He Xiaopeng จุดหมายสู่ฟากฟ้า - Forbes Thailand

He Xiaopeng จุดหมายสู่ฟากฟ้า

FORBES THAILAND / ADMIN
19 Jun 2024 | 09:01 AM
READ 2159

เพื่อขับเคลื่อนบริษัท Xpeng สู่การเป็นผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ที่สุดเจ้าหนึ่งในจีนให้ได้ He Xiaopeng จึงเดิมพันอนาคตไว้กับการเติบโตในระดับโลก การยกเครื่องบริษัท และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งมีรถบินได้รวมอยู่ด้วย


    ณ งานแสดงสินค้าเทคโนโลยี CES ที่ Las Vegas เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีบริษัทแห่งหนึ่งนำต้นแบบรถบินได้ไปจัดแสดงพร้อมประกาศว่า จะเริ่มจัดส่งรถรุ่นนี้ถึงมือลูกค้าในจีนได้ช่วงปลายปี 2025 

    ทว่ากำหนดเวลาที่ว่านั้นนำมาด้วยข้อกังขามากมาย โดยเฉพาะเมื่อจีนยังไม่มีแนวทางการกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งจะปูทางไปสู่การใช้งานรถบินได้ ถึงแม้ในเวลาที่ผู้บริโภคอาจจะยังขับขี่รถประเภทนี้ไม่ได้จริง แต่การโปรโมตที่ Las Vegas น่าจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของ Xpeng ในฐานะแบรนด์หรูที่เลือกสรรแต่เทคโนโลยีอันล้ำสมัยได้ ซึ่ง He Xiaopeng ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทได้นำพา Xpeng สู่การเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการผลิตรถ EV ของจีนไปแล้ว

    He ผู้นั่งเป็นประธานกรรมการและซีอีโอของบริษัทนี้ ไม่ได้ไปปรากฏตัวที่งาน CES และยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับรถบินได้ในตอนนี้ ปัจจุบันเศรษฐีพันล้านผู้นี้มีภารกิจรัดตัว หนึ่งในนั้นก็คือ การรับมือกับการแข่งขันในตลาด EV ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง พร้อมเดินหน้าพาบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและ New York ไปสู่สารพัดเป้าหมาย ทั้งการขยายกิจการไปในนานาประเทศ ยกระดับขึ้นเป็นผู้ผลิต EV ระดับบนในตลาดต่างประเทศ พร้อมกับทำให้การขาดทุนต่อเนื่องยุติลงและก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิต EV สู่อันดับ 1 ใน 3 ของจีนให้ได้ภายในปี 2030 (ตามจำนวนการส่งมอบรถในปี 2023 Xpeng ยังไม่ติด 10 อันดับแรก) 

    ปีที่แล้วผู้มั่งคั่งรายนี้นำพาบริษัทฝ่าวิกฤตได้สำเร็จ หลังจาก Tesla เริ่มสงครามหั่นราคามาหาถึงหน้าประตูบ้านด้วยการขายรถในจีนถูกกว่าที่สหรัฐฯ ถึง 40% เพื่อเพิ่มยอดขาย ทางฝั่ง He เปิดตัวรถ G6 SUV แข่งกับ Model Y ของ Tesla และดึงเอา Volkswagen มาร่วมลงทุนด้วย ในเดือนกรกฎาคมทื่ผ่านมาบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันรายนี้ตกลงอัดฉีดเงิน 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แลกกับการเข้าถือหุ้น 4.99% ใน Xpeng ด้านผลการดำเนินงาน ตัวเลขผลประกอบการรายปีของ Xpeng ยังไม่ออก แต่ในไตรมาสที่ 3 (ผลประกอบการล่าสุดที่มี) รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็น 8.5 พันล้านหยวน (1.2 พันล้านเหรียญ) แม้ว่าตัวเลขขาดทุนจะเพิ่มเป็น 3.9 พันล้านหยวนก็ตาม 

