VinFast อีวีเวียดนามที่ขอทะยานฝัน สู่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก - Forbes Thailand

VinFast อีวีเวียดนามที่ขอทะยานฝัน สู่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก

FORBES THAILAND / ADMIN
18 Mar 2024 | 09:00 AM
READ 2856

บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเวียดนาม Pham Nhat Vuong ลงทุนมากกว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อนำพา VinFast บริษัทผลิตรถ EV ของเขาไปสู่การเป็นที่รู้จักในระดับโลก พร้อมๆ กับการเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญในหลายๆ ด้านในการเข้าตลาดสหรัฐฯ


    เศรษฐีพันล้านที่ร่ำรวยที่สุดในเวียดนาม Pham Nhat Vuong ไม่ได้มีเงินกว่า 4 พันล้านเหรียญโดยไม่ยอมเสี่ยงใดๆ เลย ภารกิจของเขาในเวลานี้คือ การสร้างให้ VinFast Auto เป็นบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติเวียดนามระดับโลกแห่งแรก

    โดยทุ่มทุนกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญเพื่อทำให้แบรนด์นี้อยู่ได้ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในระดับโลก แต่กระนั้นหนทางที่ผ่านมาเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ท่ามกลางข้อกังขาว่า บริษัทนี้จะสู้กับคู่แข่งนอกประเทศได้จริงหรือ

Pham Nhat Vuong


    แต่ Le Thi Thu Thuy ซีอีโอของ VinFast วัย 49 ปี ผู้เป็นอดีตพนักงานธนาคารกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ภารกิจของเราคือ การทำให้รถ EV เข้าถึงได้สำหรับทุกคน” เธอกล่าว

    VinFast มีเป้าหมายที่ดุดัน ตั้งเป้ายอดขาย EV 1 ล้านคัน ทั่วโลกภายใน 6 ปี (Tesla ใช้เวลาถึง 17 ปี) โดยหลังจากทุ่มทุนเกือบหมื่นล้านเหรียญออกรถ EV หลากหลายรุ่น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ และสร้างโรงงานที่ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดในเวียดนาม

    VinFast ยังมีแผนจะลงทุนอีก 1.8 พันล้านเหรียญภายในช่วง 3 ปีนับจากนี้ เพื่อเดินเครื่องโรงงานผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ให้ได้ภายในปี 2025 รวมถึงที่อินโดนีเซียและอินเดียภายในปี 2026

    เม็ดเงินถึง 1.4 พันล้านเหรียญจากการลงทุนก้อนนี้จะทุ่มไปกับการก่อสร้างโรงงานที่รัฐ North Carolina ในระยะแรก ซึ่งเป้าหมายคือ การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางภาษีและเงินช่วยเหลือจากภาครัฐในที่ตั้งของโรงงานแต่ละแห่ง รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตต่อปีจากเดิม 300,000 คันที่ผลิตได้ในโรงงานที่เวียดนามเพียงแห่งเดียว ขึ้นเป็น 550,000 คันภายในปี 2026


    ปัจจุบันถือว่า VinFast เป็นเพียงผู้เล่นรายเล็กๆ ในตลาดขนาดมหึมาของสหรัฐฯ ข้อมูลจากเว็บไซต์ด้านยานยนต์ Mark Lines ระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 ทางบริษัทขายรถ EV ไปได้เพียง 2,000 คันในสหรัฐฯ

    รวมแล้ว VinFast จัดส่งรถถึงมือลูกค้าได้ประมาณ 21,000 คันในช่วง 3 ไตรมาสแรก แต่ในจำนวนนี้มีประมาณ 13,000 คันหรือราว 60% ที่ยังใช้งานอยู่ภายในเวียดนามภายใต้กิจการ Green and Smart Mobility (GSM) บริษัทแท็กซี่ไฟฟ้าที่ Pham และ Vingroup ของเขาเป็นเจ้าของ

    Fathima Shifara Samsudeen นักวิเคราะห์จาก LightStream Research ใน Colombo ตั้งข้อสังเกตไว้ในเอกสารที่เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายนบนแพลตฟอร์มงานวิจัย SmartKarma ว่า การขายรถให้บริษัทในเครือเดียวกันถือเป็นเครื่องชี้วัดว่าความต้องการซื้อไม่ได้มีมากนัก

    สำหรับในสหรัฐฯ ยอดขายรถ SUV ขนาดกลาง ชื่อรุ่นว่า VF 8 ซึ่งเป็นรุ่นแรกและรุ่นเดียวที่มี กลับต้องได้รับผลกระทบจากการเรียกคืนรถเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพียง 2 เดือนหลังเริ่มเปิดขาย จนกลายเป็นเรื่องที่สร้างความอับอาย


    ทาง VinFast ชี้แจงว่า ตั้งใจเรียกคืนรถเพื่อแก้ปัญหาซอฟต์แวร์ขัดข้อง หลังจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐฯ เตือนว่า ข้อบกพร่องดังกล่าวขัดขวางข้อมูลความปลอดภัย และ “อาจทำให้ความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเพิ่มมากขึ้น”

    Thuy กล่าวว่า ทางบริษัทอาศัยเสียงตอบรับจากลูกค้าในการปรับปรุงรถ “เราอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ช่วยเสริมสมรรถนะสำคัญให้แก่รถ” Thuy ให้ข้อมูลผ่านอีเมล

    นอกจากประเด็นการเรียกคืนรถ VF 8 ยังถูกกล่าวถึงในแง่ลบอย่างหนาหูช่วงเปิดตัวทั้งจากสื่อหลักๆ ด้านยานยนต์อย่าง Motor Trend, Road & Track, Edmunds และ Kelley Blue Book ช่วงนั้นรถรุ่นนี้ถูกวิจารณ์ว่า มีคุณภาพการขับขี่ต่ำ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบปรับอากาศ การเฝ้าระวังจุดบอด GPS ไฟเลี้ยวและระบบเบรก

