เรื่องมโนของ Calvin Lo ผู้วาดหวังขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐี Forbes - Forbes Thailand

เรื่องมโนของ Calvin Lo ผู้วาดหวังขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐี Forbes

FORBES THAILAND / ADMIN
10 Dec 2023 | 12:06 PM
READ 11599

เช้าที่อบอุ่นของเดือนกันยายนปีที่แล้ว Calvin Lo ต้อนรับบรรณาธิการคนหนึ่งของ Forbes ที่สำนักงานของบริษัทโบรกเกอร์ประกันชีวิต R.E. Lee International ของครอบครัวเขาในฮ่องกง Lo แต่งตัวเนี้ยบในชุดสูท 3 ชิ้นพร้อมเนกไทและผ้าพ็อกเกตสแควร์เข้าชุด เขาเชิญบรรณาธิการไปนั่งคุยในห้องประชุมที่ตกแต่งด้วยไม้ หนังสือปกหนัง และแจกันที่จัดอย่างมีรสนิยม


    Lo เชิญบรรณาธิการมาเพื่อหารือเรื่องทำเนียบรายชื่อเศรษฐีพันล้านระดับโลกของ Forbes ซีอีโอของ R.E. Lee International กล่าวว่า เขา “อยากรู้” ว่าเศรษฐีพันล้านคนอื่นๆ ในเอเชียมองการจัดอันดับนี้อย่างไรบ้างและอธิบายว่า เขารู้สึก “สองจิตสองใจ” ว่าควรจะให้เอกสารเพิ่มเติมเรื่องความมั่งคั่งของตนแก่ Forbes ดีหรือไม่เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบรายชื่อนี้

    เขาอธิบายต่อไปว่า เศรษฐีรุ่นเก่ามักหวงแหนความเป็นส่วนตัว แต่เศรษฐีรุ่นที่ 2 หรือ 3 จะเปิดเผยมากกว่า และเศรษฐีกลุ่มหนึ่งที่รู้จักเขาก็เชียร์ให้เขามาเปิดตัวในทำเนียบนี้

    “คุณน่ะโชคดีมาก ประสบความสำเร็จมาก” Lo เล่าว่าคนอื่นบอกเขามาแบบนั้นและเขายังชี้ว่า การมีชื่อในทำเนียบนี้ก็น่าจะดีต่อธุรกิจหลักของเขา นั่นคือ การขายกรมธรรม์ประกันชีวิตให้เศรษฐีระดับรวยมหาศาล “ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายของเราอยู่แล้ว” เขาเสริม

    แต่ที่จริงแล้วความ “สองจิตสองใจ” ของ Lo เป็นแค่การแสดง ก่อนที่เขาจะเชิญบรรณาธิการมาพบเขาพยายามจะลักไก่เพื่อเข้าทำเนียบเศรษฐีพันล้านมา 2 ปีแล้ว โดยนับตั้งแต่ปี 2020 มีคนของเขาอย่างน้อย 7 คนพยายามติดต่อผู้สื่อข่าวของ Forbes 11 คนมาแล้วเกิน 20 ครั้ง พวกนั้นพยายามขาย Lo ว่าเป็น “เศรษฐีพันล้านใจบุญที่ออกสื่อน้อยที่สุด” แถมยังเป็น “นักลงทุนพันล้านผู้หวงความเป็นส่วนตัวและเข้าพบได้ยากที่สุดในโลก”

    พวกเขาส่งเอกสารมาเป็นสิบๆ ฉบับ ซึ่งบางฉบับประทับคำว่า “ลับเฉพาะห้ามเปิดเผย” โดยอ้างว่า เอกสารเหล่านั้นช่วยยืนยันถึงชื่อเสียงและความมั่งคั่งของ Lo ได้