    “ท่ามกลางอุปสรรคล้วนมีโอกาสอยู่เสมอ” หัวเรือใหญ่วัย 47 ปีของบริษัทผู้ผลิต EV จาก Guangzhou กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์พิเศษที่ Beijing เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา “ถ้าไม่ใช่เพราะอุปสรรคผมคงไม่มุ่งมั่นสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้” เศรษฐีพันล้านคนนี้ยังเน้นย้ำวาทกรรมดังกล่าวในจดหมายถึงพนักงาน ซึ่ง Forbes ได้พบเห็นจดหมายฉบับนี้  โดยมีการส่งสัญญาณถึงแผนการทุ่มงบประมาณหนุนฝ่ายวิจัยและพัฒนาเพิ่ม่ราว 40% จากเดิม 5.2 พันล้านหยวนในปี 2023 และจะจ้างพนักงาน 4,000 คน


    ปีนี้จะเป็นอีกปีที่การแข่งขันเป็นไปอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหลังจากที่ Tesla ประกาศหั่นราคาในหลายประเทศเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา รวมถึงที่จีนด้วย “การแข่งขันในปีนี้จะดุเดือดมากๆ” Wang Hanyang นักวิเคราะห์ของ 86Research จาก Shanghai กล่าว พร้อมเสริมว่า แม้ในช่วงปลายปี 2023 ทางบริษัทจะมีพัฒนาการอย่างชัดเจน แต่ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่า “Xpeng พ้นจากสถานะตกที่นั่งลำบากแล้ว” 

    ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ทางบริษัทพร้อมผลิตรถรุ่นแรกคือ G3 SUV ในปี 2018 ความต้องการซื้อของผู้บริโภคกลับลดลง เนื่องจากรัฐบาลจีนตัดลดเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถ EV ทางบริษัทยังอยู่รอดได้ด้วยเงินจากการระดมทุน 400 ล้านเหรียญทั้งจากบรรดานักลงทุน บริษัทลงทุนในกิจการนอกตลาดหลักทรัพย์ และเงินของ He เอง ก่อนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ New York เมื่อปี 2020 และระดมทุนได้ 1.5 พันล้านเหรียญ ต่อมาราคาหุ้นพุ่งทะยานจนทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง 5.7 หมื่นล้านเหรียญ จนเกือบแซงหน้ามูลค่าหุ้น Ford และ General Motors ในเวลานั้นรวมกัน เมื่อรถรุ่นที่ 2 คือ P7 Sedan ประสบความสำเร็จในชั่วพริบตาจนกลายเป็นกระแสว่าผู้ผลิตรถ EV จากจีนรายนี้อาจจะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่สูสีกับ Tesla ได้ แต่ทว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นร่วงลงต่อเนื่องท่ามกลางการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของบรรดาคู่แข่งและมาตรการปิดเมืองช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อสายพานการผลิตของทางบริษัท

    วันแรกของปี 2024 He ได้ฤกษ์เปิดตัวรถ MVP ขนาด 7 ที่นั่งในชื่อรุ่น X9 ซึ่งมีเป้าหมายตีตลาดรถหรูด้วยราคาเริ่มต้น 360,000 หยวน เขายังให้คำมั่นว่า จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ทางบริษัทและทั้งอุตสาหกรรมเองต่างกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยอดขายในจีนลดต่ำลง ซึ่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Xin Guobin รัฐมนตรีช่วยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารจีนยอมรับว่า ความต้องการซื้อจากนอกประเทศ “ไม่เพียงพอ” เมื่อมีโครงการผลิตรถ EV ผุดขึ้นทั่วจีนมากจนเกินไป โดยทางการจีนให้คำมั่นว่า จะช่วยเหลือผู้ส่งออก EV ด้วยการสนับสนุนในด้านต่างๆ เช่น การเงินและการขนส่ง

    หุ้นของ Xpeng เองก็เริ่มต้นปีนี้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาราคาร่วงไปกว่า 30% ทั้งในตลาด New York และฮ่องกง จากกระแสความกังวลเกี่ยวกับสงครามราคาระลอกใหม่และสภาวะเศรษฐกิจจีนเอง  เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นักวิเคราะห์จาก Citi ยังปรับลดประมาณการราคาหลักทรัพย์ลงอีกครั้งเหลือ 28.30 เหรียญฮ่องกง (3.60 เหรียญ) จากเดิม 39.90 เหรียญฮ่องกง 

