Sezzle ไม่ได้มีทุนหนาพอจะต่อกรกับคู่แข่งรายใหญ่ในธุรกิจ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” อย่าง Klarna และ Affirm ที่ยังคงมีผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทจึงเลือกมุ่งเป้าไปยังการทำกำไรให้เร็วขึ้น โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอัตราสูงจากผู้กลับมาใช้บริการซ้ำๆ แต่แล้วนักลงทุนฝั่งขายชอร์ตเริ่มหันมาเล็งเป้าโจมตี
อนาคตของ Sezzle ดูมืดมนในกลางปี 2022 บริษัทจาก Minneapolis แห่งนี้เป็นเพียงผู้เล่นที่ไม่ได้โดดเด่นรายหนึ่งท่ามกลางบรรดาบริษัทฟินเทคผู้ให้บริการสินเชื่อรูปแบบซื้อก่อน จ่ายทีหลัง ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทใช้จ่ายเงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านการนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียเมื่อปี 2019 และการเสนอขายหุ้นอีก 2 ครั้งรวมมูลค่า 115 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จนร่อยหรอเกือบหมด
ข้อตกลงกอบกู้กิจการที่ Sezzle วางแผนขายธุรกิจให้กับคู่แข่งก็ล่มไม่เป็นท่าพร้อมกับราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัทที่ดำดิ่ง และเมื่อบริษัทขนาดเล็กอย่าง Sezzle พยายามเซ็นสัญญากับร้านค้าปลีกรายใหญ่ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขที่ทำให้บริษัทแทบหมดโอกาสทำกำไร อันเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากบริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคแบ่งการชำระเงินออกเป็น 4 งวดด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% อาศัยเงินสนับสนุนที่ได้รับจากร้านค้า
ในขณะเดียวกันความสนใจของนักลงทุนในธุรกิจฟินเทคที่ยังไม่สามารถพลิกมามีกำไรก็ค่อยๆ จางหายไป จากที่เคยเฟื่องฟูในช่วงเริ่มต้นของสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ตามข้อมูลของ CB Insights ระบุว่า มูลค่าเงินทุนสนับสนุนจากผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุนในธุรกิจนี้ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 1.41 แสนล้านเหรียญทั่วโลกในปี 2021 เหลือเพียง 3.9 หมื่นล้านเหรียญในปี 2023
“เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงหายนะแห่งธุรกิจเทคโนโลยีเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น และ [นักลงทุน] มีความคิดว่า ‘เราต้องดูที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท’ แต่ปัจจัยพื้นฐานธุรกิจของเราไม่สู้ดีนัก” Charlie Youakim ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Sezzle วัย 47 ปี กล่าวถึงอดีต
เพื่อความอยู่รอด Charlie Youakim ตัดสินใจลดขนาดบริษัทลง เขาปิดสำนักงานในยุโรป อินเดีย และบราซิล พร้อมปลดจำนวนพนักงานทั่วโลกจาก 580 ตำแหน่ง เหลือ 240 ตำแหน่ง และเริ่มตัดความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่ไม่เอื้อต่อธุรกิจออกไป รวมทั้งประกาศลดพนักงานในบริษัทที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักของ Sezzle ลง 10%
ในการประมือกับคู่แข่งรายใหญ่กว่าและมีเงินทุนหนากว่าอย่าง Affirm จาก San Francisco และ Klarna บริษัทสัญชาติสวีเดน Youakim ไม่สามารถพึ่งพาการตัดลดค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวเพื่อให้บริษัทอยู่รอด และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำกำไรเขาจำเป็นต้องหาแหล่งรายได้และกลยุทธ์ใหม่ๆ และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จจากการมุ่งเป้าไปยังตลาดเฉพาะกลุ่มผู้ใช้งานที่มีอัตราใช้บริการซ้ำสูง