    ตอนแรก Forbes ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ทุกปีจะมีคนจำนวนมากอย่างน่าแปลกใจที่พยายามแต่งเรื่องเพื่อจะเข้ามาในทำเนียบเศรษฐีพันล้านของเราให้ได้ แต่ Lo ยังเสนอตัวมาไม่หยุด และนานวันเข้าก็มีสื่อหลายสำนักลงบทความที่กล่าวถึง Lo ว่า เป็นเศรษฐีพันล้านและนำเสนอมุมมองของเขาในสารพัดเรื่องตั้งแต่แชมเปญไปจนถึงเงินคริปโต

    ที่สำคัญคือ บทความเหล่านี้อ้างอิง Forbes ในฐานะแหล่งข้อมูล และหนึ่งในทีมประชาสัมพันธ์ของ Lo เคยส่งอีเมลหลายฉบับที่อ้างว่า Lo มีชื่อในทำเนียบเศรษฐีพันล้านของ Forbes

    การเชิญบรรณาธิการไปพบเป็นครั้งแรกที่ฮ่องกงในครั้งนั้นขยายผลจนกลายเป็นการสืบสวนที่ใช้เวลาเกือบปี ซึ่งระหว่างสืบสวน Forbes คุยกับคนอย่างน้อย 40 คนใน 6 ประเทศ และขุดค้นเอกสารหลาย 100 หน้าอย่างถี่ถ้วน เพื่อร่อนเอาสิ่งที่ Lo พูดจริง (แบบประปราย) ออกมาจากนิยายของนาย Lo (ส่วนที่เหลือทั้งหมด)

    พวกเราได้รับข้อมูลนำเสนอของ Lo ว่าเป็นซีอีโอและเจ้าของ R.E. Lee International “โบรกเกอร์ประกันชีวิตรายใหญ่ที่สุดของโลก” ซึ่งมีรายได้จากเบี้ยประกันประมาณ 1 พันล้านเหรียญ และเป็นผู้ก่อตั้ง R.E. Lee Capital ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีพอร์ตมูลค่าตั้งแต่ 8 พันล้านเหรียญถึง 1 หมื่นล้านเหรียญแล้วแต่ว่าจะเป็นข้อมูลที่แถลงต่อสื่อมวลชนในครั้งไหน

    คำบรรยายสรรพคุณของตัวเขามีทั้งเป็นนักลงทุนที่เรียนจบจาก Harvard ผู้ลงทุนถึง 1.2 พันล้านเหรียญในปี 2018 ผ่านบริษัทจัดการเงินลงทุนส่วนตัว R.E. Lee Octagon เพื่อซื้อกิจการโรงแรม 5 ดาว Mandarin Oriental, Taipei ไต้หวัน เป็นคนใจบุญที่ก่อตั้งมูลนิธิการกุศลแห่งหนึ่งด้วยเงินทุน 250 ล้านเหรียญ และเป็นเจ้าของบ้าน 6 หลังทั่วโลก แถมยัง “ได้รับการกล่าวขวัญถึงในฐานะนักลงทุนและนักสะสมแชมเปญรายใหญ่ที่สุดของเอเชีย และเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกของเอเชียที่ได้เป็นเจ้าของเครื่องบินส่วนตัว Gulfstream G650”

    อ้อใช่ แล้วยังเป็นนักลงทุนในทีม Williams ทีมรถแข่งฟอร์มูล่าวัน (F1) ระดับตำนานอีกด้วย

    เรื่องที่เขาอ้างส่วนใหญ่ยืนยันไม่ได้ และส่วนที่เหลือก็โกหกหน้าตาเฉย ถึงแม้ครอบครัวของ Lo จะรวยแน่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยังห่างไกลจากความรวยระดับที่เขาพยายามสร้างภาพ สรุปแล้ว Forbes ประเมินว่า Lo กับพ่อแม่มีทรัพย์สินรวมกันไม่ถึง 200 ล้านเหรียญ


ภาพ Calvin Lo กับรถ Pagani ซึ่งเป็นภาพตัดต่อ


    Forbes ส่งรายการคำถามยาวเหยียดไปให้ Lo และแม่ของเขาเพื่อขอคำตอบ แต่ผู้ที่ตอบกลับมาคือ สำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งที่ส่งจดหมายมาว่า “การกล่าวเป็นนัยว่าลูกความของเราไม่สุจริต ไม่พูดความจริง หรืออาจประพฤติผิดหลักจริยธรรมนั้นได้รับการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงทั้งหมดโดยลูกความ”