    หัวเรือใหญ่ของบริษัทผู้ผลิตยานยนต์รายนี้มองหาความก้าวหน้าครั้งใหม่ด้วยการหันหน้าไปทางยุโรป ซึ่งเป็นตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน (ตามจำนวนการส่งมอบรถยนต์) ซึ่งยุโรปกำลังมุ่งหน้าไปสู่การเลิกใช้รถยนต์ที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป และที่สำคัญภาษีนำเข้ารถยนต์ที่นั่นยังต่ำเพียง 10% เท่านั้น เทียบกับในสหรัฐฯ ซึ่งสูงถึง 27.5


    แต่ในยุโรปเองก็มีปัญหา เพราะระหว่างที่เผชิญอุปสรรคด้านการผลิตในบ้าน Xpeng ก็ไม่ใช่บริษัทเดียวที่หวังจะไปทำตลาดในยุโรป มีผู้ผลิต EV จากจีนไปเปิดตลาดที่นั่นแล้วนับสิบราย นำโดย BYD ของเศรษฐีพันล้าน Wang Chuanfu ที่กำลังสร้างโรงงานรถยนต์แห่งแรกในยุโรปที่ฮังการี Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวไว้เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาว่า ตลาดโลก “ในเวลานี้ท่วมท้นไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจากประเทศจีน และราคายังอยู่ในระดับต่ำจนเกินจริง เพราะได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐเป็นจำนวนมาก”

    สหภาพยุโรปเปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดของบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาจีนก็ตอบโต้ด้วยการเปิดสอบการทุ่มตลาดของผลิตภัณฑ์สุราจากสหภาพยุโรปเช่นกัน

    ผู้มั่งคั่งแห่ง Xpeng รายนี้ยังมุ่งมั่นจะลงหลักปักฐานธุรกิจในยุโรปให้ได้ก่อนจะก้าวต่อไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และภูมิภาคละตินอเมริกา ซึ่งทางบริษัทยังตั้งเป้าจะเข้าไปทำตลาดที่อียิปต์ภายในปีนี้ด้วย “ผมต้องการสร้างให้ Xpeng เป็นแบรนด์ราคาระดับกลางถึงระดับบนในเวทีโลก” เขากล่าว “เป้าหมายของผมไม่ใช่การขายรถราคาถูกๆ แน่นอน”


    ในนอร์เวย์ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 รถ G9 SUV มูลค่า 57,990 ยูโร (63,000 เหรียญ)ของ Xpeng กลายเป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ขายดีติด 15 อันดับแรก ตามข้อมูลจาก Schmidt Automotive Research บริษัทวิจัยใน Berlin ได้ระบุไว้ ส่วน Wang จาก 86Research ประมาณการว่า Xpeng ส่งมอบรถในเดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ หรือ 4 ประเทศยุโรปที่ทำตลาดอยู่ในเวลานี้ได้ประมาณ 2,000 คันในปี 2023  

    แม้ว่าจำนวนจะยังไม่มาก แต่ก็นับเป็นการก้าวไปข้างหน้าของ Xpeng ซึ่งรถรุ่นแรกๆ ที่นำไปทำตลาดในยุโรปไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควร ปีนี้ทางบริษัทเล็งจะเข้าไปบุกตลาดในเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี โดยในครึ่งปีหลังจะเริ่มเปิดตัวรถพวงมาลัยขวาสำหรับอังกฤษและประเทศอื่นๆ ต่อไป

    เศรษฐีพันล้านรายนี้กล่าวว่า ทางบริษัทจะเริ่มวิจัยเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติสำหรับตลาดในยุโรปภายในปีนี้เพื่อที่ในอนาคตจะได้เพิ่มฟีเจอร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติให้รองรับการใช้งานได้ทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งเขาต้องการเป็นพันธมิตรกับบรรดาโรงงานและซัพพลายเออร์ในยุโรปเพื่อผลิตรถยนต์ที่นั่นด้วย