Le Thi Thu Thuy


    ซึ่ง Thuy ชี้แจงเกี่ยวกับความเห็นเหล่านี้ว่า “รถรุ่นนี้อาจไม่ได้ออกแบบมาให้พร้อมสำหรับการทดสอบภายใต้เงื่อนไขหรือพฤติกรรมแบบพิเศษ ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่บางคนไม่พึงพอใจ แต่เราได้แก้ไขปัญหาต่างๆ ตามเสียงตอบรับอย่างรวดเร็ว”

    ในข่าวแจกเมื่อปลายเดือนตุลาคมทางบริษัทระบุว่า “ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาบริษัทผู้บุกเบิกธุรกิจแห่งนี้ได้เดินหน้าปรับปรุงรถ SUV ไฟฟ้า VF 8 เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของลูกค้าขึ้นไปอีกขั้น”

    Thuy ยังยืนยันหนักแน่นว่า VinFast จะสามารถบรรลุเป้าหมายการจัดส่งรถ EV ได้ 50,000 คันในปี 2023 โดยคาดว่ายอดขายจะพุ่งขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเธอมองว่าเป็นระยะที่ธุรกิจจะเฟื่องฟูที่สุด

    “เรามีรถหลายรุ่นเตรียมพร้อมเปิดตัวทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้” เธอกล่าว และ VinFast วางแผนจะเริ่มขาย VF 8 ในฝรั่งเศส เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ภายในปลายปี 2023 รวมทั้งจะเริ่มส่งออกรถรุ่น VF 9 รถ SUV 7 ที่นั่ง กับคอมแพค SUV รุ่น VF 6 ไปยังอเมริกาเหนือด้วย

    รถรุ่น VF 8 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 46,000 เหรียญ ซึ่งเกือบจะเท่ากับ Tesla model Y หรือ Ford Mustang Mach E และ Hyundai Ioniq 6 แต่ตัวรถ VF 8 ที่วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 425 กิโลเมตรต่อการชาร์จนั้นทำระยะทางได้น้อยกว่าคู่แข่งทั้ง 3 รุ่น ซึ่งสามารถวิ่งได้อย่างน้อย 482 กิโลเมตรต่อการชาร์จ

    David Byrne นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย Third Bridge ในฮ่องกง กล่าวว่า ทาง VinFast น่าจะดึงดูดลูกค้าในสหรัฐฯ ได้ดีกว่านี้หากศึกษาทำความเข้าใจถึงอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกันอย่างลึกซึ้ง “พวกเขาจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น” เขากล่าว

    ส่วน Thuy บอกว่า VinFast ไม่ได้ยึดติดกับแนวคิดของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง “VinFast เป็นบริษัทสตาร์ทอัพ” เธอกล่าว “เงื่อนไขนี้ทำให้ต้องบริหารจัดการอย่างคล่องตัว ฉับไว และไม่ใช่ทุกคนที่จะปรับตัวตามได้ทัน เราปรับโครงสร้างการบริหารงานขององค์กรอยู่เสมอเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”

    แม้ว่า VinFast จะจ้างผู้มีประสบการณ์ในวงการนี้ไว้จำนวนไม่น้อยตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัท แต่เมื่อดูข้อมูล LinkedIn ของพวกเขาก็พบว่า หลายคนโบกมือลาไปอย่างรวดเร็ว

    ยกตัวอย่างเช่น Jeremy Snyder ผู้บริหารคนหนึ่ง (ซึ่งรับบทบาทสำคัญหลายตำแหน่งที่ Tesla มานานกว่า 10 ปี) ได้รับการว่าจ้างให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตขององค์กรเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2020 เพื่อนำทัพ VinFast บุกตลาดสหรัฐฯ

    ในมุมมองของ Snyder แม้เขาจะเชื่อว่า VinFast จะก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ไม่ยาก แต่ Snyder บอกว่า เขาตัดสินใจลาออกหลังผ่านไปไม่ถึง 2 ปี ในช่วงที่การวางกลยุทธ์และโครงสร้างการบริหารงานของบริษัทลงตัวเรียบร้อยแล้ว

    เขาสรุปความท้าทายที่ VinFast จะต้องเผชิญไว้ว่า “ถ้าคุณจะทำรถ SUV แล้วทำได้ไม่ดีไปกว่า Tesla ในทุกๆ มิติ หรือว่าทำราคาให้ถูกกว่าได้อย่างชัดเจน ผู้บริโภคก็จะเลือกซื้อ Tesla อยู่ดี”

    ที่แน่ๆ VinFast ยังไม่ทำกำไรเลยนับตั้งแต่เปิดกิจการเมื่อปี 2017 (Tesla ใช้เวลาถึง 17 ปีกว่าจะมีกำไร) แม้ว่ารายได้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2023 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2.5 เท่า เป็น 8.25 ล้านล้านดองเวียดนาม (337 ล้านเหรียญ) แต่ยอดขาดทุนก็เพิ่มขึ้น 34% เป็น 15 ล้านล้านดองเวียดนาม เพราะการขยายกิจการในระดับโลกใช้ต้นทุนสูง

    Pham วัย 55 ปีกล่าวว่า เขาคาดว่า VinFast จะคืนทุนได้ในปี 2024 และทำกำไรได้ภายในปี 2025 โดยดูจะไม่เป็นกังวลเลยว่าต้องทุ่มเม็ดเงินมากมายเพียงใดเพื่อสร้างให้ VinFast กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกได้



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'Mankind Pharma' ก้าวที่ยิ่งใหญ่ของธุรกิจยาในอินเดีย

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ในรูปแบบ e-magazine