นักไวรัสวิทยา Michael Taylor ทำงานอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง และภารกิจที่ว่านั้นก็คือ คัดสรรหุ้นกลุ่มสุขภาพ
Adam Smith เคยกล่าวไว้ว่า “ผมไม่เคยเห็นคนที่อ้างตัวเองว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจะทำประโยชน์อะไรได้มากนัก” บางทีเขาคงจะต้องยกเว้นกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อย่าง Simplify Health Care ซึ่งคิดค่าธรรมเนียม 0.5% และเมื่อหักค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการแล้ว รายได้จากค่าธรรมเนียมทั้งหมดจะบริจาคให้กับมูลนิธิ Susan G. Komen Breast Cancer Foundation โดยที่ Michael F. Taylor ผู้จัดการกองทุนไม่ได้รับเงินเดือนแม้แต่น้อย
ธุรกิจเอกชนที่ยกผลกำไรทั้งหมดให้กับการกุศลแต่ยังคงประสบความสำเร็จในการดำเนินกิจการไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ ธุรกิจแบรนด์อาหารของ Newman’s Own เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่ง พวกเขาบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กๆ ไปแล้ว 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยิ่งเป็นที่ Wall Street ซึ่งยึดมั่นในคำขวัญที่ว่า “ยิ่งโลภยิ่งดี” ด้วยแล้ว การทำธุรกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อการกุศลยิ่งดูไม่เข้ากับบรรยากาศเท่าไรนัก
“นี้คือกองทุน ETF กองแรกที่สร้างประโยชน์ได้อย่างแท้จริง” Taylor วัย 52 ปีคุยฟุ้ง เขาเกษียณอายุจากเส้นทางอาชีพสายกองทุนป้องกันความเสี่ยงด้วยความมั่งคั่งตั้งแต่ก่อนถึงวัย “ผมโชคดีที่ไม่จำเป็นต้องได้รับค่าตอบแทนความพยายามเป็นตัวเงินอีกต่อไป” จนถึงเวลานี้กองทุนดังกล่าวบริจาคเงินให้กับ Komen ไปแล้ว 250,000 เหรียญ Taylor บอกว่า เขาเลือก Komen เพราะมูลนิธิแห่งนี้ลงทุนให้กับการวิจัยทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพราวปีละ 10 ล้านเหรียญ
ลูกค้ากองทุน Simplify Health Care ไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองแต่อย่างใด กองทุน ETF แห่งนี้เปิดตัวเมื่อปลายปี 2021 โดยมีการบริหารจัดการเชิงรุก จนถึงปัจจุบันสามารถดึงดูดเงินลงทุนได้แล้ว 144 ล้านเหรียญ
ข้อมูลจาก YCharts ระบุว่า Simplify Health Care สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 5.3% นับตั้งแต่เริ่มกองทุน เทียบเท่ากับผลตอบแทนของกองทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Health Care Select SPDR ที่เน้นการลงทุนเชิงรับตามดัชนี
นอกจากนี้ ยังมั่นใจได้ว่า Taylor ไม่ได้แอบบริหารกองทุนดัชนีแบบลับๆ เขามีอัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์ประจำปี 210% แม้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับนักลงทุนเฮดจ์ฟันด์ แต่นับว่าแปลกมากสำหรับกองทุน ETF ในขณะที่กองทุน SPDR เข้าลงทุนใน Merck, Biogen, Amgen และ Pfizer แต่บริษัททั้ง 4 แห่งกลับไม่ใช่ตัวเลือกของ Taylor เขาให้เหตุผลว่า สิทธิบัตรที่กำลังจะหมดอายุลงจะทำให้กำไรหายไปมาก Pfizer ยังทำพลาดอีกเรื่องหนึ่งคือ การผลิตวัคซีนโควิดซึ่งผู้ที่มีความคิดนอกกรอบอย่าง Taylor มองว่า ไม่มีประโยชน์
Taylor ยังเป็นคนที่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ในช่วงเริ่มการระบาดของโรคโควิดเมื่อ 5 ปีก่อนเขาป่าวประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า โรคโควิดเกิดจากเชื้อไวรัสที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นในประเทศจีน ตอนนี้เขาหันมาบ่นตะกุกตะกักว่า วัคซีน mRNA ของ Moderna อาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบภูมิคุ้มกัน และอาจต้องนำออกจากตลาด เขาอาจจะมองพลาดไป แต่สิ่งที่เขาทำถูกต้องคือ การเลี่ยงหุ้นของ Moderna ซึ่งเป็นหุ้นในกองทุนดัชนี SPDR ที่ปรับตัวลดลงจากที่เคยมีราคาสูงถึง 484 เหรียญเหลือเพียง 35 เหรียญในปัจจุบัน
อันที่จริงแล้ว Taylor จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับไวรัสก็ไม่ผิด หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์จาก Johns Hopkins เขาทำงานให้กับ GenVec ซึ่งเป็นบริษัทที่พยายามจะใช้ไวรัสเป็นตัวนำยีนเข้าสู่ร่างกาย แต่ต้องพบกับความผิดหวังเนื่องจากงานส่วนใหญ่เป็นเพียงการย้ายแก้วทดลองจากโต๊ะหนึ่งไปยังอีกโต๊ะหนึ่งเท่านั้น
“ผมชอบวิทยาศาสตร์ แต่แค่ไม่ชอบลงมือทำ ผมน่าจะไปเป็นช่างไม้” จริงๆ แล้วเขามีเรื่องอื่นกวนใจ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ Wall Street กำลังคลั่งไคล้เทคโนโลยีชีวภาพ สื่อโทรทัศน์ต่างชี้ชวนให้ลงทุนหุ้นของ GenVec แต่ Taylor กลับมองอนาคตของบริษัทริบหรี่ เขาอยากเดิมพันตรงข้ามกับบริษัทเหลือเกิน
วิธีแก้ปัญหาของ Taylor คือ เข้าเรียนที่โรงเรียนธุรกิจ หลังจากจบ MBA จาก University of Rochester เขาทำงานให้กับบริษัทจัดการการเงินหลายต่อหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Oppenheimer, Caxton, Citadel และ Millennium เขาบอกว่า ความสำเร็จอย่างหนึ่งของเขาคือ การได้ร่วมงานกับ Gilead ในช่วงเริ่มต้นการพัฒนายา HIV (เวลานี้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่) อีกความสำเร็จหนึ่งคือ การขายชอร์ตหุ้น Valeant ที่แม้จะขยายตัวอย่างรวดเร็วแต่ก็เป็นรายได้ที่เติบโตแบบจอมปลอม
กองทุน Simplify ETF เข้าลงทุนในบริษัทใหญ่บางแห่งที่นักลงทุนกลุ่มเฮลท์แคร์คุ้นเคยดี เช่น Eli Lilly ที่แม้จะมีราคาแพงเอาเรื่อง (P/E 70 เท่า) แต่ Taylor คาดว่าจะทำรายได้มหาศาล อานิสงส์จากการตัดสินใจล่าสุดของ Medicare ที่จะสนับสนุนยาลดน้ำหนักราคาสูงสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ขณะเดียวกันผู้ป่วยสูงวัยที่มีน้ำหนักตัวมากและมีภาวะนอนไม่หลับยังต้องอาศัยเครื่องอัดอากาศ (air pump) ที่ผลิตโดย Resmed ซึ่ง Taylor ถือหุ้นอยู่เช่นกัน
นอกจากบริษัทด้านการแพทย์กระแสหลักแล้ว พอร์ตการลงทุนของ Taylor ยังมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เขาลงทุนใน Chewy แม้ว่าลูกค้าส่วนมากจะมองว่าเป็นบริษัทผลิตอาหารสุนัข แต่ Taylor กลับมองเห็นโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในอีกทางหนึ่งคือ การจำหน่ายยาสำหรับสัตว์ที่มีส่วนบวกราคาสูงลิ่ว
PureCycle Technologies คือ บริษัทที่กำลังพยายามรีไซเคิลพลาสติกโพลีโพรพิลีนแต่ประสบผลขาดทุน (แล้วมาทำอะไรในกองทุนเฮลท์แคร์!) Taylor กำลังเฟ้นหาหุ้นหมดสภาพแต่มีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมา เขาค้นหาคำว่า “หุ้นขยะ” และ Google ก็แสดงผลการค้นหาบริษัทจัดการของเสียมาได้จำนวนหนึ่งซึ่งรวมถึง PureCycle Technologies
Taylor รู้สึกสนใจ เขาจึงหาข้อมูลเคมีภัณฑ์ดังกล่าวจนได้ข้อสรุปว่า PureCycle อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นกิจการที่จะสร้างรายได้นับพันๆ ล้านเหรียญ แต่กฎของกองทุน Simplify อนุญาตให้ลงทุนในสินทรัพย์นอกกลุ่มสุขภาพได้เพียง 20% ดังนั้น เมื่อหุ้นของ PureCycle ซื้อขายกันในราคาไม่ถึง 4 เหรียญ จากที่เคยสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 32 เหรียญ Simplify จึงเริ่มเข้าซื้อ ล่าสุด PureCycle ปิดตลาดสูงกว่า 7 เหรียญ
Arcutis Biotherapeutics เป็นการเดิมพันระยะสั้นอีกรายการหนึ่งที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนก้อนโต แม้บริษัทจะขาดทุนแต่พวกเขากำลังพัฒนาแนวทางการรักษาโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ กองทุนของ Taylor เข้าถือสินทรัพย์ในบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 8% ขณะที่กองทุน SPDR ไม่มีการลงทุนแต่อย่างใด
ภูมิคุ้มกันวิทยาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญพอๆ กับไวรัสวิทยา การรักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งโรคต่างๆ เช่น โรคสะเก็ดเงินและโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งในอนาคตจะต้องอาศัยการปรับระบบภูมิคุ้มกัน Taylor เองมีประสบการณ์ส่วนตัวในการศึกษาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันวิทยาจากอาการป่วยด้วยโรคแพ้ภูมิตนเองจนทำให้เขามีอาการปวดกระดูกสันหลังอย่างรุนแรง กระทั่งมีการทดลองการรักษาด้วยเลเซอร์ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี ปัจจุบันเขาสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งหลังจากที่ต้องนอนอยู่บนเตียงเกือบทุกวันมานานหลายปี
บรรดานักลงทุนมีความเห็นทั้งเชิงบวกและลบต่อบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในช่วงการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น GenVec, PureCycle และ Arcutis แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมากนัก ทั้งนี้นับตั้งแต่กองทุน Simplify Health Care เปิดตัว หุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วไปรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพสร้างผลตอบแทนได้ต่ำกว่าตลาด
สำหรับนักลงทุนที่กล้าได้กล้าเสียอย่าง Taylor ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดจะกลับมาเข้าทาง “เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นยุคทองแห่งการค้นพบและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเท่านั้น คนเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีอายุยืนยิ่งขึ้น” หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น!
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'Justin Sun' เศรษฐีคริปโตสายโชว์
