ตลบหลัง Metaverse ด้วยอนาคตเป็นแบบ Low-Res - Forbes Thailand

ตลบหลัง Metaverse ด้วยอนาคตเป็นแบบ Low-Res

ถ้า Metaverse ไม่ได้เป็นความจริงเสมือน (Virtual Reality: VR) ในนิยายวิทยาศาสตร์ล้ำยุคในอนาคต แต่เป็นจักรวาลแบบ 8-บิต ที่มนุษย์ธรรมดาสามารถใช้งานได้อย่างสนุกซึ่ง Gather สร้างขึ้นมาใช้เรียบร้อยแล้ว มันจะเป็นอย่างไรนะ?

ในช่วงที่ Phillip Wang นำเสนอ Gather กิจการสตาร์ทอัพอายุ 6 เดือนของเขากับนักลงทุน VC ในปลายปี 2020 เขาจะเชิญพวกนักลงทุน VC ขึ้นไปบนดาดฟ้าที่ตึกออฟฟิศเขา ซึ่งเป็นมุมเด็ดที่เหมาะสำหรับเจรจาข้อตกลงธุรกิจ เพราะจากบนนั้นสามารถมองเห็นประกายเรืองรองของแสงนีออน สีเขียวของเมืองใหญ่ที่กำลังขยายตัว โดยมีฉากหลังเป็นหมู่เมฆ สีชมพูเหลือบส้ม แต่ที่เด็ดที่สุดคือ เขาสามารถคุยให้นักลงทุนเป้าหมายของเขาฟังได้ถึงราคาค่าเช่าแสนถูกของมัน เพราะ Gather ที่ในตอนนั้นมีพนักงาน 25 คนจ่ายค่าเช่าตึกทั้งหลังเพียงเดือนละ 175 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะออฟฟิศของเขาเป็นออฟฟิศเสมือน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในแอปที่บริษัทสร้างขึ้นมานั่นเอง ทุกวันนี้ที่โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาดได้ทำให้พนักงานบริษัทจำนวนมากยังไม่สามารถกลับเข้าไปทำงานในออฟฟิศแบบปกติได้ แต่ละวันจะมีคนนับแสนเลือกใช้วิธีเข้าสู่ระบบบนเว็บไซต์ของ Gather แทน ทั้งนี้มีคนกว่า 15 ล้านคนที่เคยใช้งาน Gather มาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการร่วมประชุมเสมือน แต่ก็มีบางส่วนที่ใช้ร่วมงานปาร์ตี้วันเกิด คอนเสิร์ตดนตรีวงร็อก และงานแต่งงานด้วยเช่นกัน “มีคนมากมายที่มองว่า metaverse เป็นเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์ ราวกับว่ามันยังอยู่ในอนาคตอีก 5-7 ปีข้างหน้า” Wang พูดพรั่งพรูออกมาด้วยความเร็ว 3 เท่า “พวกเขามโนไปถึงโลกแบบดิสโทเปีย (dystopia) ที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ครองโลก” แต่ในมุมของซีอีโอหนุ่มผมตั้งวัย 23 ปีนั้น metaverse ได้เกิดขึ้นแล้วแบบค่อนข้างเป็นมิตรและยินดีต้อนรับผู้ร่วมทางด้วย เพราะแทนที่จะเป็นความเป็นจริงคู่ขนานที่ล้ำยุคจนผู้คนตามไม่ทัน แต่โลกเสมือนของ Gather ถูกออกแบบให้เป็นแบบ low-res ซึ่งปลุกความรู้สึกถวิลหาอดีต แบบเดียวกับวิดีโอเกมโปเกมอนสมัย 20 ปีก่อน ที่ผู้ใช้ต้องเลื่อนปุ่มลูกศรเพื่อขยับตัวอวตารแบบ 2 มิติ เข้าและออกจากบทสนทนาแบบวิดีโอแชทเมื่อเดินผ่านผู้เล่นรายอื่น ทั้งนี้ไม่ว่ามันจะเป็นเพียงบริการ Zoom แบบที่ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น หรือจะเป็นจุดพลิกผันของอนาคตในภาพรวม แต่ Gather ก็สามารถดึงดูดความสนใจของ Silicon Valley ได้ ทั้งนี้จากธุรกิจที่เริ่มก่อตั้งโดยบัณฑิตจบใหม่ 4 คน (ทุกคนอายุแค่ 26 ปีหรือน้อยกว่านั้น) ในช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาด สตาร์ทอัพแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีพนักเงินเพิ่มเป็น 75 คน และได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบรรดานักลงทุน VC ระดับแนวหน้า ซึ่งเข้ามาลงทุนแล้วถึง 77 ล้านเหรียญ โดยในการระดมทุนรอบล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนคิดเป็นมูลค่ากิจการที่ 700 ล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม Gather ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายได้ แต่ Forbes ประเมินว่า รายได้ในปีที่แล้วซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดดำเนินการเต็มปีน่าจะเกิน 