    “เราจะเปิดตัวรถ EV อีกหลายรุ่นในปี 2024 และจะยิ่งเร่งเครื่องในปี 2025 และ 2026” He กล่าว ข้อมูลจากบันทึกภายในบริษัทของ He ชี้ว่า ทางบริษัทตั้งเป้าจะมีรถรุ่นใหม่หรือโฉมใหม่ให้ได้ 30 รุ่นภายในปี 2027 นักวิเคราะห์หลายรายต่างมองทิศทางยอดขายภายในประเทศปีนี้ของ Xpeng แตกต่างกันออกไป ทาง Citi ตัดลดประมาณการลงจากเดิม 250,000 คันเหลือ 195,000 คัน แต่ Yale Zhang กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษา Automotive Foresight จาก Shanghai มองว่ายอดขายอาจจะสูงถึง 300,000 คัน

    ตามที่ He ว่าไว้ หนทางสู่ดวงดาวจะต้องขยายพอร์ตของ Xpeng ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติให้ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น  บริษัทที่เติบโตชั่วพริบตาแห่งนี้พยายามดึงดูดลูกค้าคนรุ่นใหม่มาโดยตลอด ซึ่งรถของ Xpeng ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีและออกแบบมาอย่างทันสมัยมักถูกนำไปเป็นคู่เทียบกับ Model 3 ของ Tesla ในฐานะตัวตายตัวแทนที่ผลิตในจีนเอง 

    Xpeng ตั้งเป้าหมายลดต้นทุนชิ้นส่วนรถยนต์บางกลุ่มลง 20% ในปี 2024 โดย Vincent Sun  นักวิเคราะห์หุ้นจาก Morningstar มองว่า Xpeng จะใช้ประโยชน์จากการมี Volkswagen มาร่วมทุน อุดช่องว่างทางสายพานการผลิต ทำให้ซื้อสินค้าจากบรรดาซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนต่างๆ ของ Volkswagen ได้ในราคาที่ต่ำลง 2 บริษัทนี้กำลังร่วมกันพัฒนารถ EV ภายใต้แบรนด์ Volkswagen จำนวน 2 รุ่น ที่จะขายเฉพาะในจีน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตในปี 2026 

    He มองว่า บริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเดือนมกราคม ปี 2023 เขาแต่งตั้ง Wang Fenying อดีตกรรมการบริหารและรองประธานกรรมการ Great Wall Motor เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ Xpeng ให้อำนาจดูแลทุกอย่างตั้งแต่การวางแผนผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการขาย เธอติดอันดับรายชื่อหญิงผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งปีของ Forbes มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ซึ่ง He กล่าวว่า เธอมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงการทำงานของ Xpeng และปีนี้เธอจะปรับโครงสร้างพนักงานใหม่อีกครั้ง ซึ่งสื่อท้องถิ่นรายงานว่าจะมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และฝ่ายผลิตด้วย 

    Xpeng ยังไม่มีกำไรเลยนับตั้งแต่จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนเมื่อปี 2020 แล้วการเปลี่ยนกลยุทธ์จะทำให้ได้สัมผัสกำไรในเร็วๆ นี้ได้หรือไม่ คำถามนี้ Sun จาก Morningstar มองว่า Xpeng น่าจะยังไม่มีกำไรจนกระทั่งปี 2026 ส่วน Eric Wen ที่ปรึกษาจาก Blue Lotus Capital มองว่า น่าจะเป็นปี 2031 แต่ประธาน He ตั้งเป้าไว้ใกล้กว่านั้นว่าจะทำกำไรได้ในปี 2025 “ผมมั่นใจมากว่าเราทำผลงานได้ดีกว่าที่หลายๆ คนคาดการณ์” เขากล่าว “คนนอกไม่รู้ว่าเราเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วแค่ไหน” 


เรื่อง: YUE WANG เรียบเรียง: วินิจฐา จิตร์กรี  ภาพ: FANG YI FEI



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ย้อนเส้นทาง 107 ปี Forbes นิตยสารจัดอันดับเศรษฐีเบื้องหลังโลกทุนนิยมสมัยใหม่

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine