<h2>อาณาจักรอย่างยิ่งใหญ่ในอดีตไม่ใช่เงาสะท้อนของความสำเร็จในอนาคต แม้จะเป็นผู้เริ่มต้นสร้างตำนานบุกเบิกเส้นทางธุรกิจในวันวาน ก็อาจปิดฉากเหลือเพียงเรื่องเล่าความสำเร็จจากคนยุคก่อนได้ ไม่เว้นกระทั่ง "บริษัท 100 ปี" ก็ตาม</h2>
โดยเฉพาะหากไม่สามารถข้ามผ่านบททดสอบอันท้าทาย ทั้งคู่แข่งในสมรภูมิธุรกิจ วิกฤตการณ์ ตลอดเส้นทางและความพร้อมในการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลา ทำให้สุดท้ายมีเพียงไม่กี่บริษัทที่สามารถแก้โจทย์ยาก และก้าวสู่ศตวรรษใหม่ได้สำเร็จ โดยปัจจุบันมีบริษัทในประเทศที่มีอายุก่อตั้งยาวนานถึง 100 ปี เป็นจำนวน 16 บริษัท

<strong>10 บริษัท 100 ปี ในประเทศไทย</strong>

&nbsp;

<strong><u><img class="alignnone wp-image-44212 size-medium" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/Siam-Dispensary-900x600-dark-300x200.jpg" alt="" width="300" height="200" />
</u>บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2421

ในปี พ.ศ.2421 หรือ ค.ศ. 1878 2 เภสัชกรชาวเยอรมันผู้ก่อตั้ง บี.กรีมฯ​ ได้เดินทางมายังประเทศไทยและก่อตั้งห้างจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมและเคมีภัณฑ์ขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง อดอล์ฟ ลิงค์ เภสัชกรชาวเยอรมัน ยังคงเชื่อมั่นในเมืองไทยจึงกลับมาสร้างธุรกิจอีกครั้งและต่อยอดดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย และสืบทอดธุรกิจสู่ ฮาราลด์ ลิงค์ ตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน

&nbsp;

<strong>บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2425

บริษัทก่อตั้งขึ้นโดยตระกูลเบอร์ลี่และตระกูลยุคเกอร์ โดย อัลเบิร์ต ยุคเกอร์ และ เฮนรี่ ซิกก์ ชาวสวิสเซอร์แลนด์ ได้ร่วมกันก่อตั้ง "ห้างยุคเกอร์ แอนด์ ซิกก์ แอนด์โก" เพื่อดำเนินธุรกิจนำเข้า - ส่งออกสินค้า เช่น เหมืองแร่ ไม้สัก การเดินเรือ ฯลฯ โดยปัจจุบันเป็นคุ้นชินในชื่อ BJC ดำเนินกิจการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจร ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยมีกิจการทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

&nbsp;

<strong>บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2426

ระบบไปรษณีย์ของประเทศไทย เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจการไปรษณีย์ในสมัยแรก จากนั้นเปลี่ยนสถานะจากหน่วยงานราชการมาเป็นรัฐวิสาหกิจใช้ชื่อว่า การสื่อสารแห่งประเทศไทย (ก.ส.ท.) และในท้ายที่สุดปรับโครงสร้างแปรรูปและแยกเป็นสองบริษัทอันไก่ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยปัจจุบัน บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นผู้ดูแล บริการด้านไปรษณีย์ทั้งหมด มีสำนักงานใหญ่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ

&nbsp;

<strong>โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2430

จากหลักฐานพบว่าโรงแรมตั้งขึ้น ประมาณปี 2413 โดยนาย ซี. ซาลเจ กะลาสีเรือชาวเดนมาร์ก เป็นผู้ซื้อกิจการมาดำเนินการ ต่อมานายฮันส์ นีลส์ แอนเดอร์เซน เข้ามาบริหารงาน และในปี 2428 ได้ปรับปรุงโรงแรมให้ทันสมัย มีการออกแบบอาคารขึ้นใหม่ เรียกว่า “ออเธอร์ส วิง” และได้เปิดโรงแรมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2430 ต่อมาในปี 2434 ได้มีไฟฟ้าใช้ครั้งแรกในโรงแรม ปัจจุบันโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ปัจจุบันบริหารงานโดย บริษัท OHTL จำกัด (มหาชน)

&nbsp;

<strong>บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2432

ซิงเกอร์เข้ามาเปิดดำเนินงานในประเทศไทย มุ่งขายสินค้าเพียงตัวเดียวคือจักรเย็บผ้า ริเริ่มการให้บริการผ่อนชำระตั้งแต่ปี 2468 หลังจากเริ่มจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ตามความต้องการของผู้บริโภคไทยในช่วงเวลานั้น ปัจจุบันบริหารงานภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

<img class="alignnone size-large wp-image-44211" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/Osotsapa_15-1024x681.jpg" alt="" width="640" height="426" />

<strong>บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2434

บริษัทผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคในประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2434 ในนาม "ร้านขายยาเต๊กเฮงหยู" ซึ่งนายแป๊ะ โอสถานุเคราะห์ เป็นผู้ก่อตั้ง เริ่มจากกิจการขายของเบ็ดเตล็ด ต่อมาได้เริ่มผลิตยากฤษณากลั่น ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาโรคปวดท้อง ท้องร่วง โดยในปี 2561 ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใช้ชื่อย่อว่า OSP และได้ผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารงาน

<strong>
บริษัท อี๊สต์เอเชียติ๊ก (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2434

กลุ่มบริษัทเคมีภัณฑ์ของชาวเดนมาร์ก กลุ่มธุรกิจที่ให้บริการแก่ตลาดอุตสาหกรรมจำหน่ายผลิตภัณฑ์นานาชนิดและให้บริการคำปรึกษาแนะนำวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งให้บริการทดลองส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ในห้องปฏิบัติการทดลอง

<strong>
</strong>  <img class="alignnone size-large wp-image-44210" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/ตรางู.jpg" alt="" width="238" height="366" />
ปีที่ก่อตั้ง 2435

ก่อตั้งขึ้น โดยนายแพทย์โทมัส เฮย์วาร์ด เฮย์ และ ดร.ปีเตอร์ กาแวน เปิดเป็นร้านขายยาที่ทันสมัย มีเภสัชกรประจำตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยมีสัญลักษณ์รูป "งูถูกศรปัก" เป็นเครื่องหมายการค้า ปัจจุบันนอกจากแป้งเย็นในตำนานแล้วนั้นยังจำหน่ายเครื่องอุปโภคอื่นๆ ภายใต้การบริหารงานของตระกูลว่องวานิช

&nbsp;

<strong>บริษัท คั้นกี่น้ำเต้าทอง จำกัด (ยาขมน้ำเต้าทอง)</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2440

สรรพคุณที่ยืนยาวมา 100 ปี ของยาขมน้ำเต้าทอง และความเชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพร จีนจะเป็นฐานที่สำคัญให้ทายาทรุ่นที่ 4 สามารถเปิดตลาดใหม่ของสินค้าทางด้านอาหารเพื่อสุขภาพ แทนยาโบราณโดยมีสมุนไพรไทยเป็นหลัก ตึกแถว 2 ชั้นห้องหนึ่งของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ย่านสามแยกเจริญกรุง เป็นร้านขายยาขมน้ำเต้าทองมาแล้วนับ 100 ปี โดยสืบทอด มรดกต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคน

&nbsp;

<strong>บริษัท หมอมี จำกัด</strong>
ปีที่ก่อตั้ง 2441

บุญมี เกษมสุวรรณ หรือ ที่รู้จักกันในนาม หมอมี ผู้ก่อตั้ง ห้างขายยาบุญมี ดิสเปนซารี หรือ บริษัท หมอมี จำกัด จากความเชี่ยวชาญความรู้ความด้านยาสมุนไพร และได้มีโอกาสเข้ารับราชการ ตำแหน่งประจำห้องปรุงยา ณ กองโอสถศาลา สามารถปรุงยาเพื่อจำหน่ายแก่ราษฎรผู้มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย

ภายหลังเมื่อออกจากราชการ นายบุญมีได้เปิดกิจการส่วน ตัวในปี 2451 ชื่อห้างขายยา บุญมีดิสเปนซารี เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาแผนโบราณที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ปัจจุบันธุรกิจสืบสานสู่รุ่นของ สุรเกียรติ เกษมสุวรรณ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หมอมี จำกัด ในปัจจุบัน<strong> </strong>

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/special-report/%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3-100-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%81.html">ถอดรหัสองค์กร 100 ปี ไขกุญแจสู่ศตวรรษใหม่</a>

<hr />

<a href="https://bit.ly/3rrHyB0">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="lazy alignnone wp-image-43406 lazy-loaded" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/156310000_2780875332127539_4024725996886331200_o.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/156310000_2780875332127539_4024725996886331200_o.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/156310000_2780875332127539_4024725996886331200_o-229x300.jpg 229w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/156310000_2780875332127539_4024725996886331200_o.jpg" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/156310000_2780875332127539_4024725996886331200_o.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/156310000_2780875332127539_4024725996886331200_o-229x300.jpg 229w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" />

10 อันดับ "บริษัท 100 ปี" ในประเทศไทย

การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2563

<h2>ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ยังคงเผชิญหน้ากับ หลากปัจจัยลบที่ล้วนส่งผลให้ตลาดชะลอตัว</h2>
แต่จากการสำรวจตลาดอสังหาฯ ระดับลักชัวรี่ในเมืองท่องเที่ยวยังคงเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากโครงการหรูที่เตรียมจ่อคิวเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้

<strong><img class="alignnone size-full wp-image-25245" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/Veyla-Natai-Residences-BEACH_Living-dining-pantry.jpg" alt="" width="800" height="445" />
Veyla Natai Residences
</strong>

พัฒนาโดย บริษัท ไอเดียส์ 1606 จำกัด บนชายหาดนาใต้ อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา แบ่งเป็น Veyla Sea 67 ล้านบาท และ Veyla Beach 98 ล้านบาท

<img class="alignnone size-full wp-image-25242" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/Banyan-Tree-Residences-–-3Bedroom-Pool-Villa-e1576775472971.jpg" alt="" width="800" height="500" />

<strong>Banyan Tree Residences</strong>

วิลล่าหรูพื้นที่รวมกว่า 403 ตารางเมตร ตั้งอยู่ภายในโรงแรมบันยันทรีภูเก็ต บนทำเลลากูน่า ภูเก็ต หาดบางเทา พัฒนาโดย บันยันทรี กรุ๊ป ประกอบด้วยห้องนอนพร้อมห้องน้ำน้ำในตัว 3 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ศาลาทรงไทย สระว่ายน้ำพร้อมจากุซซี่ และลานอาบแดด ระดับราคา 50 ล้านบาท

<img class="alignnone size-full wp-image-25243" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/MGallery-Residences-MontAzure-Lakeside_Bedroom.jpg" alt="" width="800" height="450" />

<strong>61M Gallery Residences MontAzure Lakeside</strong>

ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของโครงการมอนท์เอซัวร์ บนทำเลชายหาดกมลา ภูเก็ต ระดับราคา 7.3-13.5 ล้านบาท พัฒนาโดย บริษัท กมลา บีช รีสอร์ท แอนด์ โฮเต็ล แมนเนจเม้นท์ จำกัด

<hr />

<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/bebabb02-eb1c-4942-ab9c-3fbf41894111/forbes-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99-2562">คลิกเพื่ออ่านบทความทางด้านการลงทุนได้ที่ Forbes Life แถมฟรีมาในนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2019 ในรูป e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-24460" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/ForbesLifeNov2019.jpg" alt="" width="300" height="359" />

ลักชัวรี่เรซิเดนซ์ เมืองท่องเที่ยวแรงดีไม่ตก

<h2>โลหะอันดับที่ 3 กลับมาครองความเป็นหนึ่งได้อย่างไร เมื่อแบรนด์นาฬิกาดังเปิดตัว Bronze watchs</h2>
นาฬิกาที่ทำจากทองคำขาวและทองคำคู่ควรอย่างยิ่งกับการใส่ออกงานสุดหรู ในขณะที่นาฬิกาที่ทำจากสเตนเลสเหมาะที่สุดสำหรับสวมใส่ในชีวิตประจำวันถึงแม้ว่าจะมีการนำโลหะล้ำสมัยต่างๆ มาใช้ทำตัวเรือน หากแต่ในปัจจุบันยังมีโลหะจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ชนิดหนึ่งที่ผู้รังสรรค์นาฬิกาและบรรดานักสะสมต่างมองว่ามากด้วยคุณค่า

เป็นเวลานานหลายศตวรรษแล้ว ที่มีการนำทองสัมฤทธิ์หรือทองบรอนซ์มาใช้ทำอุปกรณ์เดินเรือ (และเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ) ทองสัมฤทธิ์มีความทนทานและยังมีคุณสมบัติทนต่อการกัดกร่อนและสามารถต้านทานสนามแม่เหล็กได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องกลไกของเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทองสัมฤทธิ์มีเสน่ห์ดึงดูดมากที่สุดก็คือลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อวัตถุมีความเก่าแก่มากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ตัวเรือนที่ทำจากโลหะชนิดนี้จะเกิดคราบหรือสนิมเขียวอันมีลักษณะเฉพาะตัว นั่นแปลว่าคุณสามารถสร้างสรรค์นาฬิกาของคุณเองได้อย่างแท้จริง

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-23848 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/RE-01TUDOR-รุ่น-BLACK-BAY-BRONZE.jpg" alt="TUDOR รุ่น BLACK BAY BRONZE" width="450" height="600" />

43 มม. TUDOR รุ่น BLACK BAY BRONZE
(4,050 เหรียญสหรัฐฯ)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-23849 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/RE-02-IWC-Pilots-Watch-Chronograph-Spitfire-Bronze-IW387902-SIHH-2019-13.jpg" alt="IWC รุ่น PILOT’S WATCH CHRONOGRAPH SPITFIRE" width="550" height="366" />

41 มม. IWC รุ่น PILOT’S WATCH CHRONOGRAPH SPITFIRE
(6,250 เหรียญ)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-23850 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/RE-03-montblancs-1858-watches-get-a-handsome-bronze-and-green-makeover-3.jpg" alt="MONTBLANC รุ่น 1858 AUTOMATIC LIMITED EDITION" width="550" height="423" />

40 มม. MONTBLANC รุ่น 1858 AUTOMATIC LIMITED EDITION
(3,050 เหรียญ)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-23851 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/RE-04-BELL-ROSS-รุ่น-BR-V2-94-BELLYTANKER-BRONZE.jpg" alt="BELL &amp; ROSS รุ่น BR V2-94 BELLYTANKER BRONZE" width="550" height="343" />

41 มม. BELL &amp; ROSS รุ่น BR V2-94 BELLYTANKER BRONZE
(4,990 เหรียญ)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-23852 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/RE-05-ZENITH-รุ่น-PILOT-TYPE-20-CHRONOGRAPH-EXTRA-SPECIAL.jpg" alt="ZENITH รุ่น PILOT TYPE 20 CHRONOGRAPH EXTRA SPECIAL" width="550" height="312" />