    Lo ไม่ใช่คนแรกที่โกหก Forbes เรื่องระดับความมั่งคั่งของตน แถมบางคนยังอยากสร้างความประทับใจด้วยการเล่นใหญ่ขึ้นไปอีก แต่เทียบกับคนเหล่านี้แล้ว Lo ก็ยังกินขาด เพราะเขากล้าอวดอ้างอย่างหน้าไม่อายและพร้อมจะโกหกจนเลยเถิดไปมากกว่าคนอื่น

    วิธีการของเขาไม่ใช่แค่การจ้างบริษัทพีอาร์และทนายเป็นโขยงให้มาช่วยกันแถเรื่องความรวยจอมปลอมของเขาเท่านั้น แต่น่าจะไปไกลถึงขั้นปลอมแปลงเอกสารการเงินและตัดต่อภาพถ่ายด้วย ถึงแม้ผู้ทรงอำนาจหลายคนจะโม้เรื่องทรัพย์สินของตัวเองเกินจริง แต่ปกติแล้วจะไม่กล้าถึงขั้นเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาแอบอ้าง


ต้นตอ

    ของเรื่องฉาวในฮ่องกงเรื่องนี้ต้องเล่าย้อนข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปถึง Seattle ซึ่งเป็นเมืองที่นักธุรกิจชาวอเมริกันชื่อ Robert Earl Lee ก่อตั้งบริษัทที่กลายมาเป็น R.E. Lee International ในเวลาต่อมา Lee เริ่มต้นทำงานในวงการประกันตั้งแต่ปี 1954 แล้วในที่สุดเขาก็เริ่มเปิดบริษัทและซื้อกิจการบริษัทประกันหลายแห่งทั่วฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ และในเอเชีย

    ระหว่างนั้น Lee ได้จ้าง Regina Lee (ซึ่งไม่ได้เป็นญาติกัน) แม่ของ Lo มาทำงานเป็นตัวแทนขายประกันคนแรกในภูมิภาคของบริษัทโบรกเกอร์รายนี้ และหลายทศวรรษต่อมา Regina เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขยายบริษัทซึ่งเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์รายแรกๆ ของเอเชียที่ขายประกันชีวิตให้ลูกค้าระดับมหาเศรษฐี

    Lo ซึ่งเป็นลูกคนเดียวของ Regina กับ Francis เกิดที่เมือง Vancouver แต่ไปโตที่ฮ่องกงจน 9 ขวบ ก่อนจะย้ายกลับไปอยู่แคนาดา และต่อมาก็เข้าเรียนที่ Queen’s University ในเมือง Kingston รัฐ Ontario เขากลับไปอยู่ฮ่องกงในปี 1999 และเริ่มทำงานกับแม่ที่ R.E. Lee International ก่อนจะได้เป็นกรรมการผู้จัดการในปี 2003 และได้เป็นซีอีโอในที่สุด

    แล้ววันหนึ่ง Regina ก็ต้องเริ่มควักเงินจ่ายค่าไลฟ์สไตล์อันหรูเลิศให้ Lo เมื่อดูจากคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีฟ้องหย่าในปี 2014 ระหว่างเขากับ Emily ภรรยาซึ่งแต่งงานกันมาตั้งแต่ปี 2006 สามีภรรยาคู่นี้ใช้เงินเกินตัวไปมาก และ Lo ต้องขอยืมเงินจาก Regina ผู้พิพากษาสรุปว่า “เขาถูกแม่อบรมสั่งสอนมาเพื่อจะเป็นนายหน้าการลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เห็นได้ชัดว่าเงินเดือนของเขาไม่สามารถรองรับได้”

