Shalom Meckenzie ได้เงิน 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการควบรวมบริษัทซอฟต์แวร์การพนันของเขากับ DraftKings และคราวนี้เขากำลังเสี่ยงดวงกับ Amp สตาร์ทอัพครื่องออกกำลังกายในบ้าน แม้เดิมพันครั้งนี้อาจชนะยาก แต่เขาก็มีเหตุผลดีพอให้ลองเสี่ยง
เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2020 Shalom Meckenzie เล่นไพ่โป๊กเกอร์กับกลุ่มพนักงานของเขาบนเรือยอช์ตยาว 192 ฟุต นอกชายฝั่งกรีซในทริปฉลองการควบรวมกิจการระหว่าง SBTech บริษัทซอฟต์แวร์การพนันของเขา ซึ่งก่อตั้งในเขตปกครองตนเอง Isle of Man กับ DraftKings เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านบริษัทในรูปแบบ SPAC ตามข้อตกลงมูลค่า 975 ล้านเหรียญที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และ Meckenzie ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ DraftKings ก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านในเดือนพฤษภาคมปีนั้น เมื่อราคาหุ้นทะลุ 25 เหรียญ ระหว่างการเล่นโป๊กเกอร์เขาพนันเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาเสียเงินหลายแสนเหรียญ แต่ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างธุรกิจใหม่ด้วย
ผู้บริหารสายผลิตภัณฑ์คนหนึ่งของเขาในบัลแกเรียหนัก 280 ปอนด์ แต่ไม่เคยมีแรงกระตุ้นให้อยากลดน้ำหนัก Meckenzie ซึ่งกำลังคึกเพราะความสำเร็จจึงท้าเดิมพันก้อนใหญ่ "ผมบอกเขาว่าถ้าภายในวันที่ 1 มกราคม น้ำหนักคุณเหลือไม่ถึง (220 ปอนด์) ผมจะพาคุณไปล่องเรือยอช์ต 300 ฟุตที่ทะเลแคริบเบียน แล้วให้คุณเลือกว่าจะพาใครไปล่องเรือด้วยบ้าง รับรองว่าได้มันสุดในชีวิตทั้งอาทิตย์แน่นอน" Meckenzie วัย 48 ปี เล่าในการให้สัมภาษณ์จากโฮมออฟฟิศของเขา ณ ชาน Tel Aviv ของอิสราเอล
Ian Bradley พนักงานคนนั้นรับคำท้า และผู้บริหารคนอื่นๆ บนเรือรู้ว่าถ้าเพื่อนร่วมงานชนะพนันพวกเขาก็ต้องได้รับเชิญไปเที่ยวด้วยจึงตัดสินใจช่วยเพื่อนลดน้ำหนัก เมื่อกลับไปบัลแกเรียพวกเขาเอาจักรยานออกกำลังมาตั้งในห้องนั่งเล่นบ้าน Bradley ขนอาหารขยะในตู้ไปทิ้ง และจ้างเชฟกับเทรนเนอร์ส่วนตัวให้เขาโดยบอกเทรนเนอร์ว่า ถ้า Bradley ลดน้ำหนักได้ 60 ปอนด์ภายใน 2 เดือน เทรนเนอร์จะได้รางวัลอย่างงาม ในที่สุดเขาก็ลดน้ำหนักได้จริงและชนะพนัน
"มันเป็นการแพ้พนันที่ดีที่สุดในชีวิตผม" Meckenzie กล่าว เขาเป็นคนรูปร่างดีมากไม่ว่าจะเทียบกับคนอายุเท่าไร แม้เขาจะอายุเกือบ 50 ปีแล้วก็ตาม Meckenzie พา Bradley และเพื่อนอีก 10 คนขึ้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไป Dubai พักโรงแรม 5 ดาว และปาร์ตี้ 5 วันรวด "ผมว่าสรุปแล้วจ่ายแพงกว่าไปแล่นเรือยอช์ตที่แคริบเบียนเยอะเลย" Meckenzie เล่าพลางหัวเราะ
การเดิมพันระหว่างมิตรสหายกลายเป็นเครื่องพิสูจน์แนวคิดให้ Meckenzie ก่อตั้งบริษัทใหม่ล่าสุดของเขา Amp Fitness ใน New York City เขาไม่ใช่คนแรกที่คิดว่าการออกกำลังกายในบ้านน่าจะเป็นธุรกิจใหญ่ได้ โมเดลธุรกิจของ Amp แทบจะเหมือนกันเป๊ะกับบริษัทเครื่องออกกำลังกายอีกเป็นโขยงที่ล้มเหลวไปแล้ว หรือกำลังล้มลุกคลุกคลานอย่าง Tonal, Peloton และ Miror นั่นคือการขายเครื่องออกกำลังกายแพงๆ ให้คนรวย จ้างเทรนเนอร์ชื่อดังมาเยอะๆ เก็บ "ข้อมูล" แล้วก็ภาวนาให้บริษัทหาเงินจากการขยายไปสู่ตลาดข้างเคียงที่ทำกำไรสูงกว่า (โภชนาการเฉพาะบุคคล ค่าสมาชิกรายเดือน และเสื้อผ้า) ได้สำเร็จก่อนที่ลูกค้าจะเบื่อและหนีไป ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จจากโมเดลนี้ แต่ Meckenzie ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ออกเงินลงทุนส่วนใหญ่ให้บริษัทเองก็ยังไม่คิดจะหยุด
Amp คือ เครื่องออกกำลังกายติดผนังที่หน้าตาเหมือนเครื่องออกกำลังกายแบบเคเบิลครอสโอเวอร์ซึ่งพบได้ในยิมทั่วไป แต่มันเป็นเครื่องสไตล์มินิมอลที่ขายในราคา 2,000 เหรียญ ส่วนการใช้บริการเทรนเนอร์ (ทั้ง AI และมนุษย์) ผ่านแอปมีค่าบริการเดือนละ 23 เหรียญ แต่ Amp ไม่มีหน้าจอ (ผู้ใช้งานล็อกอินผ่านอุปกรณ์ของตัวเอง) ทำให้ราคาเริ่มต้นถูกกว่า Tonal ประมาณครึ่งหนึ่ง

Amp ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมกราคมจ้างอินฟลูเอนเซอร์สายฟิตเนสและเซเล็บเบอร์เล็ก 10 กว่าคนมาเป็นเทรนเนอร์ คนดังที่สุดในกลุ่มนี้คือ Tery Crews พิธีกร America's Got Talent ซึ่งมีผู้ติดตาม 14 ล้านคนใน Instagram
ทั้งหมดที่ว่ามานั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ และจะให้บอกว่าเป็นไอเดียที่ดีก็ยังพูดลำบาก เพราะตลาดอุปกรณ์ฟิตเนสในบ้านที่เชื่อมต่อผ่านแอปเป็นตลาดที่มีการแข่งขันแบบสุดๆ และอิ่มตัวมากแล้ว ตลาดนี้เคยเฟื่องฟูในช่วงโควิดระบาด แต่ทุกวันนี้เต็มไปด้วยซากบริษัทที่เคยได้เงินทุนเยอะกว่าและเข้าสู่ตลาดเร็วกว่า Amp อย่างมาก
Tonal ซึ่งมี LeBron James และ Serena Williams สนับสนุน ระดมทุนได้ 250 ล้านเหรียญ ด้วยมูลค่าประเมิน 1.6 พันล้านเหรียญเมื่อ 4 ปีก่อน แต่บริษัทก็ใช้เงินหมดไปอย่างรวดเร็วและจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มอีก 130 ล้านเหรียญด้วยมูลค่าประเมินตามรายงานอยู่ที่ 600 ล้านเหรียญในปี 2023 คิดเป็นมูลค่าที่หดหายไปจากเดิมประมาณ 63%
Hydrow บริษัทผลิตเครื่องกรรเชียงบกในเมือง Boston ที่ได้เงินลงทุนจาก Justin Timberlake ปลดพนักงานออกไปแล้ว 2 รอบ แต่กล่าวว่าตอนนี้บริษัทมีกำไรแล้ว ส่วน Miror ขายกิจการให้ Lululemon ไปด้วยด้วยราคา 500 ล้านเหรียญเมื่อปี 2020 ก่อนจะถูกปิดไปใน 3 ปีต่อมา
Peloton บริษัทขายจักรยานออกกำลังและลู่วิ่งที่เชื่อมต่อกับแอปประสบความสำเร็จที่สุดในกลุ่มนี้ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการรายเดือน 3 ล้านคน และมีอัตราการเลิกใช้บริการต่ำจนน่าอิจฉาแค่ 1.4% ต่อเดือน แต่บริษัทก็ยังจมอยู่กับภาวะขาดทุน ปีที่แล้ว Peloton ขาดทุน 552 ล้านเหรียญจากรายได้ 2.7 พันล้านเหรียญ บริษัทนี้เคยมี EBITDA เป็นบวกเล็กน้อย 3.5 ล้านเหรียญในปี 2024 แต่กว่าจะมีกำไรก็ต้องใช้เวลาเกินทศวรรษ และขาดทุนมาแล้วหลายพันล้านเหรียญ ต้องเรียกคืนผลิตภัณฑ์หลายครั้ง จ้างซีอีโอคนใหม่ และเลิกจ้างพนักงานไปหลายร้อยคน ปัจจุบันราคาหุ้นของ Peloton ลดลง 96% จากจุดสูงสุดในช่วงโควิดระบาดเมื่อเดือนมกราคม ปี 2021 Peter Stern ซีอีโอของ Peloton ยอมรับว่า บริษัทนี้ "ยังต้องขึ้นเนินอีกไกล"
ในการรายงานผลกำไรไตรมาสที่แล้ว Alex Alimanestionu ซึ่งเป็นอดีตซีอีโอของ Town Sports international บริษัทแม่ของ New York Sports Clubs และปัจจุบันเป็นนักลงทุนในธุรกิจฟิตเนส เชื่อว่าอุตสาหกรรมฟิตเนสในบ้านจะไปรอด แต่เขากล่าวว่าตลาดนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น "ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นของไร้สาระนะ แต่ผมมองว่าทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ที่อยากออกกำลังกายในบ้านเขาก็มีอุปกรณ์แบบเดิมที่ใช้ดีอยู่แล้ว" เขากล่าว "ผมรู้สึกว่าเครื่องออกกำลังกายอัจฉริยะก็เหมือนเครื่องใช้ยี่ห้อ Sharper Image ดีไซน์สวย ดูเท่ แต่ไม่ได้จำเป็นอะไร"
Simeon Siegel นักวิเคราะห์จาก BMO Capital Markets ซึ่งวิเคราะห์ Peloton กล่าวว่า อุตสาหกรรมฟิตเนสเป็น "ภาคธุรกิจที่อยู่ยากมาก" เพราะเต็มไปด้วยผู้บริโภคประเภทรักง่ายหน่ายเร็ว แต่การออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ ขยายการผลิต ดึงดูดลูกค้า และรักษาลูกค้าไว้นั้นมีต้นทุนสูง
"Peloton เคยเชื่อว่าพวกเขาจะเติบโตอย่างไม่สิ้นสุด" Siegel กล่าว เขาเชื่อว่า Peloton กำลังหาทางกลับมา "พวกเขาเชื่อว่าถ้าทำของดีลูกค้าจะมาเอง แต่ในความจริงแล้วตลาดผู้ชมที่นอนดู Netflix มีขนาดแตกต่างจากตลาดกลุ่มคนที่ชอบปั่นจักรยานหรือวิ่งบนลู่อย่างมาก"
ยิ่งคนอื่นมองในแง่ร้าย Meckenzie กลับยิ่งฮึดสู้ "ตอนผมเริ่มก่อตั้ง SBTech มีหลายคนบอกผมว่า ‘Shalom นายมันโง่ นายจะใช้ทั้งเงินที่นายมีและ (เงิน) ที่นายไม่มีจนหมดแล้วทำให้ตัวเองกับครอบครัวต้องลำบาก’" เขาเล่า "เวลาโดนดูถูกผมยิ่งมีแรงฮึด"
Forbes ประเมินว่า Amp ซึ่ง Meckenzie ก่อตั้งในปี 2020 มียอดติดตั้งเครื่องรุ่นแรกถึง 10.000 เครื่องแล้วเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีลูกค้าอยู่ในรัฐ California, Florida, New York และ New Jersey และมีรายได้ประมาณ 20 ล้านเหรียญ บริษัทมีเป้าหมายจะขายให้ได้ 20,000 เครื่องภายในปีนี้ และขายให้ได้มากกว่านั้นมากกว่าเท่าตัวภายในสิ้นปี 2026 Meckenzie กล่าวว่า เขาจะให้บริษัทโตช้าๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกคืนผลิตภัณฑ์อย่างที่ Peloton โดนมาแล้ว และเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าชุดแรกจะพึงพอใจและได้รับบริการที่ดี
"อุปสงค์มีเยอะมาก ผมรู้สึกได้ว่าเรากำลังสร้างธุรกิจใหญ่เบิ้ม ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้ามันจะใหญ่กว่า DraftKings มาก" Meckenzie กล่าวโดยไม่ได้ล้อเล่น