45 มม. ZENITH รุ่น PILOT TYPE 20 CHRONOGRAPH EXTRA SPECIAL
(7,100 เหรียญ)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-23853 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/RE-06-ANONIMO-รุ่น-EPURATO-GREEN.jpg" alt="ANONIMO รุ่น EPURATO GREEN" width="550" height="420" />

42 มม. ANONIMO รุ่น EPURATO GREEN
(3,240 เหรียญ)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-23854 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/RE-07-ULYSSE-NARDIN-รุ่น-MARINE-TORPILLEUR-MILITARY-BRONZE.jpg" alt="ULYSSE NARDIN รุ่น MARINE TORPILLEUR MILITARY BRONZE" width="300" height="492" />

44 มม. ULYSSE NARDIN รุ่น MARINE TORPILLEUR MILITARY BRONZE
(8,900 เหรียญ)

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-23855 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/re-08-PANERAI-รุ่น-SUBMERSIBLE-BRONZO.jpg" alt="PANERAI รุ่น SUBMERSIBLE BRONZO" width="550" height="366" />

47 มม. PANERAI รุ่น SUBMERSIBLE BRONZO
(16,500 เหรียญ)

&nbsp;

<hr />

<a href="https://bit.ly/2odQqPJ">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจเพิ่มเติมได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2562 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-21964" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/COVER-77-OCTOBER-750.jpg" alt="" width="300" height="393" />

Bronze watchs เสน่ห์ยุคสัมฤทธิ์สู่แบรนด์ดัง

<h2 class="p2"><span class="s1">บริษัท </span><span class="s1">ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)</span><span class="s2"> (SCG หรือ</span><span class="s1">เอสซีจี</span><span class="s2">) </span><span class="s1">ได้รับการยอมรับว่าเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญและทุ่มงบประมาณให้กับการพัฒนาและฝึกอบรมพนักงานมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย</span><span class="s2"> <i>Forbes Thailand </i></span><span class="s1">ได้รวบรวมข้อมูลและตัวเลขต่างๆ</span> <span class="s1">ที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้</span></h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-10081" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/scg02.jpg" alt="" width="462" height="567" />
<p class="p2"><img class="alignnone size-full wp-image-10080" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/scg01.jpg" alt="" width="777" height="719" /></p>
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b9%82%e0%b8%a2%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%aa-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5.html">รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส เปลี่ยน SCG ให้แข่งได้ในระดับโลก</a></li>
</ul>
&nbsp;

&nbsp;

เรื่อง : พิชญ ช้างศร

ภาพ : บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย

<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/1969cee6-51e1-4127-a766-351d15a867b8">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ ในนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มิถุนายน 2562 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/1969cee6-51e1-4127-a766-351d15a867b8"><img class="alignnone wp-image-8479" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/cover-june.jpg" alt="" width="306" height="400" /></a>

"ค่า" ของคน SCG

<h2>Influencers บนโลกออนไลน์กลายมาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกนึกคิดและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของผู้คน จนทำให้นักการตลาดต้องหันมาจับตามองและติดตามอิทธิพลของ Online Influencers อย่างใกล้ชิด</h2>
ปีนี้ Forbes Thailand ได้รับความร่วมมือจากบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของเหล่า Influencers ในแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน 4 แพลตฟอร์ม ได้แก่ Facebook, Instagram, Twitter และ YouTube เพื่อค้นหา Influencers 10 อันดับ ที่โดดเด่นที่สุดประจำปีนี้

2562 ยังคงเป็นปีทองของคนธรรมดาที่กลายเป็นคนดังในหมวดไลฟ์สไตล์ ซึ่งมี Online Influencers ถึง 17 รายที่ติดเข้ามาในโผ โดยหมวดนี้มีความหลากหลายในคอนเทนต์อย่างมาก สามารถสร้างคอนเทนต์ได้ทั้งการพาเที่ยว กินอาหาร พูดคุยกับผู้ชม แปลรายการโทรทัศน์ มุกตลก ไปจนถึงดูดวง!? หมวดรองลงมา คือ Influencers หมวดความงามและแฟชั่น 7 ราย หมวดอาหาร 5 ราย และหมวดเกมมิ่ง 5 ราย ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมใกล้เคียงกัน

&nbsp;
<h2><span style="color: #3366ff;">Facebook</span></h2>
<img class="alignnone wp-image-7251 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/01.jpg" alt="Online Influencers Facebook" width="638" height="285" />

&nbsp;

<strong>อันดับ 1:</strong> ชีวิตติดรีวิว
<strong>หมวด:</strong> อาหาร
<strong>จำนวนโพสต์:</strong> 1,546
<strong>Engagement:</strong> 13,209,170

<img class="alignnone wp-image-7199 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Facebook_1_ชีวิตติดรีวิว-300x300.png" alt="" width="300" height="300" />

เพจรีวิวอาหารที่มีผู้ติดตามกว่า 3.2 ล้านคน ด้วยคาแรกเตอร์เพจเป็นผู้หญิงที่แทนตัวเองว่า “เจ๊” รีวิวอาหารระดับแมส เน้นความคุ้มค่าตั้งแต่ร้านอาหารขึ้นห้างฯ สตรีทฟู้ด สินค้าใหม่ไปจนถึงบอกโปรโมชั่นที่น่าสนใจ ทำให้มีแฟนติดตามอย่างเหนียวแน่น

&nbsp;

<strong>อันดับ 2:</strong> กับข้าวกับปลาโอ
หมวด: อาหาร
จำนวนโพสต์: 424
Engagement: 33,594,857

<img class="alignnone wp-image-7200 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Facebook_2_กับข้าวกับปลาโอ-300x300.jpg" alt="" width="300" height="300" />

Plaocooking เพจแนะนำาวิธีทำอาหารด้วยคลิปความยาว 3-4 นาที เน้นอาหารไทยเป็นหลัก ด้วยคาแรกเตอร์พ่อครัวชายอัดคลิปการทำอาหารที่ลองเข้าครัวตามได้ไม่ยาก พร้อมการพูดคุยหยอกล้อกับลูกเพจสร้างความใกล้ชิดจนมีผู้ติดตามกว่า 4.7 ล้านคน

&nbsp;

<strong>อันดับ 3:</strong> TripTH ทริปไทยแลนด์
หมวด: ท่องเที่ยว
จำนวนโพสต์: 581
Engagement: 7,560,851

<img class="alignnone wp-image-7201 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Facebook_3_TripTH-300x300.jpg" alt="" width="300" height="300" />

แนะนำทริปท่องเที่ยวโดยเน้นจุดท่องเที่ยวในประเทศไทย จุดเด่นของ TripTH คือการแนะนำทริปพร้อมตารางเวลา ข้อมูลการท่องเที่ยว และงบประมาณอย่างละเอียด คล้ายกับโปรแกรมทัวร์ ทำให้ผู้ติดตามสามารถจัดทริปตามได้ง่ายปัจจุบันเพจมีผู้ติดตามกว่า 2.7 ล้านคน

&nbsp;

&nbsp;
<h2><span style="color: #ff00ff;">Instagram</span></h2>
<img class="alignnone wp-image-7252 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/02.jpg" alt="Online Influencers Instagram" width="638" height="284" />

&nbsp;

<strong>อันดับ 1:</strong> มายด์ จิรเวชสุนทรกุล (@wjmild)
หมวด: ไลฟ์สไตล์
จำนวนโพสต์: 581
Engagement: 39,805,469

<img class="alignnone wp-image-7209 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/55962018_263173111234489_2668811888603290162_n-240x300.jpg" alt="" width="240" height="300" />

ไอดอลบนโลกออนไลน์ มายด์-ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล เริ่มเข้าวงการบันเทิงจากการประกวด Utip Freshy Beauty เมื่อปี 2554 ไอคอนแฟชั่นวัย 24 ปีคนนี้โด่งดังจากการโพสต์รูปของตัวเธอเองบน Instagram ปัจจุบันเธอมีผู้ติดตาม 2.8 ล้านคนที่คอยเช็กภาพเสื้อผ้าที่เธอใช้และสถานที่ที่เธอไปเยือน

&nbsp;

<strong>อันดับ 2:</strong> Sunbeary (@Sunbeary)
หมวด: ไลฟ์สไตล์
จำนวนโพสต์: 652
Engagement: 39,976,838

<img class="alignnone wp-image-7202 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Instagram_2_Sunbeary-300x200.jpg" alt="" width="300" height="200" />

Sunbeary (ซันแบรี่) เริ่มต้นจากการเป็นยูทูบเบอร์สาวโก๊ะสนุกสนาน บุคลิกเข้าถึงง่าย ทำาให้เธอมีผู้ติดตามเป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่น รวมถึงใน Instagram ด้วยผู้ติดตาม 1 ล้านคนของเธอจะได้พบกับภาพชีวิตของซาร์ต-ปัทมพร ปรีชาวุฒิเดชที่มีทั้งมุมสวยและตลกในคนเดียวกัน

&nbsp;

<strong>อันดับ 3:</strong> พิมฐา (@pimTHa)
หมวด: ไลฟ์สไตล์
จำนวนโพสต์: 649
Engagement: 44,271,466

<img class="alignnone wp-image-7210 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/57423207_680260305763887_1203814940994178059_n-300x300.jpg" alt="" width="300" height="300" />

พิม-ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล จัดได้ว่าเป็นตำนานไอดอลบนโลก Instagram ด้วยความน่ารักของตัวเธอเอง เรื่องราวของนักเรียนทุนในญี่ปุ่น ประกอบกับฝีมือการแต่งภาพโทนสีละมุนละไม ทำาให้โดดเด่นจนมีผู้ติดตาม 3.5 ล้านคน และโทนสีที่เธอใช้แต่งรูปกลายเป็นลายเซ็นที่สังคมโซเชียลเรียกกันติดปากว่าสไตล์พิมฐา

&nbsp;
<h2><span style="color: #00ccff;">Twitter</span></h2>
<img class="alignnone wp-image-7253 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/3.jpg" alt="Online Influencers Twitter" width="638" height="203" />

&nbsp;

<strong>อันดับ 1:</strong> ใต้เตียงดารา (@underbeddara)
หมวด: ไลฟ์สไตล์
จำนวนโพสต์: 649
Engagement: 44,271,466

<img class="alignnone wp-image-7203 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Twitter_1_ใต้เตียงดารา-300x300.jpg" alt="" width="300" height="300" />

เริ่มต้นจากใน Facebook ต่อยอดมาสู่โลก Twitter ใต้เตียงดาราใช้เวลา 3 ปีเรียกผู้ติดตามได้ถึง 1.6 ล้านคน จากการทวีตข่าวดาราศิลปิน คนดังในแบบสื่อแทบลอยด์วงการบันเทิง

&nbsp;

<strong>อันดับ 2:</strong> มิลค์เศษใจ (@mimilkSS)
หมวด: ไลฟ์สไตล์
จำนวนโพสต์: 649
Engagement: 44,271,466

<img class="alignnone wp-image-7204 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Twitter_2_มิลค์เศษใจ-300x300.jpg" alt="" width="300" height="300" />

แม้จะโด่งดังจากการทวีตและรีทวีตเกี่ยวกับความงามเป็นหลัก แต่ผู้ติดตาม 1.14 ล้านคนของเธอยังจะได้ติดตามไลฟ์สไตล์ของเธอด้วย นอกจากเครื่องสำาอางเธอยังทวีตเรื่องอาหาร รายการโทรทัศน์ ไปจนถึงคำคมความรัก ตามรูปแบบ Twitter ไทยที่มีครบทุกมุมในคนๆ เดียว

&nbsp;

<strong>อันดับ 3:</strong> Wongnai (@wongnai)
หมวด: ไลฟ์สไตล์
จำนวนโพสต์: 649
Engagement: 44,271,466

<img class="alignnone wp-image-7205 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Twitter_3_wongnai-300x300.jpg" alt="" width="300" height="300" />

Influencer ที่ยื่นมือออกจากแอพพลิเคชั่นของตัวเองเพื่อเข้าหาผู้คนบนโลกโซเชียลมีเดีย “วงใน” ทวีตรีวิวอาหารการกิน วิธีทำาอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และโลกความงาม ปัจจุบันมีผู้ติดตาม 2.18 ล้านคนที่พร้อมติดแฮชแท็กส่งภาพอาหารมาแนะนำร่วมกับ wongnai.com

&nbsp;

&nbsp;
<h2><span style="color: #ff0000;">Youtube</span></h2>
<img class="alignnone wp-image-7254 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/4.jpg" alt="Online Influencers Youtube" width="638" height="205" />

&nbsp;

<strong>อันดับ 1:</strong> zbing z.
หมวด: เกมมิ่ง
จำนวนโพสต์: 373
Engagement: 584,026,944

<img class="alignnone size-full wp-image-7206" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/YouTube_1_zbing.jpg" alt="" width="288" height="288" />

เกมเมอร์สาวนักแคสต์เกมที่มีชื่อจริงว่า “พี่แป้ง” เป็นหนึ่งในนักแคสต์เกมชื่อดังของเมืองไทย zbing z. (ซีบิ๊ง) มีสไตล์การรีวิวเกมด้วยเสียงพากย์ที่ตลกและสดใส แม้แต่คนที่ไม่ได้เล่นเกมก็สามารถเพลิดเพลินไปกับคลิปของเธอได้ ทำาให้ช่องของ zbing z. มีผู้ติดตามกว่า 8.3 ล้านคน

&nbsp;

<strong>อันดับ 2:</strong> kaykai Salaider
หมวด: ไลฟ์สไตล์
จำนวนโพสต์: 95
Engagement: 646,287,435

<img class="alignnone size-full wp-image-7207" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/YouTube_2_Kaykai.jpg" alt="" width="288" height="288" />

ช่องเก๋ไก๋ สไลเดอร์ เริ่มต้นจากการถ่ายคลิปชีวิตของคู่รัก “เก๋-สไปรท์” จนวันนี้มีผู้ติดตาม 8.7 ล้านคนช่องไลฟ์สไตล์ยอดฮิตในหมู่ผู้ชมวัยประถม-มัธยมมีเนื้อหาเป็นเรื่องราวของคู่รักและกลุ่มเพื่อนร่วมกันทำากิจกรรมสนุกๆ ประกอบกับมุกและการตัดต่อที่ตลกถูกใจเด็กนักเรียน

&nbsp;

<strong>อันดับ 3:</strong> epicpb THgame (MonDEV)
หมวด: เกมมิ่ง
จำนวนโพสต์: 324
Engagement: 421,318,062

<img class="alignnone size-full wp-image-7208" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/YouTube_3_MonDEV.jpg" alt="" width="288" height="288" />

“พี่ม่อน” อีกหนึ่งเกมแคสเตอร์ที่ทำคลิปวิดีโอใน YouTube มากว่า 5 ปี เน้นการแคสต์เกมที่ถนัดเป็นส่วนใหญ่ โดยช่วงปีที่ผ่านมาเกมฮิตในช่องนี้ย่อมหนีไม่พ้น ROV MonDEV มีสไตล์การพากย์แบบดุเด็ดตามสถานการณ์เกมสายต่อสู้ที่มีความเร้าใจเรียกยอดผู้ติดตามกว่า 3.4 ล้านคน

&nbsp;

