็น 4.1 ล้านเหรียญ แต่มีผลดำ เนินการขาดทุนหนักกว่าเดิมโดยติดลบ 10.7 ล้านเหรียญ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2009 บริษัทยื่นคำร้องขอยกเว้นจากการขึ้นทะเบียนและเปิดเผยข้อมูลต่อ ก.ล.ต. เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นเพียง 123 ราย และประสบความสำเร็จ โดยนักลงทุนทั้งหมดถือหุ้นรวมกัน 31.5 ล้านหุ้น และราคาอยู่ที่ราว 3 เซนต์ต่อหุ้น

    เมื่อ Hurry เข้ามามีส่วนร่วมกับบริษัทในช่วงปี 2014 หลังจากนั้น Thomas Collins ชาว Texas ที่มีปูมหลังไม่ชัดเจนได้ปรากฏตัวขึ้นในเอกสารยื่นฟ้อง FINRA ตั้งคำถามว่า Collins มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ แม้ในเอกสารของบริษัท Hurry จะมีหลักฐานลายเซ็นของเขาอยู่

    Collins ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 ในฐานะที่ปรึกษาของบริษัทและได้รับค่าตอบแทนเป็นสัญญาใช้เงินมูลค่า 10,000 เหรียญ ในปี 2013 เขาแปลงสภาพตั๋วสัญญามูลค่า 90% ให้กลายเป็นหุ้น Neuro-Hitech จำนวน 90 ล้านหุ้น โดยกำหนดราคาไว้ที่หุ้นละ 0.01 เซนต์ ตั้งแต่ก่อนได้รับหุ้นมาครอบครองเขาได้จำนำหุ้นจำนวน 60 ล้านหุ้นกับบริษัท 3 แห่งที่อยู่ในเบลิซ

    จากข้อกล่าวหาของ FINRA ทั้ง 3 บริษัทนี้เป็นลูกค้าบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ใน Cayman ของ Hurry ที่ชื่อ CSCT จากนั้นในช่วงต้นปี 2014 ลูกค้าจากอเมริกากลางของ Hurry ได้ฝากหุ้นจำนวน 60 ล้านหุ้นนี้ไว้กับ CSCT ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการส่งต่อหุ้นเหล่านี้ไปยัง Scottsdale Capital บริษัทที่เชี่ยวชาญในด้านการ “ฝากและขาย” หุ้นขนาดเล็กมูลค่าต่ำกว่าเหรียญ

    ณ เวลานั้น Neuro-Hitech ได้เปลี่ยนประเภทธุรกิจอีกครั้ง พวกเขาหันไปประกอบธุรกิจสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งตอนนั้นราคาน้ำมันดิบซื้อขายกันที่ระดับสูงกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรลและกองกำลัง ISIS กำลังขยายอิทธิพลไปยังอิรัก และซีเรีย

    ในช่วงต้นปี 2014 Neuro-Hitech ได้กระจายข่าว ประชาสัมพันธ์ไปทั่ว Texas ว่าบ่อน้ำมันใกล้กับ Fort Worth ที่ พวกเขาเพิ่งเข้าซื้อกิจการสามารถผลิตน้ำมันได้จดหมายข่าว ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหุ้นขนาดเล็กเริ่มลงข่าวเชียร์บริษัทและหุ้น Neuro-Hitech ที่ตอนนั้นราคาต่ำจนแทบไม่มีค่าว่ากำลังอยู่ในกระแสร้อนแรง ซึ่ง Collins ผู้ลึกลับได้หุ้นเหล่านั้นมาในราคา 9,000 เหรียญเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้า

    ราคาหุ้น NeuroHitech พุ่งขึ้นจาก 0.0125 เหรียญในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 ไปทำจุดสูงสุดที่ 0.055 เหรียญในช่วงกลางเดือนมีนาคมในปีนั้น การซื้อขายหุ้นน่าจะสร้างกำไรไปหลายล้านเหรียญ ตามบันทึกข้อมูลจาก FINRA เผยว่า Scottsdale ได้โอนผลกำไร 263,000 เหรียญไปให้ลูกค้าจากอเมริกากลางในทันที และหลังจากนั้น 1 เดือนราคาหุ้นดิ่งลงแรงกว่า 70%

    ตามข้อมูลของ FINRA ระบุว่า บริษัท CSCT จาก Cayman Island ที่ไม่ได้จดทะเบียนรับอนุญาตของ Hurry ทำกำไร มากกว่า 1.7 ล้านเหรียญให้ลูกค้าต่างชาติ ซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าของหุ้น Neuro-Hitech และบริษัทขนาดเล็กอีก 2 แห่งที่อยู่ในคดี ทั้งเจ้าหน้าที่พิจารณาคดีของ FINRA และคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ภายใน National Adjudicatory Council (NAC) ได้ตัดสินว่า Hurry ได้กระทำความผิดอันไม่เหมาะสมจริง โดยใช้บริษัทนายหน้าต่างชาติบังหน้าบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เพื่อดำเนินการขายหุ้นจากต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย

    พวกเขาลงโทษปรับ Scotts - dale เป็นเงิน 1.5 ล้านเหรียญ และสั่งห้าม Hurry จากการทำธุรกิจหลักทรัพย์ แต่มีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่า NAC ใช้หลักกฎหมายที่แตกต่างจาก FINRA
Brenda Hamilton ทนายความจาก Florida กล่าวในปี 2021 ก.ล.ต. ได้เพิกถอนคำพิพากษาโดยระบุว่า หลักฐานไม่สอดคล้องและไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่า Hurry มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการละเมิดกฎหมายของ Scottsdale

    Hurry จบด้านการเงินและคว้าใบปริญญาหลักสูตร MBA ในปี 1992 จาก University of Northern Arizona ในช่วง 1 ทศวรรษหลังจากนั้นเขาทำงานกับบริษัทไม่น้อยกว่า 6 แห่ง ซึ่งรวมถึง Edward Jones และ Prudential Securities

    ข้อมูลของ FINRA ระบุว่า ประวัติการทำงานของเขาในฐานะนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ใสสะอาด แต่ปัญหาด้านการละเมิดกฎหมายของเขาเริ่มขึ้นหลังจากเขาย้ายมายังรัฐ Arizona และก่อตั้ง Scottsdale Capital Advisors เมื่อปี 2002 และเริ่มทำกำไร ได้เป็นกอบเป็นกำ

    Hurry ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เพื่อนฝูงของเขาบอกว่าเขาเป็นคนใจกว้างที่พร้อมจะให้ยืมรถยนต์ที่เขามีอยู่หลายคันไปใช้ หรือมักจะเสนอให้เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว

William P. Barr อดีตอัยการสูงสุดสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ฝ่ายสนับสนุนการมอบอำนาจ ให้กับเหล่าองค์กรกำกับดูแลตนเอง “ถ้าหน่วยงานเหล่านี้้มีอำนาจเพิกถอนอาชีพและธุรกิจของประชาชน พวกเขาก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมเช่นเดียวกับรัฐบาล”


    คดีฟ้องร้องล่าสุดที่เขากำลังต่อสู้กับ FINRA เกิดจากสิ่งที่ Alpine เริ่มขึ้นเมื่อปี 2018 จากการที่ประเด็นปัญหาด้านกฎหมายก่อแรงกดดันทางการเงิน หนึ่งในการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมอย่างมหาศาลจากหลายๆ กรณีของ Alpine คือ การขึ้นค่าธรรมเนียมบัญชีลูกค้าจากปีละ 100 เหรียญเป็น 5,000 เหรียญต่อเดือน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึง 60,000% ทำให้บัญชีของลูกค้าหลายร้อยรายมีหนี้สะสมจำนวนมากซึ่ง Alpine ตัดชำระหนี้โดยการนำหุ้นในบัญชีไปขาย

    ในเดือนมิถุนายน ปี 2019 เพียงเดือนเดียว Alpine ทำ เงินไปได้ 950,000 เหรียญจากวิธีนี้ ยิ่งไปกว่านั้นหากบัญชีของลูกค้ามีหลักทรัพย์มูลค่า 1,500 เหรียญหรือต่ำกว่า Alpine จะถือว่าบัญชี “ไม่มีมูลค่า” จากนั้นจะดำเนินการปิดบัญชีและนำหุ้นไปขายในราคาต่ำมากให้กับบัญชีของตนเอง

    ระหว่างที่ Alpine ดูดทรัพย์สินจากบัญชีของลูกค้า เจ้าของบริษัทก็ดึงเงินออกจาก Alpine ตัวอย่างเช่น Alpine ได้แก้ไขข้อตกลงวงเงินสินเชื่อมูลค่า 5 ล้านเหรียญกับบริษัทในเครือที่ Hurry เป็นเจ้าของโดยกำหนด ค่าธรรมเนียม 400,000 เหรียญต่อเดือน และดอกเบี้ยอัตรา 120% ต่อปีเมื่อมีการกู้ยืมเงิน FINRA กล่าวว่า โดยรวมแล้วมีการดึงเงินประมาณ 2.8 ล้านเหรียญออกจาก Alpine ในช่วงต้นปี 2019

