คนส่วนใหญ่จะมองว่าบริษัทมหาชน MicroStrategy ของเศรษฐีพันล้าน Michael Saylor เป็นแค่การเสี่ยงทุ่มเงินเดิมพันก้อนยักษ์ลงไปกับบิตคอยน์ แต่ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่านี่คือผลงานชั้นครูที่กลายเป็นต้นแบบของการยักย้ายถ่ายเทเงินทุนแบบดั้งเดิมเพื่อเอามาใช้เก็บเกี่ยวผงเวทมนตร์ที่เป็นแรงผลักดันสำหรับพวกคลั่งคริปโต
คืนส่งท้ายปีเก่า ณ Villa Vecchia เป็นดังภาพฝันเลือนรางที่ฉาบด้วยสีส้มและทองราวกับเป็นฉากที่เคาะออกมาจากจินตนาการเลิศหรูอลังการในนิยายของ F. Scott Fitzgerald แขกกว่า 500 คนออกันอยู่บนสนามหญ้าที่ตัดแต่งอย่างดีของคฤหาสน์อายุนับศตวรรษริมหาด Miami Beach ที่มีห้องบอลรูมซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระราชวังแวร์ซาย และครั้งหนึ่งเคยต้อนรับบุคคลสำคัญทั้ง Margaret Thatcher, Henry Kissinger และ Mikhail Gorbachev
ราคาบิตคอยน์ซึ่งพุ่งทะลุ 100,000 เหรียญสหรัฐฯ ไปตั้งแต่ยังไม่เข้าปี 2025 คือเหตุผลที่ทำให้งานเลี้ยงนี้เกิดขึ้น พนักงานเสิร์ฟถือถาดเงินเสิร์ฟแชมเปญเดินขวักไขว่ ออเดิร์ฟทุกชิ้นประทับตราอักษรตัว B ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วงาน แดนเซอร์สวมชุดบอดี้สูทสีทองโดดเด้งไปกับลูกบอลเปล่งแสงสีส้มอันเป็นสีประจำตัวของบิตคอยน์ กลางสวนมีไพ่ใบมหึมาตั้งตระหง่าน หน้าของคิงบนไพ่ถูกแทนที่ด้วยอักษร B โดดเด่น
ปาร์ตี้นี้ขยายไปถึงกลางน้ำบนเรือซูเปอร์ยอช์ตยาว 154 ฟุต ชื่อ Usher เรือซึ่งเคยเข้าฉากในภาพยนตร์ปี 2015 เรื่อง Entourage ลำนี้ส่องแสงระยิบระยับตัดขอบเส้นฟ้าของ Miami รถรับส่งคนวิ่งเข้าออกไม่ขาดสายเพื่อมาส่งเหล่าผู้บริหารในวงการบิตคอยน์ อินฟลูเอนเซอร์ และแขกสำคัญที่สุดซึ่งก็คือ นักลงทุนสถาบัน ทุกคนแต่งกายแนว “บิตคอยน์ชิก” (สูทสีส้มพร้อมเครื่องประดับ วาววับที่มีโลโก้ตัว B) เครื่องฉายภาพตัวยักษ์ 2 เครื่องฉายคลิปที่ทำนายว่าราคาบิตคอยน์จะทะยานไปถึงหลายล้านเหรียญ ระหว่างที่ดีเจสวมหมวกนักบินอวกาศเปิดเพลงอัดเบสหนักๆ ท่ามกลางทิวมะพร้าวที่ไหวตามลม
Michael Saylor วัย 60 ปี เจ้าของ Villa Vecchia และเจ้าภาพงานนี้เดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยง เขาสวมเสื้อนอกสีดำ กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน และเสื้อยืดซึ่ง (แน่นอนว่า) มีอักษร B ที่หน้าอกซึ่งเป็นชุดประจำตัว เขาจับมือและถ่ายเซลฟี่กับเหล่าแขกด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ณ ที่แห่งนี้บิตคอยน์คือพระเจ้า และ Saylor คือศาสดา
คริปโตเปรียบเสมือนการกลับฟื้นคืนชีพของ Saylor ผู้เคยทำเงินได้แล้วก็สูญเงินไปกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญในช่วงที่ฟองสบู่ดอทคอมแตกรอบแรก ย้อนกลับไปตอนนั้น MicroStrategy เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ Tysons Corner รัฐ Virginia ซึ่งเขาร่วมก่อตั้งเมื่อปี 1989 หลังเรียนจบจาก MIT หมาดๆ บริษัทนี้ทำธุรกิจซอฟต์แวร์ทำเหมืองข้อมูลและระบบธุรกิจอัจฉริยะ ก่อนที่จะมีปัญหากับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรื่องแนวทางปฏิบัติด้านการบัญชี
ในปี 2000 บริษัทจ่ายค่าปรับเพื่อยอมความกับหน่วยงานรัฐบาลกลางและปรับผลประกอบการย้อนหลังใน 2 ปีหลังจากนั้น2 ทศวรรษต่อมา MicroStrategy ติดหล่มเพราะยอดขายไม่วิ่งและมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดก็อ้อยอิ่งอยู่แถวๆ 1 พันล้านเหรียญ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในปี 2020 เมื่อ Saylor ตัดสินใจว่านับจากนี้ไปกลยุทธ์หลักของ MicroStrategy คือ การทุ่มหมดหน้าตักกับบิตคอยน์
ในปีที่แล้วหลังจาก ก.ล.ต. อนุมัติให้ยักษ์ใหญ่อย่าง BlackRock และ Fidelity ทำกองทุน ETF ที่ลงทุนในบิตคอยน์ได้ ราคาของเงินคริปโตสกุลนี้จึงพุ่งเป็นจรวดเกินเท่าตัวในช่วง 12 เดือนจนทะลุ 100,000 เหรียญช่วงต้นเดือนธันวาคม ก่อนคริสต์มาสไม่นาน MicroStrategy ได้เข้าดัชนี Nasdaq 100 ทำให้หุ้นของบริษัทนี้ยิ่งเนื้อหอม ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเกิน 700% ในปีที่แล้วพร้อมกับที่บริษัทออกตราสารหนี้และซื้อบิตคอยน์มาตุนเพิ่มอีก (ปัจจุบันมีอยู่ 471,107 เหรียญ)
ตอนนี้บริษัทของ Saylor เป็นผู้ถือสินทรัพย์ดิจิทัลสกุลนี้รายใหญ่ที่สุด ถ้าไม่นับ Nakamoto ผู้ลึกลับ ซึ่งลือกันว่ามีบิตคอยน์อยู่ 1 ล้านเหรียญ ในปี 2024 ทรัพย์สินสุทธิของ Saylor โดดจาก 1.9 พันล้านเหรียญมาเป็น 7.6 พันล้านเหรียญ และในเดือนสุดท้ายก่อนปีใหม่ทรัพย์สินของเขาก็กลายเป็น 9.4 พันล้านเหรียญ
MicroStrategy ฟันกำไรตาแตกจนเล่นเอาเหล่านักวิจารณ์และนักขายชอร์ตนั่งไม่ติด เพราะพวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆ ที่ถือบิตคอยน์เป็นมูลค่าจริงแค่ 4.8 หมื่นล้านเหรียญกลับมีมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดถึง 8.4 หมื่นล้านเหรียญได้อย่างไร แต่สิ่งที่คนวิพากษ์วิจารณ์ Saylor ไม่เข้าใจคือ MicroStrategy เป็นเซียนในการเดินคร่อมเส้นแบ่งระหว่าง 2 ดินแดน ดินแดนแรกอิงกฎเกณฑ์ทางการเงินแบบดั้งเดิมที่มีบริษัทต่างๆ ออกตราสารหนี้และหลักทรัพย์มาให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ นักเทรด และนักลงทุนสถาบันอื่นๆ ซื้อขายกัน ส่วนดินแดนที่ 2 ปกครองโดยกลุ่มผู้มีศรัทธาแรงกล้าที่มองว่าโลกที่ดีกว่าเดิมนั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยบิตคอยน์
เชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของ MicroStrategy คือ การโอบกอดและใช้ประโยชน์จากความผันผวนอันเป็นลักษณะเด่นในสินทรัพย์หลักของบริษัท ความผันผวนคือสิ่งที่นักลงทุนแบบดั้งเดิมรังเกียจ แต่มันคือมหามิตรของนักเทรดออปชัน เฮดจ์ฟันด์ และนักเก็งกำไรรายย่อย ช่วยให้ MicroStrategy กลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่เคลื่อนไหวมากที่สุดในตลาด
บริษัทนี้มีรายได้ต่อปีแค่ 496 ล้านเหรียญซึ่งถือว่าน้อย แต่มีปริมาณการซื้อขายต่อวันสูสีกับ 7 หุ้นกลุ่มเทคใหญ่ระดับโลกและทรงอิทธิพล (Magnificent 7) ของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ (Meta, Apple, Alphabet, Microsoft, Amazon, Tesla และ NVIDIA)
“คนมองว่านี่มันบ้า” Saylor กล่าว “บริษัทเล็กแค่นี้มีสภาพคล่องระดับนี้ได้อย่างไร มันเป็นเพราะเราเอาเตาปฏิกรณ์คริปโตมาตั้งไว้กลางบริษัท ดูดเงินทุนเข้ามาหมุน ทำให้หลักทรัพย์มีความผันผวน ออปชันกับหุ้นกู้แปลงสภาพของเราถึงน่าสนใจและให้ผลตอบแทนดีที่สุดในตลาด”
Saylor พูดถูก 100% ที่ว่าใครๆ ก็อยากได้หุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 7.3 พันล้านเหรียญของบริษัทเขาซึ่งออกมาตั้งแต่ปี 2021 เพราะทุกนาทีในวันทำการซื้อขาย ราคาหุ้น MicroStrategy จะถูกดันแบบเรียลไทม์โดยราคาบิตคอยน์ที่หมุนติ้วไม่หยุด จนทำให้สิ่งที่เรียกว่าค่าความผันผวนแฝงยิ่งเพิ่มขึ้นสำหรับสิทธิการซื้อ (call option) ที่มาพร้อมกับหุ้นกู้แปลงสภาพของบริษัท นั่นเป็นเพราะว่าหุ้นกู้แปลงสภาพแตกต่างจากหุ้นกู้ธรรมดา หุ้นกู้ชนิดนี้มอบความอุ่นใจให้ผู้ถือเนื่องจากผู้ถือสามารถใช้สิทธิแปลงตราสารในมือเป็นหุ้นของ MicroStrategy ตามราคาที่ตั้งไว้ล่วงหน้าได้จนกว่าจะครบอายุ
นักเทรดทุกคนที่เคยเรียนสูตรคำนวณราคาออปชันของ Black-Scholes รู้ดีว่าถ้าค่าความผันผวนแฝงสูง มูลค่าของออปชันก็จะมากตามไปด้วย ดังนั้น Saylor จึงสามารถออกตราสารหนี้แปลงสภาพได้โดยแทบไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
ตราสารแปลงสภาพของ MicroStrategy ในปัจจุบัน 6 รายการที่จะครบอายุตั้งแต่ปี 2027-2032 มีอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 0-2.25% และเมื่อตลาดหุ้นกู้ที่เปิดขายให้สาธารณชนมีสภาพคล่องหดตัวมาตลอดตั้งแต่การลงทุนในตราสารหนี้นอกตลาดเริ่มบูม นักลงทุนสถาบันจึงโหยหาอัตราผลตอบแทนส่วนเกิน
หุ้นกู้ของ MicroStrategy ไม่เพียงเป็นหนึ่งในไม่กี่ช่องทางที่นักลงทุนรายใหญ่อย่าง Allianz บริษัทประกันสัญชาติเยอรมัน และ State Street จะสามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในหุ้นกู้ที่ทำผลงานดีเป็นอันดับต้นๆ ของตลาด โดยมีผลตอบแทนส่วนเกิน 250% นับตั้งแต่เริ่มออกขาย แม้แต่ตราสารมูลค่า 3 พันล้านเหรียญอายุ 5 ปีของ MicroStrategy ที่ออกมาเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว 0% และราคาใช้สิทธิ 672 เหรียญ (สูงกว่าราคาหุ้น MicroStrategy ณ ปัจจุบัน 80%) ก็ยังราคาขึ้น 89% ในช่วงไม่กี่เดือน
เรื่อง: Nina Bambysheva
เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง
ภาพ: Jamel Toppin
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Michael Strahan เพราะเวลาไม่เคยหยุด จากนักกีฬาสู่การสะสมนาฬิกาหรู