<em>เกณฑ์การวัดผล: การจัดอันดับ Influencers รวบรวมเฉพาะคนดัง/รายการ/สื่อ ที่สร้างชื่อเสียงจากโลกออนไลน์เป็นหลัก จึงไม่นับรวมดารา-ศิลปินในวงการบันเทิง โดยไวซ์ไซท์ใช้เครื่องมือ ZOCIAL EYE ในการเก็บข้อมูลและมีเกณฑ์การวัดผลแบ่งเป็น 4 หัวข้อคือ 1. Fans วัดปริมาณการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและผู้ติดตาม 2. Interactions วัดประสิทธิภาพหรือความสนใจต่อเนื้อหา 3. Shares วัดระดับการกระจายเนื้อหาผ่านปริมาณการแชร์ 4. Sentiments วัดความรู้สึกนึกคิดที่ตอบสนองต่อInfluencer รายนั้นๆ ทั้งนี้ ไวซ์ไซท์ขอสงวนข้อมูลสัดส่วนการชั่งน้ำหนักของแต่ละหัวข้อในการคิดคำนวณ</em>

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard/global-leaderboard/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html">10 อันดับ "ยูทูปเบอร์" รายได้สูงที่สุดในโลก ปี 2018</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/world/celeb-100-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94-10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4.html">CELEB 100: เปิด 10 อันดับคนดังทำเงินสูงสุด ปี 2018</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/2GB6P6G">คลิกเพื่ออ่าน บทความทางด้านธุรกิจ เพิ่มเติมได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://bit.ly/2GB6P6G"><img class="alignnone  wp-image-7213" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/COVER-71-350.jpg" alt="" width="263" height="378" /></a>

10 สุดยอด “Online Influencers” ประเทศไทย ปี 2562

<h2>สิงคโปร์ (พฤษภาคม 2561) – กลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของไทยมีทรัพย์สินรวมกันทะยานขึ้นเป็นกว่า 1.62 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (5.06 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นหนึ่งในสามจากปีที่แล้ว โดยผู้ที่ติดทำเนียบ 50 บุคคลร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย มีถึงสองในสามที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น เฉพาะสี่อันดับแรกมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นรวมกันเกือบ 2.5 หมื่นล้านเหรียญ (7.81 แสนล้านบาท) ทั้งนี้ สามารถติดตามรายชื่อในทำเนียบทั้งหมดได้ที่ <a href="http://www.forbes.com/thailand"><span style="color: #008080;">www.forbes.com/thailand</span></a> และ <a href="http://www.forbesthailand.com"><span style="color: #008080;">www.forbesthailand.com </span></a>รวมทั้งนิตยสาร Forbes Asia และ Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม</h2>
หลังผ่านพ้นช่วงเวลาซบเซาสั้น ๆ เศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มกลับมากระเตื้องอีกครั้ง ธนาคารโลกคาดการณ์เป็นครั้งแรกนับจากปี 2555 ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวกว่าร้อยละ 4 ในปี 2561 หลังการส่งออกเพิ่มขึ้นผนวกกับความต้องการในประเทศฟื้นตัว แม้เศรษฐกิจจะโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ทรัพย์สินของบรรดาบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากตลาดหุ้นขาขึ้นและเงินบาทที่แข็งค่า

สี่อันดับแรกในทำเนียบมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นสูงสุด โดย<strong>พี่น้องตระกูลเจียรวนนท์แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์</strong>ยังครองอันดับหนึ่งอย่างต่อเนื่องด้วยทรัพย์สินมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3 หมื่นล้านเหรียญ (9.37 แสนล้านบาท)  ด้วยแรงหนุนจากราคาหุ้นของบริษัทสำคัญ ๆ ที่ทะยานขึ้น อาทิ บมจ.ซีพี ออลล์ ซึ่งเป็นบริษัทบริหารร้านค้าสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่ได้อานิสงส์จากบรรยากาศการบริโภคที่สดใส และบริษัทประกันภัย Ping An ที่ได้อานิสงส์จากการลงทุนในธุรกิจฟินเทค

อันดับที่สองประจำทำเนียบเป็นของ<strong>ตระกูลจิราธิวัฒน์แห่งกลุ่มเซ็นทรัล</strong> มาพร้อมทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นแตะ 2.12 หมื่นล้านเหรียญ (6.62 แสนล้านบาท) จาก 1.53 หมื่นล้านเหรียญ ในปีที่ผ่านมา <strong>เฉลิม อยู่วิทยา</strong> แห่งกระทิงแดงมาในอันดับที่ 3 โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 8.5 พันล้านเหรียญ เป็น 2.1 หมื่นล้านเหรียญ (6.56 แสนล้านบาท) ในปีนี้ <strong>เจริญ สิริวัฒนภักดี</strong> (อันดับ 4) แห่งกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ มีทรัพย์สินเพิ่มจากปีที่ผ่านมา 2 พันล้านเหรียญ รวมเป็นมูลค่าทรัพย์สิน 1.74 หมื่นล้านเหรียญ (5.43 แสนล้านบาท)

<strong>Aloke Lohia</strong> (อันดับ 9) เป็นมหาเศรษฐีอีกหนึ่งท่านที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาก  ทรัพย์สินของเขาทะยานแตะ 3.3 พันล้านเหรียญ (1.03 แสนล้านบาท) พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 89 การบรรลุข้อตกลงที่สำคัญนับตั้งแต่ปี 2557 ของเขาทำให้ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์สเข้าเป็นเจ้าของกิจการ 16 แห่งทั่วโลก ซึ่งรวมถึงกิจการในยุโรปและอเมริกาเหนือ ในปี 2560 บริษัทรายงานตัวเลขรายได้ 8.4 พันล้านเหรียญ เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึงร้อยละ 17

สิ่งสะท้อนความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นคือ ปีนี้มีถึง 32 อันดับที่มีทรัพย์สินระดับพันล้านเหรียญขึ้นไป เพิ่มจากปี 2560 สี่อันดับ (5 ท่าน) โดยสองในนี้เป็นมหาเศรษฐีใหม่ที่เพิ่งเข้าอันดับเป็นครั้งแรกหลังพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ <strong>สารัชถ์ รัตนาวะดี</strong> (อันดับ 7) ซีอีโอแห่ง บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งเข้าตลาดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่ร่ำรวยที่สุดด้วยทรัพย์สินมูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญ (1.06 แสนล้านบาท) และอีกหนึ่งคือ<strong>ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ</strong> (อันดับ 14) เข้าทำเนียบมาเป็นปีแรกด้วยทรัพย์สินสุทธิ 2.1 พันล้านเหรียญ(6.56 หมื่นล้านบาท)

อีกสองมหาเศรษฐีหน้าใหม่ประจำทำเนียบมาจากธุรกิจความสวยความงามที่กำลังเฟื่องฟู ได้แก่ <strong>นพ.สุวินและธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ</strong> (อันดับ 40) แห่งบิวตี้ คอมมูนิตี้ โดยทั้งคู่มีทรัพย์สินรวมกัน 715 ล้านเหรียญ (2.23 หมื่นล้านบาท) และ<strong>สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์</strong> (อันดับ 45) กับมูลค่าทรัพย์สิน 675 ล้านเหรียญ (2.11 หมื่นล้านบาท) ดู เดย์ ดรีม ของเขาทำรายได้อย่างงามจากกระแสคลั่งไคล้ผิวขาว

ในบรรดามหาเศรษฐีนี 9 คนที่เข้าสู่ทำเนียบในปีนี้ สองคนเป็นผู้ที่กลับเข้าสู่อันดับอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งรวมถึง <strong>สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ</strong> (อันดับ 28) ประธานกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ด้วยทรัพย์สิน 1.3 พันล้านเหรียญ (4.06 หมื่นล้านบาท)  ด้าน <strong>Nishita Shah Federbush</strong> (อันดับ 32, 1.06 พันล้านเหรียญ) ทายาทธุรกิจขนส่งทางทะเลผู้กุมบังเหียนจีพี กรุ๊ป เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีนีที่โดดเด่นด้วยมูลค่าทรัพย์สินของตระกูลมีมูลค่าเกิน 1 พันล้านเหรียญเป็นครั้งแรก โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากการเข้าถือหุ้นร้อยละ 51 ในบมจ. เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ บริษัทยาและผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพที่ Kirit พ่อของเธอเป็นผู้ก่อตั้งในปี 2525

จากการกำหนดทรัพย์สินสุทธิขั้นต่ำของผู้ที่ได้รับการจัดอันดับที่ 600 ล้านเหรียญ ทำให้มีมหาเศรษฐีเจ็ดคนหลุดจากทำเนียบ 50 อภิมหาเศรษฐีไทยไปในปีนี้ รวมทั้งภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ บมจ. อีสเทิร์นโพลีเมอร์ของเขาทำรายได้และผลกำไรลดลงจากอุปสงค์ที่อ่อนแรงและราคาวัตถุดิบที่ถีบตัวสูงขึ้น

รายชื่อตระกูลและอภิมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของไทย

พี่น้องเจียรวนนท์              มูลค่าทรัพย์สิน  3.0 หมื่นล้านเหรียญ
ตระกูลจิราธิวัฒน์             มูลค่าทรัพย์สิน  2.12 หมื่นล้านเหรียญ
เฉลิม อยู่วิทยา                 มูลค่าทรัพย์สิน  2.1 หมื่นล้านเหรียญ
เจริญ สิริวัฒนภักดี            มูลค่าทรัพย์สิน  1.74 หมื่นล้านเหรียญ
วิชัย ศรีวัฒนประภา           มูลค่าทรัพย์สิน  5.2 พันล้านเหรียญ
กฤตย์ รัตนรักษ์               มูลค่าทรัพย์สิน  3.7 พันล้านเหรียญ
สารัชถ์ รัตนาวะดี             มูลค่าทรัพย์สิน  3.4 พันล้านเหรียญ
นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ      มูลค่าทรัพย์สิน  3.35 พันล้านเหรียญ
Aloke Lohia                    มูลค่าทรัพย์สิน  3.3 พันล้านเหรียญ
วานิช ไชยวรรณ               มูลค่าทรัพย์สิน  3 พันล้านเหรียญ

การจัดอันดับในทำเนียบฯ ใช้ข้อมูลทางการเงินและการถือครองหุ้นที่ได้รับจากครอบครัวและผู้ที่ได้รับการจัดอันดับ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์ และหน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงทรัพย์สินของครอบครัวและทรัพย์สินที่ถือครองโดยสมาชิกครอบครัวในหลายรุ่น ทั้งนี้มูลค่าทรัพย์สินในบริษัทมหาชนคำนวณจากราคาหุ้น และอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 20 เมษายน  ส่วนทรัพย์สินในบริษัทที่ถือครองส่วนตัวประเมินค่าโดยเปรียบเทียบกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ <a href="http://www.forbesthailand.com"><span style="color: #008080;">www.forbesthailand.com</span></a> และ <a href="http://www.forbes.com/thailand"><span style="color: #008080;">www.forbes.com/thailand</span></a>

การจัดอันดับ 50 อภิมหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2561 จากนิตยสาร Forbes

<em>เรื่อง: บำรุง อำนาจเจริญฤทธิ์ ภาพ: ศุภชัย รอดประจง</em>

ชื่อของตระกูล <strong>“พุฒิพิริยะ”</strong> กำลังถูกจารึกบนธุรกิจค้าปลีกของไทย กว่าทศวรรษของการต่อสู้ ภายใต้การนำของคู่สามีภรรยา <strong>ธวัชชัยและอมร</strong> สร้าง <strong>“ธนพิริยะ”</strong> ในจังหวัดเชียงรายฝ่าฟันอุปสรรคจนเติบโหญ่ วันนี้ บริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ท้าชนเชนยักษ์ใหญ่จากต่างชาติ ประกาศศักดิ์ศรีร้านค้าปลีกภูธร

สมรภูมิการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก จังหวัดเชียงรายไม่แพ้สมรภูมิในเมืองหลวง ปัจจุบันจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทยเต็มไปด้วยร้านค้าปลีกรายใหญ่เข้าจับ จองพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น <strong>เทสโก้</strong> (8 สาขา) <strong>บิ๊กซี</strong> (1 สาขา) <strong>ท็อปส์</strong> (2 สาขา) <strong>แม็คโคร</strong> (1 สาขา) หรือ <strong>เซเว่น อีเลฟเว่น</strong> (20 สาขา) ทว่า ท่ามกลางมรสุมนี้ ยังมีร้านค้าปลีกท้องถิ่นรายหนึ่งชื่อ <strong>“ธนพิริยะ”</strong> หรือที่คนท้องถิ่นเรียกสั้นๆ ว่า <strong>“ธน”</strong> ยืนหยัดอยู่ในตลาดอย่างโดดเด่นและเติบโตขยายกิ่งก้านสาขา ท่ามกลางร้านค้าปลีกท้องถิ่นที่ทยอยปิดตัวลง

ปรากฏการณ์ นี้ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ร้านค้าปลีกภูธรรายนี้อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร? ทำอย่างไรจึงสามารถยืนหยัดต่อกรกับยักษ์ใหญ่ของวงการค้าปลีก ที่มีทั้งเงินทุน ความรู้ และอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่เหนือกว่า

เบื้องหลังความสำเร็จนี้เกิดจากมันสมองของ <strong>ธวัชชัย และอมร พุฒิพิริยะ</strong> สามีภรรยาชาวเชียงราย ที่ไม่ยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้ เหมือนกับร้านค้าปลีกท้องถิ่นรายอื่นๆ หลังค้าปลีกเชนใหญ่ได้บุกเข้าถึงถิ่นตั้งแต่ปี 2540 ทั้งคู่ตัดสินใจลุกขึ้นสู้ แปรเปลี่ยนความกังวลเป็นพลัง พร้อมมุ่งมั่นทำการบ้านอย่างหนัก วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของคู่แข่ง วางยุทธศาสตร์การเติบโต เพราะพวกเขาเชื่อว่า <strong>“โอกาส”</strong> ยังมีในตลาดนี้

จวบจนวันนี้ สิ่งที่เขาตัดสินใจทำในวันนั้นก็พิสูจน์ว่า พวกเขาคิดไม่ผิด “การเข้ามาของบิ๊กซีสาขาแรกของเชียงราย พวกเราก็กลัว แต่พวกเราตั้งสติ พวกเราคิดว่าเราไม่ตาย เชื่อว่าทุกอย่างมีทางรอด” <strong>ธวัชชัย</strong> กรรมการผู้จัดการ <strong>บมจ.ธนพิริยะ</strong> เล่าเผยถึงความเด็ดเดี่ยวที่ธนพิริยะใช้ในการฝ่าฟันมา

<strong>สานต่อโชว์ห่วย </strong>

ธุรกิจค้าปลีกของ<strong>ตระกูลพุฒิพิริยะ</strong> อยู่คู่กับจังหวัดเชียงรายมากว่า 50 ปีแล้ว เริ่มก่อตั้งแต่รุ่นพ่อกับร้านโชว์ห่วยแบบดั้งเดิม จนกระทั่งยทายาทรุ่นที่ 2 <strong>ธวัชชัย</strong> ซึ่งในขณะนั้นอายุได้ 26 ปีและเข้ามาสานต่อดูแลกิจการ หลังจากจบการศึกษาจากคณะอุตสาหกรรมเกษตร สาขาวิทยาศาสตร์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ไม่นาน พร้อมกับ <strong>อมร</strong> ภรรยาที่จบคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกันบริหารร้านค้าเล็กๆ ด้วยงบทำธุรกิจเริ่มต้น 3 แสนบาท และในปี 2543 ได้เปลี่ยนชื่อร้านเป็น <strong>“ธนพิริยะ”</strong>