ในปี 2022 Sezzle เปิดตัวบริการสมาชิกรายเดือนสนนราคา 12.99 เหรียญ ซึ่งมุ่งเน้นไปยังผู้ใช้บริการซ้ำเหล่านี้ โดยเสนอสิทธิประโยชน์ เช่น การเข้าถึงร้านค้าจำนวนมากขึ้นและความยืดหยุ่นในการปรับตารางการผ่อนชำระ สำหรับผู้สมัครแพ็กเกจพิเศษ “Sezzle Anywhere” (เปิดตัวเดือนมิถุนายน ปี 2023) จะมีค่าบริการเดือนละ 17.99 เหรียญ และสามารถเลือกผ่อนชำระด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% เพื่อซื้อสินค้าทั้งที่ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมและร้านอาหารด้วยการดาวน์โหลดบัตร Visa เสมือนจริงไว้ในมือถือ โดยรวมแล้ว Sezzle มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 529,000 ราย สนนค่าบริการ 17.99 เหรียญต่อเดือนเทียบเท่ากับ 216 เหรียญต่อปี
ราคานี้นับว่าแพงเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการบัตรเครดิตหลายแห่งที่ไม่คิดค่าธรรมเนียมประจำปี และให้เครดิตเงินคืนจากการจับจ่ายซื้อสินค้าทุกครั้ง ทว่าผู้ใช้บริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง จำนวนมากมีคุณสมบัติไม่เข้าเกณฑ์ในการรับสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดจากบัตรเครดิต ผลการศึกษาล่าสุดจาก Consumer Financial Protection Bureau พบว่า บริการประเภทซื้อก่อน จ่ายทีหลัง ส่วนใหญ่เป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้มีเครดิตต่ำและผู้ใช้บริการซ้ำเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีภาระหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาและสินเชื่อส่วนบุคคลคงค้างนอกเหนือจากหนี้บัตรเครดิตสูงกว่าชาวอเมริกันทั่ัวไป ปัจจุบัน 3 ใน 4 ของผู้ใช้ Sezzle คือ กลุ่มคนรุ่นเจน Z หรือ Millennials
มาลองพิจารณาข้อเสนอของ Sezzle ซึ่งได้รับคะแนนรีวิวหลากหลายในโลกออนไลน์ในอีกแง่มุมหนึ่ง บัตรเครดิตในปัจจุบันคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยต่อปีที่ 21.5% (อย่างไรก็ดีผู้ที่มีคะแนนเครดิตต่ำจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูงกว่า) เมื่อคำนวณจากค่าเฉลี่ยดังกล่าวผู้มียอดค้างชำระบัตรเครดิต 1,000 เหรียญจะต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 216 เหรียญ ทั้งนี้ Sezzle ไม่ได้เปิดเผยยอดคงเหลือค้างชำระของผู้ใช้บริการ (น่าประหลาดใจที่บริษัทไม่ได้จำกัดวงเงินสินเชื่อสำหรับสมาชิกแต่ละราย โดยบริษัทกล่าวว่า การซื้อสินค้าแต่ละครั้งจะถูกประเมินแยกจากกัน)
จะเห็นได้ว่า 216 เหรียญนับเป็นอัตราที่สูงสำหรับผู้ใช้บริการน้อยครั้ง แต่สำหรับกลุ่มผู้ใช้งาน Sezzle Anywhere บ่อยก็อาจจะคุ้มค่า ทั้งนี้ผู้ใช้บริการของบริษัทบ่อยที่สุด 10% แรกจะทำธุรกรรมโดยเฉลี่ย 10 ครั้งต่อเดือน
การคิดค่าบริการสมาชิกช่วยเพิ่มรายได้ให้กับ Sezzle อย่างต่อเนื่อง คิดเป็นราว 33% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 และ Sezzle สามารถทำกำไรติดต่อกันมามากกว่า 2 ปีแล้ว ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 บริษัทรายงานตัวเลขกำไรสุทธิ 53 ล้านเหรียญ (คิดเป็นกำไรต่อหุ้นแบบปรับลด 8.94 เหรียญ) ขณะที่รายได้เติบโต 57% เป็น 173 ล้านเหรียญ
ในทางตรงกันข้าม Affirm ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อมกราคม ปี 2021 มีผลการดำเนินงานขาดทุน 279 ล้านเหรียญจากรายได้ 1.9 พันล้านเหรียญในช่วง 9 เดือนของปีเดียวกัน ส่วน Klarna ซึ่งกำลังเตรียมตัวเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ขาดทุน 10 ล้านเหรียญจากรายได้ 1.8 พันล้านเหรียญในช่วงเวลาเดียวกัน แต่พลิกกลับมามีกำไรในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้บริษัทเริ่มให้บริการรูปแบบสมาชิกในตลาดสหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านมา
ทั้งฝ่ายสนับสนุนและผู้ที่มีความกังขาเริ่มหันมาให้ความสนใจ ราคาหุ้น Sezzle ซึ่งจดทะเบียนในตลาดNasdaq เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2023 พุ่งขึ้นถึง 2,000% ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 อย่างไรก็ตามราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลง 44% จากระดับสูงสุดซึ่งรวมถึงการร่วงลง 23% เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมปีที่ผ่านมาเมื่อ Hindenburg Research บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการขายชอร์ตหุ้นออกรายงานโจมตี Sezzle ว่า เป็นแพลตฟอร์มที่ “ล้มเหลว” ซึ่ง “โดนทิ้งห่างอย่างไม่เห็นฝุ่น” จากคู่แข่งรายใหญ่กว่า และ “รายงานตัวเลขที่ดีเกินจริงด้วยกลวิธีที่เห็นผลในระยะสั้น” เมื่อไม่นานมานี้ราคาหุ้นของ Sezzle มีการซื้อขายที่ประมาณ 240 เหรียญต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 1.3 พันล้านเหรียญ ทำให้การถือครองหุ้นในสัดส่วน 44% ของ Youakim มีมูลค่าเกือบ 600 ล้านเหรียญ
ข้อมูลจาก Hindenburg ระบุว่า ร้านค้าที่รับชำระเงินผ่าน Sezzle มีจำนวนลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี 2021 มาอยู่ที่ 23,000 ราย ขณะที่ลูกค้าที่มีสถานะการใช้งานปกติลดลง 20% เหลือ 2.7 ล้านราย “เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่การรักษาจำนวนผู้ใช้งานให้อยู่ในระดับสูงเพื่อให้ตัวเลขทางการเงินออกมาดูดี ผมเรียกมันว่า ตัวชี้วัดที่ไม่มีประโยชน์ ตัวชี้วัดที่สำคัญคือ ข้อมูลที่สะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แท้จริง” Youakim กล่าว พร้อมชี้ถึงการเติบโตทั้งด้านรายได้และกำไรของ Sezzle
บริษัทนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพแห่งแรกของ Youakim เขาเกิดและเติบโตในรัฐ Minnesota (พ่อของเขาคือผู้อพยพชาวปาเลสไตน์) เขาจบการศึกษาจาก University of Minnesota ในปี 1999 สาขาวิศวกรรมเครื่องกล และมีความสามารถด้านการเขียนโปรแกรม เขาใช้ชีวิตช่วงวัย 20 กว่าทำงานให้กับบริษัทซอฟต์แวร์ด้านการจัดการที่จอดรถ หลังจากนั้นกลับไปเรียนต่อสาขา MBA ที่ University of Minnesota ในปี 2008 เขาจบการศึกษาในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่และพบว่าโอกาสในการหางานมีจำกัดจึงหันมาก่อตั้งธุรกิจให้บริการระบบเก็บเงินค่าจอดรถผ่านโทรศัพท์มือถือชื่อว่า Passport ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Charlotte รัฐ North Carolina ร่วมกับลูกพี่ลูกน้อง บริษัทดังกล่าวประสบความสำเร็จ แต่พี่น้องเกิดปัญหาขัดแย้ง Youakim จึงถูกกดดันให้ออกจากบริษัทในช่วงปลายปี 2015
ด้วยความต้องการที่จะอยู่ในธุรกิจด้านการชำระเงินเช่นเดิม ในปี 2016 เขาได้ก่อตั้ง Sezzle ร่วมกับ Paul Paradis เพื่อนสมัยเรียนหลักสูตรธุรกิจที่ต้องการทำงานที่ Minnesota พวกเขาได้รับเงิน 1.8 ล้านเหรียญ จากการระดมทุนระยะเริ่มต้นธุกิจ (seed round) และในปี 2017 ได้เปิดตัวบริการที่มุ่งลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมสำหรับร้านค้า
เมื่อบริการดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ Youakim ได้รับแรงบันดาลใจจาก Afterpay สตาร์ทอัพผู้ให้บริการสินเชื่อรูปแบบซื้อก่อน จ่ายทีหลัง สัญชาติออสเตรเลีย (Afterpay เริ่มบุกตลาดสหรัฐฯ ในปี 2018 และถูกซื้อกิจการไปโดย Block ในปี 2022)
เมื่อ Afterpay, Affirm และ Klarna เปิดให้บริการอยู่แล้วในตลาด นักลงทุนธุรกิจเงินร่วมลงทุนจึงไม่สนใจสนับสนุน Sezzle ดังนั้น Youakim จึงขายสัดส่วนหุ้นของตนใน Passport ให้กับ Bain Capital Ventures ด้วยมูลค่าประมาณ 12 ล้านเหรียญ (เขากล่าวว่า เป็นราคาที่มีส่วนลดมหาศาล) และนำเงิน 8 ล้านเหรียญไปลงทุนในบริษัทใหม่ของเขา ซึ่งเป็นเงินทั้งหมดที่เขามีในกระเป๋าหลังจ่ายภาษี นักวิเคราะห์ชี้แนะให้เขานำเสนอข้อมูลธุรกิจต่อนักลงทุนในออสเตรเลีย ซึ่งการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อย และได้นำไปสู่การเสนอขายหุ้น IPO ในปี 2019 ด้วยมูลค่าระดมทุน 30 ล้านเหรียญ
แม้ว่า Sezzle จะกลายเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แต่ก็ยังตามหลังคู่แข่งอยู่หลายขุม ในปี 2019 Affirm ได้ระดมทุนทั้งในรูปแบบตราสารหนี้และตราสารทุนรวมกัน 1.1 พันล้านเหรียญจากมูลค่าประเมินบริษัทที่ 2.9 พันล้านเหรียญ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความสนใจเมื่อ Max Levchin เป็นผู้นั่งแท่นบริหารในฐานะซีอีโอ เขาคือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ตั้งแต่ยุคแรกร่วมกับ Elon Musk, Peter Thiel และ Reid Hoffman ซึ่งเป็นเหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่ง Silicon Valley (ปัจจุบันมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ Affirm อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านเหรียญ และ Levchin ถือครองหุ้น 10%)
ในปี 2020 Youakim พยายามเป็นครั้งแรกที่จะทำให้ Sezzle แตกต่างจากคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดด้วยทางเลือกบริการแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะส่งข้อมูลการชำระหนี้ของผู้ใช้งานให้กับหน่วยงานศูนย์กลางข้อมูลเครดิต (Experian, Equifax และ TransUnion) เพื่อสร้างประวัติสินเชื่อ โดยปกติแล้วผู้ให้บริการซื้อก่อน จ่ายทีหลังจะไม่มีการรายงานข้อมูลสินเชื่อไปยังหน่วยงานศูนย์กลางข้อมูลเครดิต ยิ่งไปกว่านั้นการรายงานข้อมูลอาจทำให้คะแนนเครดิตของผู้ซื้อลดลง หากดูเหมือนว่าพวกเขาทำการกู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคลจำนวนมาก Sezzle แก้ปัญหานี้ด้วยการรวบรวมข้อมูลธุรกรรมของผู้ใช้งานในแต่ละเดือนและรายงานเป็นวงเงินสินเชื่อก้อนเดียว (เหมือนบัตรเครดิต)
การรายงานข้อมูลสินเชื่อไม่เพียงพอที่จะทำให้ Sezzle โดดเด่นจากคู่แข่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 บริษัทเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องอีกครั้ง ราคาหุ้นของ Sezzle ร่วงลง 80% ในช่วงเวลา 1 ปีเหลือเพียง 2 เหรียญต่อหุ้น ระหว่างที่อัตราหนี้เสียพุ่งสูงขึ้นและมีคำกล่าวหาจากผู้จัดการกองทุนท้องถิ่นที่อ้างว่า Sezzle ปกปิดข้อมูลเชิงลบของบริษัท ในช่วงนั้นเป็นจังหวะที่ Sezzle วางแผนขายกิจการให้กับ Zip คู่แข่งสัญชาติออสเตรเลียด้วยราคา 300 ล้านเหรียญ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจบลงด้วยความล้มเหลวในอีก 5 เดือนถัดมา
ประเด็นหนึ่งที่ Hindenburg ตั้งข้อสังเกตคือ การมุ่งเป้าผลักดันผู้ใช้งานประเภทสมัครสมาชิกส่งผลให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ลูกค้า
ของ Sezzle เพิ่มขึ้นจาก 1.2% ในปี 2022 เป็น 2.3% ในไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา ทางด้าน Youakim ได้ออกมาแย้งว่า อัตราผิดนัดชำระที่เพิ่มขึ้นเป็นผลลัพธ์ที่เลี่ยงไม่ได้จากการเติบโตของธุรกิจ ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ผู้ใช้บริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง มีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ต่ำกว่าผู้ใช้งานบัตรเครดิต เนื่องจากผู้ให้บริการอย่าง Sezzle กำหนดให้ผู้กู้ยืมต้องตั้งค่าการชำระเงินคืนผ่านระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการตัดเงินผ่านบัญชีธนาคารหรือเรียกเก็บผ่านบัตรเครดิต กล่าวคือ บริษัทผู้ให้บริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง จะถ่ายโอนความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ส่วนหนึ่งไปยังผู้ให้บริการบัตรเครดิต
Hindenburg ซึ่งปิดตัวลงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้หยิบยกประเด็นกังวลอื่นๆ เกี่ยวกับ Sezzle ขึ้นมาด้วย หนึ่งในนั้นคือ การที่
Youakim นำหุ้นส่วนใหญ่ของเขา (ประมาณ 1.7 ล้านหุ้น รวมมูลค่าราว 400 ล้านเหรียญ) ไปวางเป็นหลักประกันสำหรับกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ Youakim ยืนยันว่าเขากู้ยืมเงินในสัดส่วนเล็กน้อยจากจำนวนดังกล่าว และเขาเพียงต้องการสภาพคล่องทางการเงินส่วนบุคคลเนื่องจากเขายังไม่เคยขายหุ้นแม้แต่หุ้นเดียว เขาเล่าว่า ตนเองเป็นคนประหยัดทั้งในด้านส่วนตัวและการทำธุรกิจ ขณะอยู่ที่
Minnesota เขาไม่ได้ใช้รถยนต์และส่วนใหญ่เดินทางไปสำนักงาน Sezzle ด้วยการเดินเท้าไปกลับเที่ยวละ 2 ไมล์ครึ่ง และยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมที่เขาซื้อตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท
หลังจากใช้จ่ายเงินในการทำการตลาดและโฆษณาเพียง 4.4 ล้านเหรียญในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 Sezzle ตัดสินใจจัดสรรงบประมาณด้านนี้มากขึ้น ในเดือนสิงหาคมบริษัทตกลงเซ็นสัญญามูลค่า 5 ล้านเหรียญต่อปีที่มีระยะเวลาผูกพัน 3 ปี เพื่อโฆษณาชื่อ Sezzle และโลโก้สีรุ้งของบริษัทบนเสื้อบาสเกตบอลทีม Minnesota Timberwolves นอกจากนี้ หนึ่งในเงื่อนไขของการจ่ายเงินเป็นสปอนเซอร์ยังรวมถึงที่นั่งติดขอบสนาม 4 ที่นั่งสำหรับทุกเกมเหย้าของทีมเพื่อใช้ต้อนรับให้ความบันเทิงพันธมิตรและผู้ลงทุนในบริษัท
“เรารู้ว่าถึงเวลาที่เราต้องทำอะไรน่าตื่นเต้นมากขึ้น” Paradis เพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งของ Youakim กล่าว “เราไม่ได้เป็นแค่ผู้เล่นในตลาดระดับภูมิภาค” Youakim กล่าว “เรามุ่งหวังจะสร้างชื่อในระดับประเทศ”
เรื่อง: Hang Tucker เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา
ภาพ: Nate Ryan
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : จักรวาลใหม่ใต้เงา Trump เปิดสายสัมพันธ์แห่งอำนาจเบื้องหลังเวทีการเมืองสหรัฐฯ