    จากข้อมูลในคดีนี้ Regina ให้เงินเขาประมาณ 308,000 เหรียญที่เขานำไปซื้อรถ Lamborghini เมื่อปี 2004 และเงินอีกประมาณ 1.2 ล้านเหรียญซึ่งเขาใช้ตกแต่งอะพาร์ตเมนต์ของเขาเองในสิงคโปร์ เมื่อปี 2005 แม้แต่ค่าเสื้อผ้าแพงๆ เขาก็แบมือขอแม่ และผู้พิพากษาสรุปว่า ทรัพย์สินสุทธิของ Lo ในตอนนั้นมีประมาณ 3.6 ล้านเหรียญ ขอย้ำว่า “ล้าน” เหรียญ ด้วยตัวเลขล้านแค่หลักเดียว

    นอกจากนี้มีเรื่องน่าประหลาดคือ Lo ผู้ถือสัญชาติแคนาดาและพักอาศัยอยู่ในฮ่องกงกลับจ้างสำนักงานกฎหมายในประเทศไทยหลายแห่งให้มาช่วยยืนยันความรวยของเขา (เมื่อเราถามว่า ทำไมเขาถึงจ้างสำนักงานกฎหมายในไทย Lo ตอบว่า นักกฎหมายเหล่านี้เข้าถึงข้อมูลการเงินของเขาได้เพราะเขากำลังเจรจาทำข้อตกลงธุรกิจในไทยที่ยังไม่เปิดเผยข้อมูล)

    สำนักงานกฎหมาย 2 แห่งส่งหนังสือมาถึง Forbes เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2020 และมีนาคม ปี 2021 เพื่อยืนยันว่า เขามีทรัพย์สินเป็นพันล้านเหรียญจริง ส่วนอีก 2 แห่งติดต่อมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้เพื่ออ้างว่าเขารวยยิ่งกว่านั้น

    เราจึงส่งผู้สื่อข่าว 2 คนไปที่สำนักงานกฎหมายเหล่านี้ แต่ดูแล้วพวกเขาไม่น่าจะมีลูกค้าเป็นเศรษฐีพันล้านได้เลย ตัวอย่างเช่น สำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ชั้นล่างของตึกอะพาร์ต์เมนต์สูงไม่กี่ชั้นในย่านที่พักอาศัยห่างไกลจากย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ หน้าสำนักงานเขียนว่า ที่นี่ให้บริการช่วยทำวีซ่า ใบอนุญาตทำงาน และรับรองเอกสาร และทนายคนที่เซ็นจดหมายส่งให้ Forbes ก็จำรายละเอียดเรื่องเอกสารการเงินของ Lo ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

    สำนักงานกฎหมายทั้ง 4 แห่งยอมรับว่าพวกเขาเอาข้อมูลทั้งหมดมาจากงบการเงินที่ Lo ส่งให้เท่านั้น โดยไม่มีแห่งไหนติดต่อผู้สอบบัญชีหรือตรวจสอบเรื่องที่ลูกความกล่าวอ้างเพิ่มเติมเลย

    นอกจากนี้ Lo ยังเคยอวดว่า เขามีรถ Pagani Huayra BC และซูเปอร์คาร์หายากรุ่นอื่นๆ Forbes ค้นพบภาพถ่ายที่เขายืนอยู่ข้างรถ Pagani Huayra Tempesta คันหนึ่งซึ่งมีรายงานว่า ภาพดังกล่าวถ่ายโดยผู้อ่านที่ไม่ประสงค์จะออกนามของนิตยสาร Ming Pao Weekly ในฮ่องกง และภาพนี้ถูกเผยแพร่ในปี 2018 โดย Ming Pao, Entrepreneur และ Money Digest

    แต่เราก็พบภาพที่เหมือนกันเป๊ะโดยไม่มี Lo อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายโดย Robin Adams สำหรับใช้ในการประมูลของ Sotheby’s เมื่อปี 2017 ช่างภาพบอก Forbes ว่า ภาพนี้ถูกตัดต่อ “อย่างเห็นได้ชัด” และถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Promotion Optimization อาวุธใหม่ของกลุ่มค้าปลีกไทย

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine พิเศษ! ฉบับนี้แถมฟรี Forbes Life