บริษัทเติบโตดีมาตลอด จนมาถึงปี 2540 <strong>บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์</strong>เข้า มาเปิดสาขาแรกที่เชียงราย ทำให้ยอดขายของร้านลดลงไปถึง 50% ในเดือนแรก ปรากฏการณ์นี้กลายเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของบริษัทว่า จะสู้ต่อหรือปิดกิจการ? แต่ทั้งคู่ก็เลือกที่จะสู้ โดยทำการวิเคราะห์ทั้งตัวเองและคู่แข่ง ทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง หรือที่เรียกว่า <strong>“SWOT Analysis”</strong> โดยเริ่มจากเปลี่ยนทัศนคติของคนทั่วไป ด้านราคา เขาพบว่า ราคาสินค้าของร้านค้าปลีกเชนใหญ่ไม่ถูกจริงเหมือนที่โฆษณาไว้ เขาวิเคราะห์แล้วว่า ธนพิริยะสามารถสู้ได้ในด้านราคา จึงพยายามทำราคาสินค้าของร้านให้ถูกกว่าร้านค้าปลีกเชนใหญ่ “เราพบว่าเราไม่ตาย แถมยังเติบโตอีกต่างหาก” <strong>อมร</strong>กล่าว

ธนพิริยะ ปรับเปลี่ยนบริษัทของตนเองเป็นการใหญ่ในทุกๆ ด้าน หลังจากการวิเคราะห์ซึ่งเขามีข้อได้เปรียบหลายอย่าง ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย, เครดิตเทอม, การตั้งราคา, ขนาดและที่ตั้ง และการบริการ

“การ เป็นร้านค้าท้องถิ่นที่เคยเป็นจุดอ่อน ตอนนี้กลายเป็นจุดแข็ง แล้วเอาจุดอ่อนของเขา มาเป็นจุดแข็งของเรา นี่คือโมเดลที่สร้างขึ้นมาใหม่เป็นโมเดลคนไทย เพราะเราคิดแบบคนไทย” <strong>ธวัชชัย</strong>กล่าว

ใน ที่สุดร้านธนพิริยะก็เติบโตขึ้น ธวัชชัยจึงตัดสินใจเปิดสาขาที่ 2 ในปี 2550 เพื่อรองรับกับความต้องการ จากนั้นก็ขยายเรื่อยมาจนมี 10 สาขาในปี 2557 และเพิ่มเป็น 12 สาขาในปี 2558 <strong>จนวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 </strong>ธนพิริยะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ

หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ <strong>ครอบครัวพุฒิพิริยะ</strong> ยังถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอยู่ที่ 72.51% โดยปัจจุบัน <strong>อมร</strong> นั่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการ ทั้งคู่ร่วมแรงร่วมใจผลักดัน<strong>ธนพิริยะ</strong>ให้ก้าวไปข้างหน้า สำหรับ <strong>ธวัชชัย</strong> ก็พยายามปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเอง จากเดิมที่เป็น “เถ้าแก่” ให้เป็น “ผู้บริหารมืออาชีพ” เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น สิ่งนี้จะเป็นผลดีกับบริษัท คือ ช่วยดึงดูดพนักงานมืออาชีพเข้าร่วมงานกับบริษัทเพิ่มมากขึ้น

“อนาคต อยากเห็นคนเชียงรายถือหุ้นธนพิริยะ เหมือน social enterprise พวกเราอยากโตไปกับสังคมเชียงราย สร้างงานให้คนทำมากมาย... ท้ายสุดก็อยากให้ธุรกิจของผมเป็นโมเดลให้คนไทยได้เรียนรู้ต่อไป” เขากล่าว
<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/chart---02.jpg" alt="" width="547" height="348" />

<hr />

<a href="http://goo.gl/TZk7tr">อ่านฉบับเต็ม <strong>"จิ๋วภูธร ดัน “ธนพิริยะ” สู้ยักษ์ค้าปลีก"</strong> ได้ที่ <strong>Forbes Thailand</strong> ฉบับ <strong>JANUARY 2016</strong>ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/TZk7tr"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/cover---on-web-link-e-book.jpg" alt="" width="259" height="340" /></a>

จิ๋วภูธร ดัน “ธนพิริยะ” สู้ยักษ์ค้าปลีก

<em><strong>เรื่อง</strong>: <strong>ชญานิจฉ์</strong> <strong>ดาศรี</strong></em>

รถโดยสารสีเขียวที่ถูกเรียกขานกันจนติดปากชาวเหนือว่า <strong>“เมล์เขียว”</strong> เป็นธุรกิจที่ริเริ่มโดยอดีตช่างซ่อมรถยนต์ <strong>คำรณ ทองคำคูณ</strong> จากอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้รอนแรมขึ้นเหนือมาตั้งรถรากเปิดอู่ซ่อมรถยนต์ที่อำเภอเด่นชัย จังหวัดลำปางตั้งแต่ปี 2493 พร้อมครอบครัวซึ่ง <strong>ทองสุข ทองคำคูณ</strong> ผู้เป็นพ่อ คืออดีตหมาดเล็กของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ที่เก็บเกี่ยวความรู้ด้านเครื่องยนต์จากเมื่อครั้งเคยอาสาไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนที่คำรณจะนำเงินออมราว 2 แสนบาทมาร่วมทุนกับเพื่อนๆ จับจองสัมปทานให้บริการรถโดยสารขนส่งเส้นทางลำปาง-เชียงราย ในนาม<strong>บริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด</strong> เมื่อปี 2507

ในสมัยนั้น รถที่นำมาให้บริการยังเป็นรถที่ลักษณะคล้ายรถบรรทุก มีตัวถังทำจากไม้ เรียกกันว่า <strong>“รถคอกหมู”</strong> แต่โดดเด่นตรงด้านข้างรถที่มีสีเขียว จึงเป็นที่มาของคำว่า <strong>“เมล์เขียว”</strong> แล้วจึงปรับปรุงทั้งตัวรถและบริการต่างๆ จนกลายร่างเป็น <strong>Green Bus</strong> โดยทายาทรุ่นสองวัย 52 ปีผู้เป็นบุตรชายคนสุดท้องของครอบครัวคือ <strong>สมชาย ทองคำคูณ</strong> กรรมการผู้จัดการใหญ่ <strong>บริษัท ชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด</strong>(Green Bus) ในปัจจุบัน

<strong>สมชาย </strong>ถ่ายทอดวิถีธุรกิจในรุ่นพ่อที่ดำเนินการในนามบริษัท ไทยพัฒนกิจขนส่งว่า “หลัง <strong>‘เมล์เขียว’</strong> เริ่มให้บริการได้สักพัก ก็ค่อยๆ ขยับขยายเส้นทางให้บริการเพิ่มตามถนนตัดใหม่จนครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือตอนบนเกือบทั้งหมด"

“ตอนนั้นไทยพัฒนกิจขนส่ง มีรถวิ่งรวมกันไม่ถึง 20 คัน โดยผู้ร่วมทุนในบริษัทจะใส่เงินกองกลางสำหรับค่าใช้จ่ายของบริษัท แต่แยกกันเก็บรายได้จากรถตัวเอง” <strong>คำรณ</strong> ตัดสินใจมาบุกเบิกเส้นทางสายเชียงใหม่-เชียงราย แต่เพียงผู้เดียวเนื่องจากเพื่อนๆ ซึ่งเคยร่วมวิ่งรถด้วยกันปฏิเสธที่จะมาลองเสี่ยง เพราะมองว่าเส้นทางลำบากและผ่านเพียงสองจังหวัดเท่านั้น

ในปัจจุบัน ผู้บริหารหลักที่เป็นพี่น้องจากครอบครัวทองคำคูณ ซึ่งเป็นทายาทสายตรงจากผู้ก่อตั้งบริษัท จึงมี <strong>สมชาย</strong>และพี่สาวอีกสองคนคือ <strong>ปรียา เวโรจน์</strong> และ<strong>นงลักษณ์ ทองคำคูณ</strong>

เส้นทางรับช่วงกิจการ <strong>Green Bus</strong> ของสมชายเริ่มอย่างเป็นทางการในวัย 24 ปีหลังเรียนจบปริญญาตรี ภารกิจแรกที่ได้รับมอบหมายคือวางระบบงานบริหารทรัพยากรบุคคลที่เป็นมาตรฐานขึ้น ที่ครอบคลุมตั้งแต่การรับสมัครพนักงาน การฝึกอบรม และการจ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม

“ใช้เวลานานเหมือนกันสำหรับคนที่เพิ่งมาทำงานใหม่ๆ ก็ค่อยทำไปทีละเรื่องจนกว่าจะตกผลึก ตอนนั้นให้เขียนหน้าที่ของตำแหน่งงานคนขับยังเขียนไม่ค่อยจะถูก จนเริ่มเป็นธุรกิจมืออาชีพอย่างชัดเจนเมื่อนำมาตรฐานอุตสาหกรรม ISO มาใช้”

และในวัย 33 ปีเขาก็ได้รับสืบทอดตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เพื่อกุมพวงมาลัยขับเคลื่อนชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ แทนพ่อของเขาอย่างเต็มตัว ในยุคแจ้งเกิดแบรนด์ <strong>Green Bus</strong> ให้แพร่หลาย <strong>สมชาย</strong>เล่าว่าบริษัทเน้นหนักที่การปรับภาพลักษณ์ของบริการและตัวรถโดยสารให้ดูทันสมัยขึ้น โดยเริ่มนำรถมาตรฐาน VIP 24 ที่นั่งมาให้บริการ ซึ่งเด่นตรงเบาะโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบาย พร้อมกับต่อยอดพัฒนาระบบไอทีเพื่อเป็นรากฐานของระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

หนทางสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้านของ <strong>Green Bus</strong> แวะป้ายแรกที่ความร่วมมือในรูปแบบ Coach Share หรือความร่วมมือด้านการจำหน่ายตั๋วโดยสารสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากยังคงมีอุปสรรคเรื่องการขออนุญาตจากกระทรวงคมนาคมให้ผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางสามารถเดินรถระหว่างประเทศได้เช่นเดียวกับ<strong>บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)</strong> แต่<strong> สมชาย</strong> เชื่อว่าในอีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้าจะเริ่มให้บริการขนส่งผู้โดยสารไปยังเมืองสำคัญในประเทศเพื่อนบ้านได้

ทั้งนี้เพื่อเสริมความพร้อมให้แกร่งยิ่งขึ้น บริษัทจึงมีแผนจะนำ<strong>บริษัท ชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่</strong> เข้าจดทะเบียนและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาส 3 ของปีนี้

แม้จะเริ่มจากทุนตั้งต้นที่ไม่มากนัก แต่ด้วยใจสู้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ มุมมองที่กว้างไกลและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบัน <strong>บริษัท ชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่</strong> มีรายได้กว่า 500 ล้านบาท ในปี 2557 และจะจบที่กว่า 520 ล้านบาท โดยคาดการณ์รายได้ที่ เกือบ 550 ล้านบาทในปี 2559

นอกจากบริการรถโดยสารประจำทางแล้ว <strong>Green Bus</strong> ยังพัฒนาบริการอื่นๆ แต่ปัจจุบันรายได้หลักของ <strong>Green Bus </strong>ยังคงมาจากด้านรถโดยสารประจำทางถึง 90% ส่วนที่เหลือมาจากขนส่งพัสดุภัณฑ์ที่ราว 8% และบริการรถเช่าเหมาประมาณ 2%

<hr />

<a href="http://goo.gl/8MhWJo">คลิ๊กอ่าน <strong>"Green Bus: รถเมล์เมืองเหนือ หมุนล้อสู่เส้นทางต่างแดน"</strong> ฉบับเต็มได้ที่ <strong>Forbes Thailand</strong> ฉบับ <strong>December 2015</strong></a>
<a href="http://goo.gl/8MhWJo"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/DECEMBER%202015/cover%20new.jpg" alt="" width="361" height="471" /></a>

Green Bus: รถเมล์เมืองเหนือ หมุนล้อสู่เส้นทางต่างแดน

<h2>ผู้ริเริ่มธุรกิจหน้าใหม่หรือ startup ที่ไม่ต้องต่อสู้เพียงลำพัง เพราะมีผู้สนับสนุนทั้งจากฝั่งผู้บ่มเพาะอย่าง AIS และกูรูหุ้นเช่น stock2morrow ช่วยผลักดัน ส่งให้ startup เลือดไทยอย่าง “ธีระชาติ ก่อตระกูล” ผู้ก่อตั้งบริษัทสยามสแควร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ก้าวข้ามอุปสรรคและประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับ</h2>
ในฐานะผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น <strong>StockRadars</strong> สำหรับวิเคราะห์และติดตามราคาหุ้น และอีกสารพัด app ที่มุ่งนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม ช่วยทำให้ชีวิตผู้คนง่ายขึ้น เช่น Taxi Reporter, Maybank Kimeng, Nomura, KT-ZMICO เป็นต้น

StockRadars ผ่านบทพิสูจน์ศักยภาพมาระดับหนึ่ง หลังเริ่มเปิดให้บริการ 1 ปี ด้วยยอดดาวน์โหลดที่ 150,000 ครั้ง และมีผู้ใช้บริการราว 1 แสนราย และคาดว่าจะไต่ถึง 2 แสนราย เมื่อติดตั้งระบบวิเคราะห์หุ้นแบบเรียลไทม์ ล่าสุดยังคว้ารางวัลชนะเลิศหมวด Financial Industry Application จากการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่นประจำปี 2014 ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APICTA) เมื่อพฤศจิกายน 2557

กระทั่งเตะตานักลงทุนต่างประเทศ 2 บริษัทคือ Cyber Agent Ventures จากประเทศญี่ปุ่น และ East Ventures จากประเทศสิงคโปร์ มาร่วมลงทุนเพื่อส่ง startup ไทยไปจองพื้นที่ในตลาดโลก ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาฟังก์ชั่นเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ 5 ภาษาภายใน 2 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของแต่ละท้องถิ่น ได้แก่ สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง และออสเตรเลีย

แม้จะมีนักบุกเบิกไทยแจ้งเกิด app ไปแล้วหลายราย แต่หากจะไปให้ไกลจนคว้าดาวได้ ต้องไม่ถอดใจง่ายๆ พร้อมทั้งต้องมีพันธมิตรช่วยดันหลัง ก่อนจะถึงเป้าหมาย เจ้าของกิจการน้องใหม่ไฟแรงทั้งหลายก็อย่ามัวรอช้า รีบเร่งฉกฉวยโอกาสและมุ่งมั่นปั้นกิจการให้ได้ดังที่วาดหวังไว้