10 ล้านเหรียญ เสน่ห์ของ Gather โยงกลับไปที่ชีวิตวัยเด็กของ Wang ในแถบชานเมือง Seattle ซึ่งเขาใช้เวลานับไม่ถ้วนเล่นเกมกราฟิกอย่าง Minecraft เขาหลงใหลในคอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์อย่างมาก สมัยที่เขาอยู่ปีที่ 2 ของชั้นมัธยมปลาย (Grade 10) เขาติดอันดับสูงสุดใน 100 คนจากผู้เข้าแข่งขัน 70,000 คนในรายการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกสำหรับเยาวชน ในปีสุดท้ายของชั้นมัธยมเขาได้ทำงานด้านการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) 1 ปีที่ Microsoft ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่ Carnegie Mellon University และจบการศึกษาภายในเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น หลังจากที่สำเร็จการศึกษาแล้ว Wang กับเพื่อนร่วมชั้นในมหาวิยาลัย Kumail Jaffer และ Cyrus Tabrizi ได้เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะ Y Combinator ในปี 2019 ซึ่งทั้งสามทุ่มเทอย่างหนักโดยมีเป้าหมายจะสร้างฮาร์ดแวร์สำหรับการเชื่อมต่อกันในสังคมให้ง่ายขึ้น แต่พวกเขากลับไม่สนใจด้านธุรกิจและไม่เข้าร่วมแสดงผลงานใน “demo day” ซึ่งคู่แข่งของเขาพากันตบเท้านำเสนอโครงการให้นักลงทุนเป้าหมายนับร้อยรายฟัง “เราโตมากับการถูกกดดันให้ทำอะไรแบบนั้น แล้วเราก็พบว่ามันไม่ใช่ทางของเราเลย” Wang กล่าว พอถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2020 พวกเขาก็ใช้เงินทุน 150,000 เหรียญที่ได้จาก Y Combinator ไปหมด Wang และ Jaffer เสนอให้ปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อสร้างบริการที่สามารถทำเงินได้มากขึ้นอย่างการประชุมเชิงวิชาการซึ่งมีการปรับมาจัดแบบออนไลน์มากขึ้น แต่ Tabrizi ไม่เห็นด้วย ดังนั้น Wang และ Jaffer จึงแยกตัวออกมาและก่อตั้ง Gather ร่วมกับ Alex Chen และ Nate Foss ซึ่งเป็นบัณฑิตจาก MIT ที่ Wang รู้จักในช่วงฝึกงานสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย ด้วยแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยี VR พวกเขาทั้งสี่จึงทำการสแกนร่างกายและภาวะแวดล้อมทางกายภาพแล้วนำขึ้นไปอยู่ในโลกออนไลน์ และใช้เวลาวันละ 8 ชั่วโมงทำงานโดยใส่ชุดหูฟังติดหัวไว้ตลอดเวลา “นั่นคือตอนที่เรารู้ว่าสิ่งนี้ยังอยู่ห่างไปอีกไกล” Wang กล่าว “แต่มันก็ทำให้เราหรี่ตามองแล้วเห็นว่า แนวคิดของเราเรื่องโลกเสมือนจะเป็นประเด็นที่ใหญ่มากต่อไป” ดังนั้น เพื่อสร้างภาวะแวดล้อมที่เข้าถึงได้ง่ายอย่างรวดเร็ว Gather จึงย้อนกลับไปหาเทคโนโลยีที่ผู้คนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วอย่างคีย์บอร์ด, เมาส์ และภาพที่มีระดับความชัดต่ำบนเว็บ ซึ่งหลังจากที่พวกเขาเปิดตัวรุ่นแรกออกมาในเดือนพฤษภาคม ปี 2020 ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในแวดวงมหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์คนหนึ่งที่ University of Chicago และนักเรียนในชั้นของเขาได้สร้างชั้นเรียนเสมือนขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าเรียนด้วยกัน หรือพบปะกันได้จากทุกจุดในสถานศึกษา ในขณะที่นักศึกษาคณะฟิสิกส์ถูกจับได้ว่าเล่นไพ่โป๊กเกอร์ในห้องพักของคณะ จากนั้นไม่นานพวกผู้นำใน Silicon Valley ก็ทราบเรื่อง โดย Dylan Field ผู้ก่อตั้งและซีอีโอหนุ่มวัย 29 ของ Figma ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการออกแบบมูลค่า 1 หมื่นล้านเหรียญ (ตามราคาประเมิน) ได้ติดต่อหา Wang ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2020 ก่อนที่พวกผู้ก่อตั้ง Gather จะเริ่มคิดถึงโมเดลธุรกิจด้วยซ้ำ “เขาบอกกับผมว่า ‘ผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับกิจการที่ทำการระดมทุนเลย’” Field กล่าว แต่ Field ไม่ย่อท้อ เขาแนะนำ Wang ให้กับนักลงทุน VC จำนวนมาก ในขณะที่ Wang บอกนักลงทุนพวกนี้ให้เตรียมทำใจเอาไว้ล่วงหน้าว่า “คุณต้องพร้อมที่จะทำให้สิ่งนี้กลายเป็นเหมือน Wikipedia” ซึ่งเป็นเว็บไซต์แบบไม่แสวงกำไรที่เป็นที่รู้จักกันดี Shaun Maguire ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Sequoia Capital มองไปไกลกว่า Wang “(สำหรับผู้ก่อตั้ง Gather) มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่า metaverse ต้องเกิดขึ้นแน่ คำถามก็คือ เราจะทำอย่างไรให้มั่นใจว่ามันเกิดขึ้นได้จริงๆ?” Maguire กล่าว เขาเป็นนักลงทุนหลักที่เข้าลงทุนในการระดมทุนรอบแรก 26 ล้านเหรียญของ Gather เมื่อเดือนมกราคม ปี 2021 ในขณะที่กิจการสตาร์ทอัพมักจะใช้เวลา 1 ปีหรือนานกว่านั้นเพื่อขยายกิจการจนถึงระดับที่นักลงทุน VC จะรู้สึกสบายใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกครั้ง แต่ Sequoia ตกลงที่จะลงทุนเพิ่มอีกเท่าตัวตั้งแต่ก่อนที่บริษัทจะประกาศระดมทุนรอบแรกด้วยซ้ำ “จุดพลิกผันที่แท้จริงของบริษัทเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมและมีนาคม” Maguire กล่าว ซึ่งในขณะที่ Gather กำลังปรับวิดีโอโค้ดอยู่นั้น รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 4 เท่าตัวเป็น 400,000 เหรียญ จากลูกค้ารายใหญ่อย่าง Coca-Cola และ Amazon ซึ่งจำลองโลกจินตนาการจากรายการซีรีส์ดัง The Wheel of Time ทั้งนี้ Sequoia และ Index Ventures เป็นนักลงทุนหลักในการระดมทุนรอบ 2 ของ Gather อีก 50 ล้านเหรียญ ซึ่ง Y Combinator และ Figma ของ Field ร่วมใส่เงินลงทุนในรอบ 2 นี้ด้วย “ถึงแม้ Silicon Valley จะมีสำนวนว่า ‘ขยับให้เร็วและทำลายข้าวของ’ แต่ในความเป็นจริง แล้วมีเพียงไม่กี่บริษัทหรอกที่ขยับได้เร็วแบบนั้นจริงๆ” Field กล่าว “ในแง่ของการสร้างทีมงาน และวัฒนธรรมองค์กร พวกเขาทำสิ่งที่เราใช้เวลา 5 ปีได้ในเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น” ปัจจุบัน Wang อยู่บ้านพักชั่วคราวทางตอนใต้ของ California และในปีนี้เขามีแผนว่าจะเดินทางย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ โดยจะไปใช้เวลาแรมเดือนที่ Pittsburgh, Boston, London และสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมกับทำงานออนไลน์จากสำนักงานใหญ่ของ Gather เขาวาดภาพไว้ว่า สักวันหนึ่งผู้คนอาจจะซื้อของจากห้างดิจิทัลผ่านแอปของเขา หรือดูหนังพร้อมกับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ Wang ฝันไปไกลถึงว่า Gather จะพัฒนาไปเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้บริษัทอื่นๆ พัฒนาประสบการณ์เหล่านี้ แต่ไม่ว่ากิจการสตาร์ทอัพอายุ 21 เดือนนี้จะขยับไปทางไหน ก็มั่นใจว่าจะขยับเร็วแน่นอน เพราะสำหรับผู้ที่เริ่มสร้าง metaverse แล้วระยะเวลา 5 ปีของ Field ถือเป็นหนทางสู่หายนะ เรื่อง: Kenrick Cai เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา ภาพ: Ethan Pines *ที่มา: Y Combinator โดยมีการปรับมูลค่ากิจการเพื่อสะท้อนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราค่าตลาด ณ วันที่ 26 มกราคม 2022 ซึ่งเป็นวันที่มีการระดมทุนรอบล่าสุด
คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2565 ในรูปแบบ e-magazine