    ในปี 2022 ก.ล.ต. ได้ยื่นฟ้องคดีทางแพ่งที่เกี่ยวข้องต่อศาลกลาง Nevada โดยให้เหตุผลว่า Alpine และผู้จัดการของบริษัท 2 คนได้ละเมิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ปี 2019 ซึ่งตอนนั้นพวกเขาระบุว่าบัญชีของลูกค้า 545 รายเป็นบัญชีที่มีสถานะ “ไม่เคลื่อนไหว” และถ่ายโอนหลักทรัพย์มูลค่า 54 ล้านเหรียญออกจากบัญชีเหล่านั้นไปยังบัญชีในความควบคุมของ Alpine โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ก.ล.ต. กล่าวว่า หลักทรัพย์เหล่านั้นได้รับการโอนคืนไปยังเจ้าของเพราะลูกค้าดำเนินการร้องเรียนและ FINRA เริ่มทำการสอบสวนผู้พิพากษาได้ปฏิเสธคำร้องของ Alpine ที่ขอให้ศาลยกฟ้องคดีนี้ซึ่ง Alpine อ้างเหตุผลว่าเป็นการเป็นฟ้องซ้ำ เนื่องจาก FINRA พยายามบังคับคดีไปแล้วและคำฟ้องไม่มีมูล เหตุเพียงพอเพราะได้มีการโอนคืนหลักทรัพย์แล้ว

    ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นก่อนการพิจารณาจะเริ่มขึ้น แม้ว่า Hurry และ Justine ภรรยาของเขาจะเป็นเจ้าของและเป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการบริษัทหลักทรัพย์แห่งนี้ แต่เขายืนกรานว่าได้เริ่มถอยจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2011 และไม่ได้ติดต่อกับลูกค้าหรือดำเนินการซื้อขาย 

    เขาบอกว่า ปัญหาก็คือเมื่อก่อนบรรดาหน่วยงานกำกับดูแล “จะเข้ามาอธิบายว่าคุณต้องแก้ไขอะไรบ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาตั้งหน้าที่จะดำเนินการฟ้องทันที” แม้ว่า Hurry จะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้คดีและได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ คน เช่น Barr อดีตอัยการสูงสุดของสหรัฐฯ แต่สถานะบริษัทของเขากำลังสั่นคลอนอย่างที่สุด

    เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2023 Depository Trust and Clearing Corporation (DTCC) องค์กรกำ กับดูแลตนเองอีกแห่งมีคำสั่งเพิกถอนสมาชิกภาพของ Alpine เนื่องจากมีอัตราเงินทุนขั้นต่ำไม่เพียงพอ ซึ่งหมายความว่าบริษัทอาจไม่มีความสามารถชำระการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ Hurry ยืนกรานว่า เขาได้เสนอแผนเพื่อจัดหาเงินทุนเพิ่มเติม ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้ระงับคำสั่งเพิกถอน สมาชิกภาพของ DTCC ไว้ระหว่างรอคำตัดสินอุทธรณ์ ดังนั้น Alpine จึงยังสามารถดำเนินธุรกิจได้อยู่ Hurry กล่าวว่า Scottsdale ซึ่งขณะนี้พักการดำเนินธุรกิจชั่วคราวกำลังมองหาช่องทางธุรกิจใหม่ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องง่าย

    อย่างไรก็ตาม FINRA ยังไม่หลุดพ้นจากประเด็นปัญหา เช่นกัน “ถ้า Alphine ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากธุรกรรมทางการเงินตามข้อกล่าวหาก็น่าจะมีคนสนใจจำนวนมากจนไม่ใช่เรื่องยากที่จะหา (ใครบางคน) มารับทำคดีเพื่อยื่นฎีกาต่อศาลสูงสุด เนื่องจากเป็นคดีดังและลักษณะการพิพาทของคดี” Benjamin Edwards อาจารย์จากวิทยาลัยกฎหมาย William S. Boyd School of Law แห่ง University of Nevada กล่าว สิ่งนี้นับเป็นประเด็นเชิงลบสำหรับหน่วยงานอันยิ่งใหญ่อย่าง FINRA งานนี้ยักษ์ใหญ่ผู้พิทักษ์กฎเกณฑ์อันชอบธรรมอาจถูกผู้ร้ายตัวเล็กๆ ที่ไม่เล่นตามกฎโค่นจนพ่ายแพ้ดั่งตำนาน David and Goliath



เรื่อง: SERGEI KLEBNIKOV และ MATT SCHIFRIN

เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา

ภาพประกอบ: NICOLÁS ORTEGA



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Manoj Punjabi เศรษฐีอินโดฯ ผู้ซื้อช่องทีวีขาดทุนเพื่อสร้างช่องที่เติบโต

อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine


TAGGED ON