StockRadars: app เลือดไทย ตรึงใจทุนต่างแดน

<em>เรื่อง: พรพรรณ ปัญญาภิรมย์ ภาพ: จันทร์กลาง กันทอง </em>

<a href="http://goo.gl/5xHloU">(คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม <strong>"มนต์ใบไม้ “อภัยภูเบศร” พลิกตำรายาแพทย์แผนไทย"</strong> ได้ที่ <strong>Fobes Thailand</strong>ฉบับ <strong>AUGUEST 2015</strong>)</a>
<h2><strong>หมอยาแห่งเมืองปราจีนบุรี ดร</strong><strong>.สุภาภรณ์ ปิติพร ปลุกปั้น “อภัยภูเบศร” เขย่าวงการแพทย์ไทย ยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นสร้างตำรับยาจากสมุนไพรหลายพันชนิด พร้อมเดินหน้าก้าวสู่ผู้นำด้านการแพทย์แผนไทยในอาเซียน</strong></h2>
ภาพของเภสัชกรหญิงในชุดทะมัดทะแมงกำลังลงพื้นที่ป่าเพื่อศึกษาเรื่องสมุนไพรกับหมอชาวบ้านกลายเป็นภาพคุ้นตาของชาวปราจีนบุรีตลอดระยะเวลามากกว่า 30 ปี นับตั้งแต่สำเร็จการศึกษาเภสัชศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล และเลือกเริ่มต้นรับราชการในตำแหน่งหัวหน้างานผลิตยาทั่วไปและยาปราศจากเชื้อที่โรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศรเมื่อปี 2526

ท่ามกลางผลิตภัณฑ์แพทย์แผนไทยจำนวนมากที่วางขายในร้านประสานสุขโอสถ ฟิวเจอร์มาร์ท บนถนน พระราม 3 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่ของอภัยภูเบศร <strong>ดร</strong><strong>.สุภาภรณ์ ปิติพร</strong> เภสัชกร 9 หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ยังคงระลึกถึงวันแรกที่เริ่มต้นเส้นทางว่า

“เรามีความสุขที่ได้เรียนรู้ เรามองเห็นความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาการใช้ประโยชน์พืชพรรณของหมอยาพื้นบ้าน ตอนนั้นความรู้สึกเหมือนออกจากกะลา และเริ่มมีความคิดว่า ทำไมประเทศไทยต้องนำเข้ายาแผนปัจจุบันจำนวนเงิน 130,000-160,000 ล้านบาทในแต่ละปี ทำไมโรคง่ายๆ เราไม่ทำยาของเราขึ้นมาเอง”

ความคิดดังกล่าวสร้างแรงบันดาลใจให้กับ <strong>ดร.สุภาภรณ์</strong> เธอจึงเริ่มต้นศึกษาหาความรู้จากการลงพื้นที่และพูดคุยกับหมอชาวบ้านตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน กระทั่งทุกวันนี้ในวัย 54 ปี เธอยังคงแบ่งเวลาส่วนหนึ่งเดินทางเลาะเลียบตามแนวตะเข็บชายแดน เพื่อเก็บรวบรวมพันธุ์สมุนไพรในป่า และแสวงหาองค์ความรู้ด้านสมุนไพรเพิ่มเติมจากหมอยาในเครือข่ายทั่วประเทศราว 12 คน

“สมัยเราจบใหม่ บางทีไม่มีเงินทอง หมอยาเหล่านี้ก็หาข้าวให้ทาน เราได้พบหมอยาทั้งตัวจริงและไม่จริง ถ้าเจอหมอที่ใช่ เราจะเล่าให้เขาฟังว่ากำลังทำอะไร ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่ต้องการรักษาภูมิปัญญาเหล่านี้ไว้ มีตำราหลายเล่มที่หมอยาเก็บไว้ไม่ให้คนในหมู่บ้านดู แต่กลับนำมาให้เราดู เพราะเขามองเราเหมือนศิษย์”<strong>ดร.สุภาภรณ์</strong> บอกเล่าเหตุการณ์ที่ประทับใจในอดีต

ความสำเร็จแรกที่ทำให้ <strong>ดร.สุภาภรณ์</strong> มีกำลังใจศึกษาและพัฒนาสมุนไพรอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นในปี 2529 เมื่อความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ผสมผสานกับภูมิปัญญาไทยด้านสมุนไพรกลายเป็นยาตำรับแรก <strong>“กลีเซอรีนเสลดพังพอนตัวเมีย”</strong> สำหรับรักษาโรคเริมในปากเด็ก โดยถูกนำมาใช้ภายในโรงพยาบาลแทนยาต่างประเทศ และยังเป็นครั้งแรกของการผลิตสมุนไพรด้วยกรรมวิธีแบบแพทย์แผนปัจจุบัน ก่อนที่อภัยภูเบศรจะผลิตสมุนไพรอื่นๆ ตามมา

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของอภัยภูเบศรเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เมื่อยาสมุนไพรไทยที่ถูกใช้ภายในโรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อทดแทนยาต่างประเทศราคาแพง สามารถผงาดขึ้นแท่นเป็นผลิตภัณฑ์ยาแพทย์แผนไทยที่มีการจัดจำหน่ายทั่วประเทศ

จากการสนับสนุนอย่างดีจาก <strong>นายแพทย์เปรม ชินวัฒนานนท์</strong> ที่เป็นแรงหนุนสำคัญในการเดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มตัวในฐานะนิติบุคคลในปี 2545 เพื่อวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์อภัยภูเบศรอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้การบริหารงานในรูปแบบคณะกรรมการบริหารของมูลนิธิ

ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ<strong>อภัยภูเบศร</strong> แบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ ด้านงานการบริการของ<strong>อภัยภูเบศร</strong> ประกอบด้วย ร้านยาไทยต้นแบบโพธิ์เงิน-อภัยภูเบศร โอสถ งานบริการนวดไทยอภัยภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้การดูแลสุขภาพภาคประชาชน ศูนย์สารสนเทศสมุนไพร (Call Center)

สิ่งปฎิบัติที่สำคัญอีกสิ่งที่เกิดควบคู่กับการเติบโตของ <strong>อภัยถูเบศร</strong> คือ <strong>กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise)</strong> อภัยภูเบศร นับเป็นกิจการเพื่อสังคมที่ชัดเจนในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างกำไร การมุ่งสร้างสรรค์สังคม และการสนับสนุนสิ่งแวดล้อม กระทั่งได้รับการยอมรับในระดับสากลโดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป

“หลายคนมองว่า เรามีชื่อเสียงขนาดนี้น่าจะขายได้เป็นพันล้านแล้ว แต่เราพอใจแค่นี้ เพียงมีเงินทำกิจกรรมเพื่อสังคม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามพื้นฐานที่มีอยู่ เรามองอภัยภูเบศรเป็นโรงพยาบาล ไม่ว่าคนจนหรือคนรวยสามารถใช้ได้ ดังนั้น ทุกคนเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา เรามีปรัชญาพื้นฐานว่า ต้องทำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีประโยชน์จริง และทำเพื่อชุมชน เราไม่ทำผลิตภัณฑ์ตามกระแสถ้าไม่มั่นใจ”

ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในวันนี้ของอภัยภูเบศรอยู่ในระดับประมาณ 300 กว่าล้านบาท ซึ่งนั่นไม่ใช่ตัวเลขที่สวยหรูเมื่อเทียบกับจำนวนผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและการเดินทางมาได้ไกลกว่าสมุนไพรไทยหลายแบรนด์ในตลาด หากแต่ <strong>Social Enterprise</strong> ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจเพื่อประโยชน์ทางสังคมและประเทศมากกว่าตัวเลขรายได้

ก้าวต่อไปของ<strong>อภัยภูเบศร</strong> คือการปั้น <strong>อภัยภูเบศรเวชนคร</strong>ให้เป็นผู้นำด้านการแพทย์แผนไทย (การแพทย์ดั้งเดิม) ในอาเซียน รวมไปถึงโครงการยักษ์ใหญ่ <strong>“อภัยภูเบศรเวชนคร เฮลท์คอมเพล็กซ์ เขาใหญ่”</strong> บนพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ ประกอบด้วย สวนสมุนไพร ASEAN ที่รวบรวมพันธุ์สมุนไพรอย่างน้อย 2,000 ชนิด

<iframe id="instagram-embed-0" class="instagram-media instagram-media-rendered" src="https://www.instagram.com/p/7cCudNw3JV/embed/?cr=1&amp;v=4&amp;wp=300&amp;rd=http%3A%2F%2Fforbesthailand.com&amp;rp=%2Fentrepreneurs-detail.php%3Fdid%3D555#%7B%22ci%22%3A0%2C%22os%22%3A1073.339999999007%7D" height="530" frameborder="0" scrolling="no" allowfullscreen="allowfullscreen" data-instgrm-payload-id="instagram-media-payload-0" data-mce-fragment="1"></iframe>

<hr />

<a href="http://goo.gl/5xHloU">คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม <strong>"มนต์ใบไม้ “อภัยภูเบศร” พลิกตำรายาแพทย์แผนไทย"</strong> ได้ที่ <strong>Fobes Thailand</strong>ฉบับ <strong>AUGUEST 2015</strong></a>

มนต์ใบไม้ “อภัยภูเบศร” พลิกตำรายาแพทย์แผนไทย

เรื่อง: พรพรรณ ปัญญาภิรมย์ ภาพ: Satra P.
<a href="http://goo.gl/CuklCS">(คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม <strong>"ข้าวโพดหวานสันป่าตอง ปูพรมส่งออกทั่วโลก"</strong> ได้ที่ <strong>Forbes Thailand</strong> ฉบับ <strong>JULY 2015</strong>)</a>

บทพิสูจน์ความสำเร็จของข้าวโพดหวานไทยเมืองเชียงใหม่จาก <strong>ดร. องอาจ กิตติคุณชัย</strong> สร้างฐานลูกค้าต่างชาติมากกว่า 200 บริษัท ใน 60 ประเทศทั่วโลก พร้อมจัดทัพรุกแจ้งเกิดแบรนด์ <strong>KC</strong> เติบโตอย่างยั่งยืน

ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 <strong>บริษัท เคซี เชียงใหม่อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด</strong> ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2534 ปรับทัพทางธุรกิจเลือกใช้ข้าวโพดเป็นอาวุธหลักในการฝ่าฟันภาวะที่ยากลำบากในช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการในประเทศขณะนั้นร่วงหล่น นอกจากความมุ่งมั่นในการนำพาธุรกิจ สิ่งที่ <strong>ดร.องอาจ กิตติคุณชัย</strong>ประธานกรรมการ <strong>บริษัท ซันสวีท จำกัด</strong> การส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ

“ซันสวีทมีฐานการผลิตที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่บริษัทเราส่งออกเกือบ 100% ลูกค้าเราทั้งหมดเป็นบริษัทชั้นนำในหลายประเทศ โดยเฉพาะลูกค้าญี่ปุ่น เพราะเราซัพพลายด้านอาหารได้เป็นอย่างดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย โดยวันนี้เขาพยายามผลักดันเราให้ยกระดับบริษัทสู่ความเป็นมืออาชีพที่มีความน่าเชื่อถือและความมั่นคงในระยะยาว"

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/JULY%202015/image-(2).jpg" alt="" />
ด้วยการงัดกระบวนยุทธ์ที่สั่งสมตลอดเส้นทางธุรกิจสินค้าเกษตรนำข้าวโพดไทยแจ้งเกิดในตลาดโลก เริ่มจากการเคาะประตูในดินแดนแห่งความหวังจากแสงอาทิตย์อุทัย โดยนำสินค้าและธุรกิจมาอวดโฉมในงานสุดยอดมหกรรมด้านอาหารของประเทศญี่ปุ่น หากแต่กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จได้เพียงวันเดียว การบุกตลาดต่างประเทศต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจ กว่าจะได้รับการยอมรับ การเจรจาพูดคุยระหว่างนักธุรกิจไทยและญี่ปุ่นเกิดขึ้นนับสิบครั้ง รวมถึงกระบวนการปรับปรุงระบบการผลิต และเทคโนโลยีให้ได้มาตรฐานระดับสากล

ปัจจุบัน <strong>ซันสวีท </strong>สามารถขึ้นแท่นเป็น 1 ใน 3 ผู้ผลิต และส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องและข้าวโพดหวานแช่แข็งรายใหญ่ของประเทศไทย ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ถึงผู้ผลิต สายพันธุ์ที่ดี และเทคโนโลยีเครื่องจักร วิธีการผลิต R&amp;D ฯลฯ โดยมีเป้าหมายการเติบโตเพื่อการทำตลาดทั่วโลก

<hr />

<a href="http://goo.gl/CuklCS">คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม <strong>"ข้าวโพดหวานสันป่าตอง ปูพรมส่งออกทั่วโลก"</strong> ได้ที่ <strong>Forbes Thailand</strong> ฉบับ <strong>JULY 2015</strong></a>

ข้าวโพดหวานสันป่าตอง ปูพรมส่งออกทั่วโลก

<em>เรียบเรื่องใหม่ จากงานเขียนโดย:บำรุง อำนาจเจริญฤทธิ์  ภาพ:ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล</em>
<h2>เมล็ดกาแฟดอยช้างจากที่ราบสูงทางเหนือของไทย ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วทุกมุมโลก ท่ามกลางความมุ่งมั่นของชุมชนชาวเขาผู้ผลิตที่ยึดมั่นทำธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ผลิตสินค้าคุณภาพ ไม่ทำเกินกำลัง อีกทั้งคืนกำไรที่ได้สู่ชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของการทำงาน</h2>
เราเริ่มต้นด้วยกัน 3 คน บริษัทนี้เกิดจากคนบ้า...จุดแข็งคนละแบบ ความบ้าคนละแบบ” <strong>พิษณุชัย แก้วพิชัย</strong> นักธุรกิจโรงแรมมากประสบการณ์ และ ประธานที่ปรึกษา <strong>บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด</strong> ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของกาแฟ <strong>“ดอยช้าง”</strong> ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบยามค่ำบนยอดเขา อากาศเย็น ท้องฟ้าโปร่ง เต็มไปด้วยหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับ ที่บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

“ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลยในธุรกิจ รู้เพียงแต่ว่าทำอย่างไรให้กาแฟอราบิก้าที่ชุมชนอาข่าปลูกขายได้” <strong>ปณชัย พิสัยเลิศ</strong> กรรมการผู้จัดการ บริษัทฯ และอดีตผู้ใหญ่บ้านชาวอาข่า กล่าวเสริมถึงจุดเริ่มปั้นกาแฟดอยช้างจากศูนย์จนขึ้นแท่นเป็นกาแฟพรีเมียมระดับโลก มีกลิ่นหอมคงเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

<strong>ปณชัย</strong> นำปัญหาขาดช่องทางจัดจำหน่าย ปรึกษา <strong>วิชา พรหมยงค์</strong>  (อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัทฯ ผู้เสียชีวิตเมื่อต้นปี 2557) หนุ่มเมืองหลวงที่มีเพื่อนพ้องมากมายทั้งในไทยและนอกประเทศ จากนั้นวิชาขอให้พิษณุชัย ช่วยอีกแรง พิษณุชัยมิรีรอเขียนแผนธุรกิจขึ้น โดยเน้นแบบ <strong>“สุดซอย”</strong> หรือ <strong>“from earth to cup”</strong> นำไปสู่การเปิดตัว <strong>“กาแฟดอยช้าง”</strong> ในปี 2546