เขานำเงินส่วนตัวมาลงทุนกับ Amp ประมาณ 50 ล้านเหรียญ ครอบครัวและเพื่อนๆ ของเขาร่วมลงด้วยอีกหลายล้าน Meckenzie รู้ว่าเงินแต่นี้ถือว่าน้อยมากถ้าจะใช้ขยายกิจการบริษัทขายฮาร์ดแวร์ แต่เขาไม่เห็นด้วยที่ใครจะมองว่า Amp เป็นบริษัทขายฮาร์ดแวร์ เพราะเขาเชื่อว่านี่คือบริษัทข้อมูลและการดูแลสุขภาพ และกล่าวว่า เขากำลังคิดเรื่องการระดมทุนรอบซีรี่ส์ A แต่การหาผู้ร่วมลงทุนอาจจะเป็นเรื่องยากหน่อย เพราะข้อมูลของ Crunchbase ชี้ว่า เงินลงทุนรวมของทั้งวงการนี้ลดลงจากจุดสูงสุด 6 พันล้านเหรียญในปี 2021 จนเหลือไม่ถึง 2 พันล้านเหรียญในปี 2023
แต่ Meckenzie ผู้เกิดใน Tel Aviv 1976 มีเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้อยากเดิมพันครั้งใหญ่กับวงการฟิตเนส ตอนเขาอายุ 18 ปี พ่อของเขาซึ่งเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชาวลิเบียเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเมื่ออายุ 59 ปี "เรื่องนั้นพลิกชีวิตผมไปเลย" เขาเล่า
หลังจากเป็นทหารสังกัดเหล่าส่งกำลังบำรุงในกองกำลังป้องกันอิสราเอลได้ 3 ปี Meckenzie ตั้งบริษัทการพนันกีฬาออนไลน์ชื่อ 10Bet ร่วมกับหุ้นส่วนอีกคนในปี 2001 เขารู้ว่าบริษัทของเขาแข่งกับพวกรายใหญ่ในวงการไม่ไหว 10Bet จึงเน้นการให้อัตราต่อรองที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า แต่ก็ดึงดูดมาได้แต่พวกเซียนพนันจนสตาร์ทอัพรายนี้เกือบล้มละลาย (ในที่สุด Meckenzie ก็ขาย 10Bet ให้น้องชายซึ่งยังบริหารบริษัทนี้อยู่)
ในปี 2007 เขาเปลี่ยนทิศทางมาขายซอฟต์แวร์ที่บริษัทของเขาพัฒนาขึ้นสำหรับใช้กำหนดอัตราต่อรอรอง บริหารบัญชี และรวมระบบชำระเงิน โดยตั้งชื่อบริษัทใหม่ว่า SBTech และขายซอฟต์แวร์ให้บริษัทการพนันทั่วโลก ก่อนที่จะควบรวมกิจการกับ DraftKings แล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์ในรูปแบบบริษัท SPAC
เมื่อเดือนเมษายนปี 2020 นั้น SBTech มีรายได้ปีละราว 110 ล้านเหรียญ มีพนักงานเกือบ 1,300 คน และมีลูกค้ารวมถึงบริษัทลอตเตอรีในเดนมาร์ก สนามม้า Churchill Downs กาสิโน Golden Nugget และผู้ทำธุรกิจการพนันในตลาดสีเทาทั่วโลก
ณ อะพาร์ตเมนต์ขนาด 10.500 ตารางฟุต ราคา 50 ล้านเหรียญของ Meckenzie ที่ Billionaires’ Row ในย่าน Midtown Manhattan เขาให้แขกได้ชมภาพ NFT ชื่อ CryptoPunk “Covid Alien” ที่เขาซื้อมาประมาณ 12 ล้านเหรียญผ่านหน้าจอทีวี และชมวิว Central Park ผ่านหน้าต่างชั้นที่ 50 กว่า การเดิมพันครั้งใหญ่กับซอฟต์แวร์การพนันช่วยให้เขาได้ครอบครองห้องที่มีระเบียงมองเห็นวงเวียน Columbus Circle และสระว่ายน้ำส่วนตัว แต่ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงที่ New York ในวันนี้ Meckenzie เดิมพันว่าเขาจะสร้างธุรกิจให้คนติดหนึบได้ไม่แพ้การพนันกีฬา แต่ไม่ทำลายชีวิตใคร
“คนติดการพนันอาจจะเสียเงินเยอะแยะจนจ่ายไม่ไหว” เขากล่าว “แต่คนติดการออกกำลังกายหนักที่สุดก็แค่เจ็บตัว”
เรื่่อง: Will Yakowicz เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง
ภาพ: Jamel Toppin
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Sezzle นักล่าแห่งวงการสินเชื่อ