แต่แผนธุรกิจที่วางไว้ย่อมไม่ง่ายอย่างใจคิด มีปัญหาให้คบคิดตั้งแต่เงินทุนซึ่งคาดหวังไว้กลับถูกปฏิเสธ แม้ได้เงินกู้มาแล้ว ปัญหาจากการหาตลาดเพื่อจำหน่ายสินค้าจึงเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากรสนิยมนักดื่มกาแฟคนไทย จึงต้องหันไปพึ่งพาตลาดต่างประเทศแทน โดยมีไต้หวันเป็นตลาดแรกในปี 2547 และได้รับการตอบรับพอสมควร แต่การจะไปไกลสู่เวทีโลกมีด่านสำคัญยิ่งกว่าเพื่อไปสู่เวทีโลก

จนกระทั่งปี 2549 บริษัทฯ เริ่มตั้งหลักได้อย่างจริงจัง พัฒนาตัวเอง ร่วมลงทุนกับนักลงทุนต่างประเทศ การเปิดขายแฟรนไชส์ การขายเมล็ดกาแฟดิบ โดยตั้งเป้าเปิดร้านกาแฟดอยช้างในต่างแดนกว่า 200 ร้านทั่วโลก ทั้งยังร่วมลงทุนกับ บริษัทในเครือบริษัท สิงห์คอร์ปอเรชัน จำกัด และบริหารบริษัทในกลุ่มดอยช้างในธุรกิจกาแฟ

“เราพยายามทำร้านกาแฟ โดยไฮไลต์ไปที่ตัวกาแฟ ไม่ใช่ตัวร้าน เราทำแฟรนไชส์ขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าได้บริโภคกาแฟของเราที่มีคุณภาพ เราไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นทำร้านขึ้นมาสร้างแบรนด์ จากนั้นซื้อกาแฟใครก็ได้แล้วทำแฟรนไชส์ ขายแมเนจเมนต์ เขาไม่ได้ผลิตกาแฟเอง แต่เราผลิตเอง” <strong>พิษณุชัย</strong>กล่าว และกล่าวอีกว่า "ทุกวันนี้ เก็บเท่าไร ก็ไม่พอขาย”

<hr />

<a href="http://goo.gl/XTYH2N">คลิ๊กอ่าน <strong>"ดอยช้าง กาแฟไทยในเวทีโลก"</strong> ฉบับเต็มได้ที่ <strong>FORBES THAILAND</strong> ฉบับ <strong>MAY 2015</strong></a>

ดอยช้าง กาแฟไทยในเวทีโลก

<h2>เกือบ 3 ทศวรรษแห่งผู้นำด้านบริการเดินรถโดยสารข้ามจังหวัด “เครือวัลย์ วงศ์รักมิตร” ยังใส่เกียร์ 5 พานครชัยแอร์ แซงหน้าคู่แข่งด้วยบริการคุณภาพ สู่จุดหมายใหม่คือตลาดหลักทรัพย์ไทย</h2>
เครือวัลย์ วงศ์รักมิตร กรรมการผู้อำนวยการสายงานบริการบริษัท นครชัยแอร์ จำกัด เดิมเคยทำงานประจำที่ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง แต่ต้องออกมาช่วยกิจการเดินรถของครอบครัว ซึ่งสร้างงานสะสมมาตั้งแต่รุ่นปู่ แม้ว่าในระยะแรกต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 35 ล้านบาท แต่ด้วยประสบการณ์ของครอบครัวที่ทำธุรกิจด้านนี้มายาวนาน สถาบันการเงินมีความเชื่อมั่น จึงทำให้ไม่ต้องลำบากมากนั้นในการหาหลักประกันเพื่อขอกู้เงิน

“คุณพ่อทำกิจการเดินรถมาตลอด และมองว่าเป็นธุรกิจที่ดี และให้บริการด้วยมาตรฐานที่ดีมาตลอด”เครือวัลย์ย้ำแนวทางของธุรกิจ

ในยุคที่นครชัยแอร์แจ้งเกิดนั้น ต้องปรับปรุงสถาพรถอย่างเร่งด่วน แม้ว่าจะซื้อมาแล้วในราคากว่า 2 ล้านบาทก็ตาม เช่น ปรับเบาะที่นั่งให้ลดลงจาก 42 เป็น 32 ที่นั่ง เพื่อให้มีพื้นที่ในตัวรถมากขึ้น หรือสร้างห้องสูบบุหรี่ เป็นต้น จนมาถึงปัจจุบันเสริมด้วยนวัตกรรมใหม่ เช่น ติดตั้งระบบ GPS ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ เบาะนวดตัว ฯลฯ เพื่อย้ำความเป็นผู้นำในการบริการด้านนี้ ดังนั้นแล้ว รถรุ่นใหม่ๆ ของนครชัยแอร์จึงต้องมีเครื่องยนต์ที่ดีกว่า เร็วกว่า ประหยัดกว่า และขับได้ง่ายกว่า

รวมทั้งยังพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรถ จนทำให้ผู้โดยสารติดอกติดใจ ทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่เตรียมไว้พร้อม และห้องน้ำที่สะอาด

ในฐานะธุรกิจบริการจึงไม่อาจละเลยบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขับและพนักบริการประจำรถ เครือวัลย์จึงเริ่มงานปรับปรุงคุณภาพชีวิตพนักงาน ทั้งการฝึกอบรมด้านบริการ จัดหาที่พัก จัดหาอาหาร รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้คำแนะนำโปรแกรมดูแลสุขภาพแก่พนักงานเป็นรายบุคคล ครอบคลุมตั้งแต่รายการอาหาร ตารางออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพ

“มีพนักงานสมัครใจเข้าโครงการแล้วกว่า 400 คน จากพนักงานราว 1,400 คน ซึ่งพบว่าทุกคนที่เข้าโครงการสุขภาพดีขึ้น”

หลังจากนครชัยแอร์นำระบบสมาชิกมาใช้ราว 10 ปี ทำให้มีฐานสมาชิกกว่า 400,000 รายแล้ว ทั้งจากการแนะนำแบบปากต่อปาก พลังของเครือข่ายสังคมออนไลน์ และนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการจองตั๋วผ่านเว็บไซต์และโมบายแอพพลิเคชั่น ในปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน หรือ 300,000 คนต่อเดือน หรือราว 3 ล้านคนต่อปี

เป้าหมายสำคัญต่อไปคือการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวงเงิน 1.5 พันล้านบาท โดยพร้อมกระจายหุ้นให้กับพนักงานอีกด้วย คาดการณ์ว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไป (IPO) ราวไตรมาส 3 ของปี 2558  เพื่อเตรียมพร้อมในการขยายกิจการครั้งใหญ่ใน 3-5 ปีข้างหน้า ไม่ว่าการเพิ่มจำนวนรถจาก 300 เป็น 500 คัน รวมทั้งขยายเส้นทางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา เป็นต้น
<div>

“โชคดีที่ทำมา 28 ปี เราผิดพลาดน้อยกว่าที่สำเร็จมาก” เครือวัลย์ยอมรับว่า เคยมีการตัดสินใจที่ผิดพลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนหลีกหนีไม่พ้น พร้อมทั้งยอมรับว่า แรงหนุนสำคัญมาจากคณะกรรมการบริษัทและทีมงานบริหารที่เก่ง รวมทั้งการค้นคว้าหาข้อมูลที่ดีมาก จึงมีส่วนทำให้การตัดสินใจเกิดข้อผิดพลาดน้อย

<strong>หมายเหตุ: ล่าสุดนครชัยแอร์ เปิดตัว All Thai Taxi ไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 รุกตลาดรถแท็กซี่ ชูจุดเด่นที่ความปลอดภัยและเทคโนโลยีขั้นสูง ติดตามรายละเอียดได้ที่</strong> <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=314">http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=314</a>

<hr />

<a href="http://goo.gl/W5d494"><strong>สรุปและเรียบเรียงจาก "นครชัยแอร์ สู่จุดหมายใหม่ที่ไกลกว่าเดิม", <em>Forbes Thailand </em>ฉบับ JULY 2014</strong></a>

</div>

นครชัยแอร์: สู่จุดหมายใหม่ที่ไกลกว่าเดิม

<h2><strong>รับมือยักษ์ออนไลน์โลก Amazon-Alibaba บุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   WhatsNew Groupผนึกเว็บอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นสู้ ล่าสุดซื้อกิจการเว็บค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ MOXY</strong></h2>
<div>Ardent Capital ผู้ก่อตั้งบริษัท WhatsNew Group เจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซสินค้าไลฟ์สไตล์ ตกลงเข้าซื้อกิจการเว็บไซต์ MOXY หนึ่งในผู้ให้บริการสินค้าออนไลน์ด้านไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งก่อตั้งโดย "แชนนอน (ชาริณี) กัลยาณมิตร" ผู้วางรากฐานให้แบรนด์ MOXY แข็งแกร่งในเวลาอันรวดเร็ว</div>
<div></div>
<div>และเธอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริหาร WhatsNew Group ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด (Group Chief Marketing Officer) โดยเชื่อมั่นว่าประสบการณ์ของเธอจาก PricewaterhouseCoopers, Lehman Brothers และ Rocket Internet จะช่วยทำให้ WhatsNew Group เข้มแข็งมากขึ้น</div>
<div></div>
<div>CMO คนใหม่ของ WhatsNew เปิดเผยว่า สาเหตุที่หลายแบรนด์ยังไม่ก้าวสู่ธุรกิจออนไลน์ เพราะยังเชื่อที่ว่าจะฉุดภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ต่ำลง เหมือนกับว่าเป็นของราคาถูก แต่สำหรับ MOXY และ WhatsNew ไม่คิดเช่นนั้น เราจึงตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อพัฒนาตลาดอีคอมเมิร์ซให้เติบโตได้เร็วกว่าเดิม</div>
<div></div>
<div><a href="http://www.moxyst.com/">MOXY</a> เป็นเว็บไซต์น้องใหม่ที่เน้นสินค้าไลฟ์สไตล์ ที่เข้าเสริมทัพเว็บค้าปลีกออนไลน์ <a href="http://www.petloft.com/">Petloft</a>, <a href="http://www.venbi.com/">Venbi</a>, <a href="http://www.sanoga.com/">Sanoga</a> และ <a href="http://www.lafema.com/">Lafema</a> ภายใต้การบริหารของบริษัท <a href="http://www.whatsnew.asia/">WhatsNew Group</a></div>
<div></div>
<div>บริษัท WhatsNew ก่อตั้งในปี 2556 ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย บริหารงานโดย Adrian Vanzyl และพอล ศรีวรกุล เจ้าของบริษัท Ardent Capital จำกัด และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง aCommerce และ Ensogo  ในปัจจุบัน WhatsNew ดำเนินกิจการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซรวมทั้งหมด 5 เว็บไซต์ ได้แก่  Petloft, Venbi, Sanoga, Lafema และล่าสุด MOXY</div>
<div></div>
<div>WhatsNew จัดจำหน่ายสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่อาหารสัตว์ อุปกรณ์สำหรับเด็กเล็ก สินค้าสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ความงาม และสินค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ รวมทั้งหมดประมาณ 1,000 แบรนด์ 20,000 กว่ารายการ มุ่งเป้าหมายครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเชื่อมโยงเว็บไซต์ทั้งห้าเข้าด้วยกัน ผู้บริโภคสามารถล็อกอินเข้าสู่ระบบเพียงครั้งเดียว การดำเนินธุรกิจที่ผ่านมาเพียง 1 ปี ยอดสั่งซื้อเติบโตถึง 1,000% มูลค่าสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 20% ต่อปี</div>
<div></div>
<div>เหตุผลที่ WhatsNew ตัดสินลงทุนในเว็บไซต์ MOXY แทนที่จะก่อตั้งเว็บไซต์ขึ้นใหม่นั้น เนื่องจากมาตรฐานการให้บริการของ MOXY นั้นอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นหลักของ MOXY ทั้ง 3 คน จะยังคงบริหารงานต่อไป</div>
<div></div>
<div>"การสร้างสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ต้องใช้เวลา ถ้าจะสร้างขึ้นเองใหม่หมดต้องใช้เวลามาก เมื่อพิจารณาจากเครือข่ายที่ MOXY ได้สร้างไว้แล้ว" ไทย คำมณีวงศ์ ซีอีโอของ WhatsNew กล่าวอีกว่า การปรับตัวไปสู่สินค้าไลฟ์สไตล์นั้นเป็นกลยุทธ์หลัก เพราะเมื่อตลาดเข้าใกล้จุดอิ่มตัวแล้ว การมีผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัวจะทำให้อยู่เหนือคู่แข่ง และช่วยขยายฐานของลูกค้า</div>
<div></div>
<div>นอกจากนี้ ซีอีโอ WhatsNew กล่าวถึงตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า กำลังอยู่ในระยะเริ่มต้น และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทระดับโลกอย่าง Amazon และ Alibaba กำลังมองหาลู่ทางเข้ามาตีตลาดในไม่ช้า เราจึงมองว่าการผนวกเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้วเข้ามาร่วมธุรกิจ จะสามารถตอบโจทย์ได้ดีที่สุด</div>
<div></div>
<div>ทั้งนี้ รูปแบบการทำธุรกิจครั้งนี้จะคล้ายกับ Quidsi บริษัทอีคอมเมิร์ซของสหรัฐอเมริกา ที่ถูก Amazonซื้อกิจการไปเมื่อ 5 ปีก่อน ด้วยมูลค่า 550 ล้านเหรียญ ในเวลานั้น Quidsi ดูแลเว็บไซต์ทั้งหมด 3 เว็บไซต์ ปัจจุบันเพิ่มเป็น 10 เว็บไซต์ เมื่อเทียบกับ WhatsNew ที่มีร้านค้าออนไลน์ทั้งหมด 5 เว็บไซต์ ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี และในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ก็จะประกาศเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่อีก</div>
<div>

<hr />

อ่านประกอบ: <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=261">พอล ศรีวรกุล: ปั้น Startups อาเซียนด้วย VC</a>

</div>

WhatsNew อีคอมเมิร์ซพันธุ์ไทย สร้างอาณาจักรครองอาเซียน

<h2><strong>ถือว่าเป็นเรื่องหายากสำหรับสามีภรรยาที่ต้องดูแลลูก 3 คน ควบคู่กับจับมือดำเนินธุรกิจมูลค่าพันล้านเหรียญด้วยกัน แล้วนี่คือเรื่องราวของความเหนื่อยล้ากับความสำเร็จในบริษัท Houzz</strong></h2>
<div>“เราชอบนักธุรกิจที่ตั้งบริษัทมาเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตของตัวเอง แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์หรือสาขานั้นๆ ก็ตาม” Alfred Lin หุ้นส่วนของ Sequoia Capital ซึ่งลงทุนใน Houzz ตั้งแต่ปี 2011 ให้ความเห็น “พวกเขาเปิดประเด็นแบบที่คนในอุตสาหกรรมนั้นๆ ไม่เคยทำมาก่อน ตลอดจนมองปัญหาในมุมมองที่หลายคนมองข้ามมาโดยตลอด”</div>
<div></div>
<div>Adi Tatarko และ Alon Cohen ภรรยา-สามีชาวอิสราเอลพำนักในสหรัฐฯ ซึ่งพบรักกันระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทย คือผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Houzz  โดยใช้เวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น ทำให้เว็บแห่งนี้เป็นเว็บไซต์ยอดนิยม 1 ใน 200 ของสหรัฐฯ  สองผู้ก่อตั้งยังคงถือหุ้นรวมกัน 1 ใน 3 ของหุ้นทั้งหมด มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 500 ล้านเหรียญ ในขณะที่นักลงทุนมั่นใจว่า Houzz มีส่วนแบ่งทางการตลาดในสินค้าตกแต่งและดีไซน์ระดับโลก 300 ล้านเหรียญ และยังตีมูลค่าของบริษัทว่าต้องเกิน 2,000 ล้านเหรียญแน่</div>
<div></div>
<div>หากคุณต้องการหาไอเดียปรับปรุงห้องครัวให้ทันสมัย หรือเป็นสถาปนิก-นักออกแบบที่อยากนำเสนอผลงานของตน ก็นำภาพมาฝากไว้ที่ Houzz ได้ และการเปิดตัวบนไอแพดในเดือนเมษายน 2014 ช่วยยืนยันว่าเนื้อหาที่เต็มไปด้วยภาพของ Houzz ทรงพลังอย่างยิ่ง เหมาะแก่การค้นหาผ่านแท็บเล็ตก่อนนอน หรือเป็นอุปกรณ์ประกอบการเจรจาในมื้อกลางวันระหว่างสถาปนิกกับลูกค้า ทำให้นักออกแบบไม่ต้องหอบม้วนกระดาษให้พะรุงพะรังอีกต่อไป</div>
<div></div>
<div>

“ถ้าไม่มีเว็บไซต์นี้ เรานึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะดำเนินธุรกิจอย่างราบรื่นได้แบบนี้หรือเปล่า” Mike Close เจ้าของ Spinnaker Development บริษัทรับก่อสร้างบ้านหรูใน California กล่าว “ความจริงแล้ว เวลามีอะไรใหม่ๆ เราอัพเดตข้อมูลในเว็บ Houzz ก่อนที่จะอัพเดตเว็บของตัวเองเสียอีก”

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Enterpreneurs/Screen%20Shot%202557-11-24%20at%2011.23.26%20AM%20copy.jpg" alt="" />

</div>
<div></div>
<div>ทั้งคู่ก่อตั้ง Houzz จากประสบการณ์ตรง ที่ต้องปวดหัวอยู่นานกว่า 3 ปี กับความพยายามปรับปรุงบ้านให้สวยงามเรียบร้อย ขณะที่ช่วงนั้นอินเทอร์เน็ตมีบทบาทในชีวิตคนมานาน 15 ปีแล้วก็ตาม แต่กลับไม่สามารถตอบสนองความต้องการของทั้งคู่ได้ Houzz จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยเงินออมจากการทำงานประจำเดือนละ 2 พันเหรียญ  Cohen ซึ่งขณะนั้นเป็นวิศวกรประจำ eBay ใช้พื้นที่ข้างห้องครัวนั่งดูแลเว็บไซต์ ส่วน Tatarko ซึ่งทำงานพาร์ตไทม์ด้านที่ปรึกษาการเงิน เป็นฝ่ายดูแลเนื้อหา</div>
<div></div>
<div>“เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่เน้นสไตล์ใดเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงบ้านคนดัง ไม่นำเสนอภาพฟุ้งเฟ้อที่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นเว็บไซต์ที่ผู้ใช้สามารถดูด้วยตาของตัวเองว่าสไตล์การตกแต่งแบบไหนเหมาะสมกับบ้านของเขาจริงๆ” Takarto สาธยายปรัชญาของ Houzz</div>
<div></div>
<div>จนมาถึงจุดเปลี่ยนช่วงปลายปี 2009 เมื่อมีคนเข้าชม Houzz เป็นจำนวนมาก จะทำเป็นแค่งานอดิเรกในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ไม่ได้อีกแล้ว ต้องมีวิศวกรกับบรรณาธิการทำงานเต็มเวลา บริษัทต้องอาศัยเงินมหาศาลมากกว่าเงินออมของ Takarto กับ Cohen  ทั้งคู่จะหันหน้าพึ่งใครดี “ตอนนั้นผมกับภรรยากลัวนักลงทุนที่แสวงหากำไร” Cohen สารภาพ</div>
<div></div>
<div>ดังพระมาโปรดเมื่อ Oren Zeev นักลงทุนแห่ง Silicon Valley ยื่นมือมาช่วย โดยสัญญาว่าจะให้ทั้งสองดูแลบริษัทต่อไป และจะหาทางสนับสนุนธุรกิจตามแนวทางเดิม ในเดือนกรกฎาคม 2010 เขารวบรวมนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเข้ามาซื้อหุ้น 35% ในราคา 2 ล้านเหรียญ ขณะที่นักลงทุนที่หากำไรตามมาทีหลัง</div>
<div></div>
<div>“เธอเป็นคนหัวดื้อมาก” Zeev กล่าวถึง Tatarko “ยืนกรานมาตลอดว่าถ้าเปิดให้โฆษณาเร็วเกินไป จะทำให้คนใช้เว็บรู้สึกผิดหวัง”</div>
<div>

<hr />

“รักขิต รัตจุมพฏ” เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/georgeanders/2014/10/15/houzzs-founders-have-become-techs-newest-power-couple/">Houzz's Founders Have Become Tech's Newest Power Couple</a> โดย George Anders

อ่าน <strong>“คู่ขวัญทรงพลังหน้าใหม่แห่งวงการค้าปลีก”</strong> ฉบับเต็มได้ใน <em>Forbes Thailand</em> ฉบับ JANUARY 2015

</div>

คู่ขวัญจรรโลง Houzz เว็บแต่งบ้านมาแรง

<h2><strong>Facebook มีเรื่องราวการย้อนความหลังเป็นจุดขาย Twitter ถ่ายทอดเหตุการณ์ปัจจุบัน ส่วนPinterest สามารถระบุได้ว่าคุณอาจจะทำหรือซื้ออะไรในอนาคต ด้วยข้อมูลจากการปักหมุดความต้องการและความฝันที่คุณสนใจ เครือข่ายสังคมออนไลน์ทำรูปแบบธุรกิจมูลค่า 5 พันล้านเหรียญไว้ในมือ โดยจะต้องฟันฝ่ายักษ์ใหญ่อย่าง Google</strong></h2>
<div>แม้เพิ่งเปิดบริการมาได้เพียง 5 ปี แต่ Pinterest เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่รู้จักกันดี ที่ผู้ใช้งานสามารถแบ่งปันรูปสูตรอาหาร ทรงผม เครื่องใช้สำหรับเด็ก ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ โดยมีสัดส่วนผู้ใช้งานเป็นเพศหญิงถึง 80%</div>
<div></div>
<div>Pinterest ได้รับความนิยมมากกว่า Twitter ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ ประเมินกันว่าคนอเมริกัน</div>
<div>จะใช้บริการ Pinterest ทะลุ 40 ล้านรายในปี 2014  ขึ้นไปทาบ Twitter และ Instagram ในตลาดสหรัฐฯ และในตลาดต่างประเทศก็กำลังไล่กวดอย่างรวดเร็ว โดยได้เปิดสำนักงานใน London Paris Berlin และ Tokyo</div>
<div></div>
<div>จากการสำรวจของบริษัทวิจัยตลาด Semiocast เปิดเผยว่าสัดส่วนผู้ลงทะเบียนใช้งานใหม่เกือบ 50% เกิดนอกสหรัฐฯ และยังมีผู้ใช้งานเพศชายที่ออนไลน์เป็นประจำพุ่งขึ้นเป็น 2 เท่า</div>
<div></div>
<div>ข้อมูลล่าสุด ผู้ใช้ Pinterest ได้สร้างบอร์ดรูปภาพมากกว่า 750 ล้านบอร์ด ซึ่งเกิดจากการปักหมุดมากกว่า 3 หมื่นล้านครั้ง โดยเพิ่มขึ้นใหม่เฉลี่ยวันละ 54 ล้านครั้ง คัวเลขช่วงเทศกาลวันหยุดยาวสิ้นปี 2013 เกิดกิจกรรมส่งข้อมูลถึงกันในสังคมออนไลน์  ผ่าน Pinterest ถึง 1 ใน 4  เป็นรองแค่ Facebook ซึ่งมีฐานผู้ใช้ 1.3 พันล้านราย</div>
<div></div>
<div>หากจุดขายของ Facebook คือเหตุการณ์ในอดีต Twitter คือเรื่องราวในปัจจุบัน ฉะนั้น Pinterest เน้นเรื่องอนาคต</div>
<div></div>
<div>“มันคือเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่คุณปรารถนาและอยากจะทำในอนาคต” Ben Sibermann ซีอีโอของ Pinterest กล่าวไว้  ขณะที่ Joanne Bradford ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ กล่าวว่า “การปักหมุดแต่ละครั้งล้วนมีความหมาย มันบอกว่า ฉันกำลังมองหาโอกาสที่จะเอาสิ่งนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตของฉัน เหมือนเวลาที่คนเราฉีกหน้านิตยสารที่ชอบมาเก็บไว้”</div>
<div></div>
<div>ปัจจุบันแหล่งรายได้เดียวของ Pinterest คือโฆษณา ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ข้อมูลจากการสำรวจระบุว่าผู้ใช้ Pinterest มักจะโพสต์ลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้า และซื้อสินค้าราคาสูงมากกว่าผู้ใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ  หาก Pinterest ต้องการขึ้นเป็นผู้นำตลาดด้านนี้ในอนาคต จะต้องโค่นยักษ์ใหญ่อย่าง Google ซึ่งมีธุรกิจแบบเดียวกัน ที่เก็บข้อมูลความต้องการผู้บริโภค และขายให้กับนักการตลาด</div>
<div></div>
<div>Silbermann เคยทำงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ในฝ่ายโฆษณาของ Google ย่อมรู้ดีว่าเขาต้องเผชิญกับอะไร เขาบอกว่า Google เป็นเหมือน “อัลบั้มรวบรวมรายการ” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยแล้ว มันจะมีประโยชน์เมื่อผู้ใช้รู้ว่ากำลังมองหาอะไร</div>
<div></div>
<div>ขณะที่ Evan Sharp ผู้ร่วมก่อตั้ง สรุปสั้นว่า “Pinterest เปิดโลกใหม่ให้ผู้ใช้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่”</div>
<div></div>
<div>

<hr />

“นวตา สันติวัฒนา” เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/jeffbercovici/2014/10/15/inside-pinterest-the-coming-ad-colossus-that-could-dwarf-twitter-and-facebook/">Inside Pinterest: The Coming Ad Colossus That Could Dwarf Twitter And Facebook</a> โดย Jeff Bercovici

</div>
<div>อ่าน <strong>“ผู้ท้าชิงรายใหม่แห่งสังคมสื่อออนไลน์” </strong>ฉบับเต็มใน<em> Forbes Thailand </em>ฉบับ DECEMBER 2014</div>

Pinterest ผู้ท้าชิงรายใหม่แห่งสังคมสื่อออนไลน์

<h2><strong>กว่า 2 ทศวรรษในฐานะผู้ผลิตสินค้าเซรามิกให้แบรนด์ระดับโลก ผ่านมรสุมการเงินหลายลูก วันนี้เพชรเม็ดเอกแห่ง Crown Ceramics รวบรวมพลังอีกครั้ง พาธุรกิจครอบครัวเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทยใน 2 ปี</strong></h2>
<div>เส้นทางธุรกิจของ Crown Ceramics ซึ่งก่อตั้งในปี 2534 เริ่มต้นในยุคของบิดา โดยอรรณพ เชิดเกียรติศักดิ์ ปัจจุบันในวัย 58 ปี ได้เข้ามารับไม้ต่อในอีก 8 ปีถัดมา ต้องผ่านปัญหามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงปี 2540 การลดค่าเงินบาทและอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเหรียญสหรัฐฯ ต่อเงินบาทไทยจากเดิม 25 บาท ไปเกือบ 60 บาท จนทำให้บริษัทมีกำไรสูงมาก แต่เมื่อเศรษฐกิจของประเทศกลับดี ค่าเงินบาทดีดกลับ ทำให้ตัวเขาต้องเจองานหนักระหว่างปี 2548 ถึง 2552 เพราะทำให้บริษัทขาดทุนถึง 200 ล้านบาท จากอัตราแลกเปลี่ยน จนต้องเจรจากับธนาคารเพื่อขอผ่อนปรนสถานะทางการเงิน</div>
<div></div>
<div>เมื่อค้นพบปัญหาว่าเกิดจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากเกินไป อรรณพตัดสินใจหาตลาดใหม่มาถ่วงดุล โดยเข้าร่วมเปิดบูธในงาน Ambiente ซึ่งเป็นงานแฟร์สินค้าที่ใช้ในบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดปีละครั้งที่ Frankfurt ประเทศเยอรมนี ซึ่งได้รับการตอบรับจนได้ลูกค้า super brands ระดับโลกเพิ่มอีก โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย จนทำให้ฐานะทางการเงินดีขึ้น เขาคาดว่าปี 2557 จะมียอดขายรวมกว่า 800 ล้านบาท</div>
<div></div>
<div>จนเกิดผลงานชิ้นโบแดง นั่นคือลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ให้เหลือเพียง 30% เพิ่มสัดส่วนตลาดใหม่ในยุโรปเป็น 60% และที่เหลือ 10% กระจายไปที่อื่นๆ โดยมีฮ่องกงและญี่ปุ่นเป็นตลาดสำคัญ</div>
<div></div>
<div>จุดเปลี่ยนสำคัญอีกอย่างก็คือการสร้างแบรนด์ของตนเองภายใต้ชื่อ “Crown” เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการรับจ้างผลิต ซึ่งทำให้ไร้อำนาจต่อรอง โดยมองหาลูกค้ากลุ่มโรงแรมห้าดาวและร้านอาหารหรูในประเทศ นอกจากนี้ยังมองหาลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนดังๆ มาผูกติดกับสินค้า เช่นตัวการ์ตูน Hello Kitty เป็นต้น เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และราคาขายปลีกค่อนข้างสูง สามารถสร้างรายได้ให้บริษัทได้มาก</div>
<div></div>
<div>โดยในปี 2559 จะเป็นหมุดหมายสำคัญของ Crown Ceramics เพราะอรรณพตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากแบรนด์ตัวเอง จาก 5% ให้เป็น 10% จากเป้ายอดขาย 1.2 พันล้านบาท เพิ่มจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าราว 960 ล้านบาท พร้อมกับการทำ IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย</div>
<div></div>
<div>

“สิ่งที่เรามาเป็น professional เราค่อนข้าง success ในระดับหนึ่ง การที่ให้เกิดความมั่นคงขององค์กรต่อไปในอนาคตคือ ทำอย่างไรให้สัดส่วนการขาย brand ของเราสัก 20-30% ขึ้นมาเพื่อมาเป็น balance ความเสี่ยง นี่คือสิ่งที่เราวางแผนต่อไปในอนาคต... เราอยากสร้าง Crown เป็นแบรนด์จากเมืองไทย”

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Enterpreneurs/income.jpg" alt="" />

</div>
<div>

<hr />

อ่าน <strong>“Crown Ceramics ล้มแล้วลุก มุ่งปั้นแบรนด์ ทำ IPO ปี 2559”</strong> ฉบับเต็มได้ใน <em>Forbes Thailand</em> ฉบับ JANUARY 2015

</div>

Crown Ceramics ล้มแล้วลุก มุ่งปั้นแบรนด์

<h2><strong>หญิงสาววัย 36 ผสมมรดกความรู้ในกิจกรรมงานวัดที่คลุกคลีมาแต่เด็ก ผสานความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจบริการ สู่ผู้บุกเบิกกิจกรรมการตลาดและความบันเทิงที่พลิกงานรื่นเริงไทยยุคเก่าให้ข้ามผ่านข้อจำกัดเรื่องสถานที่และฤดูกาล</strong></h2>
<div>แม้ว่า "เกษรา เอี่ยมสอาด" หรือ อ้อ จะพยายามขีดเส้นทางชีวิตตัวเอง ให้หนีห่างไปจากชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน สายไหม หรือแวดวงงานวัด ที่เป็นแหล่งเลี้ยงชีวิตประจำครอบครัวเธอมาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยาย แต่ด้วยมนต์ขลังของธุรกิจรับจัดงานกิจกรรมการตลาดและความบันเทิง หรือ event organizing ทำให้เกษราก่อตั้งบริษัท งานวัดดอทคอม จำกัด รับจัดงานบันเทิงในสไตล์และกลิ่นไอแบบงานวัดสำหรับองค์กรต่างๆ  มานานกว่า 6 ปีแล้ว</div>
<div></div>
<div>จากความผูกพันมาตั้งแต่เกิด และในยามว่างเว้นจากการเรียน พี่น้องทั้ง 4 คนต่างเข้ามาช่วยกิจการของแม่ ที่ได้ลงทุนพัฒนาธุรกิจของครอบครัวให้เติบโต มีเครื่องมือเครื่องเล่นงานวัดครบวงจร อาทิ ร้านยิงปืนยาว ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน จรวด รถไฟเด็ก สไลเดอร์ เป็นต้น  จนต่อมาลูกสาว 3 คนต่างก็หันมาจับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับงานวัด เว้นแต่พี่ชายคนรองที่เลือกทางชีวิตในธุรกิจธนาคารพาณิชย์</div>
<div></div>
<div>“เดิมแม่ไม่ได้คาดหวังให้ลูกคนอื่นๆ มาสืบทอด เพราะพี่สาวคนโตรับดูแลไป” เกษรากล่าว</div>
<div></div>
<div>

จากจุดเปลี่ยนที่เริ่มจากวิกฤตการเมืองในปี 2548 เกิดเหตุประท้วงปิดสนามบิน ทำให้ธุรกิจทัวร์ที่เธอทำร่วมกับเพื่อนๆ ขณะนั้นเกิดปัญหา จนเป็นเหตุให้ต้องถอนตัวออกมาช่วยกิจการของครอบครัว ที่กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกัน เมื่อพื้นที่จัดงานวัดเริ่มหดแคบลง จนตั้งวางเครื่องเล่นได้น้อยชิ้นตามไปด้วย

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Enterpreneurs/IMG_0271.JPG" alt="" />

</div>
<div>"งานวัดดอทคอม" สร้างสีสันในงานเปิดตัวภาพยนตร์ <em>แหยมยโสธร 2</em></div>
<div>

หลังจากใช้เวลาศึกษาทิศทางธุรกิจอยู่ราวสองปี เธอจึงเปิดบริษัทงานวัดดอทคอม จำกัด ในปี 2551  เพื่อผสานความสนุกสนานรื่นเริงในต่างจังหวัดแบบดั้งเดิม ให้เข้ากับการจัดงานบันเทิงสำหรับลูกค้าหรือพนักงานบริษัทในเมืองหลวง

</div>
<div></div>
<div>ความแปลกในแนวคิด การนำเสนอ และบริการที่สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ทำให้งานวัดดอทคอม บริษัทรับจัดอีเวนต์จากต่างจังหวัด เติบโต และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในเมืองหลวง ผ่านการแนะนำแบบ “ปากต่อปาก” และ เว็บไซต์ <a href="http://www.nganwad.com/">www.nganwad.com</a> ได้สร้างความประทับใจให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาหลายสิบครั้ง ทั้งงานที่จัดกลางแจ้ง และในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมห้าดาวในเมืองหลวง ฝากผลงานไว้มากมาย เช่น งาน Work Point Festival, งาน Fat Fest 10 10 (หึ่ม...) ปีแห่งความหลัง, งานสงกรานต์ Bangkok Songkran Festival 2013 @CentralWorld” , งานคอนเสิร์ตที่ประเทศญี่ปุ่น, งาน 20 ปีสานสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ปักกิ่ง - กรุงเทพ 2013 ที่ประเทศจีน</div>
<div></div>
<div>
<div>

“ผลสำเร็จในระดับที่ผ่านมาเราก็พอใจแล้ว แต่ก็หวังว่าในอนาคตถ้าโตขึ้นอีก 50% ก็จะยิ่งดี”

</div>

<hr />

<div>ติดตามอ่าน <strong>"งานวัดดอทคอม แปลงธุรกิจคุณยายให้ร่วมสมัย" </strong>ฉบับเต็มได้ ใน <em>Forbes Thailand</em>ฉบับ OCTOBER 2014</div>
</div>
<div>

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Covers/FB_017%201-page-001.jpg" alt="" />

</div>

งานวัดดอทคอม แปลงธุรกิจคุณยายให้ร่วมสมัย

<h2><strong>ถังเก็บน้ำสัญชาติไทยตรา Advanced สู้ศึกของปลอมราคาถูกจากแดนมังกร สร้างโรงงานประกาศความเป็นผู้นำในลาว พร้อมบริหารโอกาสทองเดินหน้ารุกต่อเนื่องในเมียนมาร์และกัมพูชา ตอกย้ำแบรนด์ไทยดีที่สุดในอาเซียน</strong></h2>
<div>นอกจากผลิตภัณฑ์ถังเก็บน้ำสแตนเลสและพอลิเมอร์ประทับตรา Advanced เรียงรายเต็มพื้นที่ 17 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปูแล้ว ยังมีซิงค์ล้างจาน ถังบำบัดน้ำเสีย ชุดลูกลอย เก้าอี้และโต๊ะสแตนเลส ภาชนะเครื่องครัว อุปกรณ์ห้องน้ำ อีกมากมาย</div>
<div></div>
<div>ตลอดระยะเวลา 19 ปีของ โกศิลป์ ภัทรธีรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ็ดวานซ์ สเตนเลสสตีล จำกัด ซึ่งเริ่มก่อตั้งในปี 2538 ด้วยเงิน 20 ล้านบาท เริ่มผลิตถังเก็บน้ำสแตนเลสบนพื้นที่ 5 ไร่ ต่อมาได้แตกแขนงสร้างผลิตภัณฑ์แตกต่างและหลากหลาย พร้อมขยายฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว หรือเมียนมาร์</div>
<div></div>
<div>เขาคือหนึ่งในนักธุรกิจที่ผ่านยุค "ต้มยำกุ้ง" อันเลวร้ายมาแล้ว หลังเดินเครื่องจักรผลิตเพียง 7 เดือน  ธนาคารศรีนครผู้ปล่อยกู้ประกาศเลิกกิจการเป็นรายแรกๆ วงเงินสินเชื่อทั้งหมดถูกตัด พร้อมกับแบกรับดอกเบี้ยที่ 16%</div>
<div></div>
<div>หลังรอดพ้นมรสุม โกศิลป์ใช้ประวัติการชำระหนี้ที่ขาวสะอาดเดินหน้าขอสินเชื่อใหม่จากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) เพื่อสร้างธุรกิจใหม่อีกครั้ง</div>
<div></div>
<div>ปัจจุบัน Advanced ครองส่วนแบ่งทางการตลาดติดอันดับ 1 ใน 3 ผลิตภัณฑ์ถังเก็บน้ำ ด้วยจำนวนยอดขายรวมปี 2556 ทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 600 ล้านบาท พร้อมก้าวเป็นผู้นำอันดับ 1 ในประเทศลาว และยังทำตลาดในเมียนมาร์ กัมพูชา รวมทั้งออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา</div>
<div></div>
<div>การเติบโตในต่างประเทศเริ่มเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังพบยอดสั่งสินค้าจากเวียงจันทน์ลดลงหลายคันรถ สุดท้ายโกศิลป์พบว่าสินค้าโดนลอกเลียนแบบโดยพ่อค้าจีน ที่มาลงทุนสร้างโรงงานผลิตที่นั่น ทำให้จำเป็นต้องเปิดโรงงานท้าชนกับของปลอมราคาถูก จนสามารถกลับมาครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในลาวได้สำเร็จ</div>
<div></div>
<div>โกศิลป์บอกว่ากุญแจสำคัญสำหรับความสำเร็จนอกประเทศอยู่ที่การเตรียมตัว “สร้างแบรนด์” หรือแต่งตัวให้กับบริษัทตลอดเวลา 19 ปี ที่ไม่เพียงแค่สร้างการรับรู้เท่านั้น แต่ยังต้องรักษาชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ด้วย “คุณภาพ” นับตั้งแต่วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานสแตนเลสแท้จากประเทศญี่ปุ่นหรือกลุ่มประเทศแถบยุโรป แม้ราคาจะสูงก็ตาม รวมถึงการควบคุมคุณภาพการผลิตให้ได้มาตรฐานระดับสากล</div>
<div></div>
<div>เขายังได้วางแผนระยะยาวที่จะบุกจีนตอนใต้ ได้แก่ Kunming (คุนหมิง) และ Xishuangbanna (สิบสองปันนา) โดยเชื่อมโยงเส้นทางการค้ากับเวียงจันทร์ข้ามไปยัง Padang Besar (ปาดังเบซา) ในมาเลเซียและสิงคโปร์ เพื่อรอรับโอกาสจากการเป็นศูนย์กลางของอาเซียนของประเทศไทย</div>
<div></div>
<div>

"ตลาดในอนาคตรวมกันแล้วใหญ่กว่าเมืองไทย แต่ฐานเมืองไทยเราทิ้งไม่ได้ เปรียบเหมือนอู่ข้าวอู่น้ำของเรา ผมมองว่าประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมาก"

</div>
<div>

<hr />

อ่าน <strong>"ชัยชนะของ Advanced แบรนด์ไทยบนเวทีอาเซียน"</strong> ฉบับเต็มใน <em>Forbes Thailand</em> ฉบับ DECEMBER 2014

</div>

ชัยชนะของ Advanced แบรนด์ไทยบนเวทีอาเซียน

<h2><strong>หลังสร้าง Pantip.com สู่เว็บบอร์ดอันดับ 1 ของประเทศ 2 นักบุกเบิกโลกอินเทอร์เน็ตในไทยเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน เดินหน้าสร้าง Digital Ecology ทำสังคมออนไลน์ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน</strong></h2>
<div>เริ่มต้นจากนิตยสารออนไลน์ด้าน IT เมื่อ 19 ปีก่อน ปัจจุบัน Pantip.com คือ webboard อันดับหนึ่งของประเทศ เป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีเนื้อหาหลากหลาย มีสมาชิกกว่า 1.7 ล้านราย ผู้เข้าชมวันละกว่า 4.5 ล้านราย และกว่า 16 ล้าน page view ต่อวัน โดยมีทีมงานราว 70 ชีวิตคอยขับเคลื่อน</div>
<div></div>
<div>วันฉัตร ผดุงรัตน์ วัย 52 ปี พา <em>Forbes Thailand</em> ย้อนไปช่วงลาออกจากงานประจำ มาเริ่มก่อตั้งบริษัทนำเข้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จากไต้หวัน คู่ค้าชาวไต้หวันนั่นเองแนะนำให้รู้จักอินเทอร์เน็ต และเปลี่ยนวิธีสื่อสารเป็นการใช้อีเมล เพื่อประหยัดค่าโทรสารและโทรศัพท์ทางไกลรายเดือนที่สูงมาก จนเขาสนุกและตื่นเต้นกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต</div>
<div></div>
<div>

ปี 2539 วันฉัตรกระโจนเข้าไปเต็มตัว นำเงินเก็บราว 200,000 บาท จดทะเบียนเว็บไซต์ Pantip.com ด้วยแรงบันดาลใจจาก "พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า" แหล่งรวบรวมสินค้าและอุปกรณ์เทคโนโลยีชื่อดัง

<hr />

<div><strong>5 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ Pantip</strong></div>
<ul>
 	<li>2540    First Members' Meeting ระหว่างสมาชิกห้องสยามสแควร์กับห้องรัชดา</li>
 	<li>2544    หนังสือเล่มแรกจากกระทู้ของล็อกอิน “แก้วไดอารี่” ผู้ติดเชื้อ HIV</li>
 	<li>2546 หรือ 2547 คู่แต่งงานคู่แรกจากเว็บไซต์ Pantip</li>
 	<li>2548    สมาชิกร่วมก่อตั้ง “มูลนิธิบลูพลาเน็ตเพื่อการศึกษาเด็กด้อยโอกาส”2552    “นักสืบพันทิป” ร่วมวิเคราะห์ประเด็น GT200 ตรวจสอบรัฐบาล กระทั่งกระทรวงกลาโหมต้องทบทวนงบประมาณและแผนการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว</li>
</ul>
<div>

<hr />

ปี 2540 วันฉัตรมีคู่หูร่วมทีม อภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ขณะนั้นยังเป็นนักศึกษาสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่ใช้เวลาวันหยุดพัฒนาโปรแกรมที่เป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ ปัจจุบัน อภิศิลป์ วัย 35 ปี ยังคงทำงานร่วมกับวันฉัตร ดูแล Pantip.com ในตำแหน่ง Co-founder &amp; Chief Technology Officer

</div>
</div>
<div>อภิศิลป์มีมุมมองต่อ Digital Economy ที่รัฐบาลปลุกกระแสว่า เป็นเรื่องที่ทั้งกว้างและใหญ่ มีหลายแง่มุมที่ให้พัฒนา เช่น digital content, digital advertising รวมทั้ง e-commerce ซึ่งได้รับการพูดถึงบ่อยครั้ง หากสนับสนุนให้เกิด Digital Economy ภาครัฐต้องทำงานร่วมกับเอกชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง</div>
<div></div>
<div>“มีวิธีไหนที่คนไทยจะลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นเอง ทำอย่างไรที่จะกระตุ้นให้ startup พัฒนาศักยภาพตัวเอง อาจเป็นสถาบันการศึกษา หรือสังคมโดยรอบที่ช่วยสร้างบรรยากาศความคิดสร้างสรรค์ ให้เขาเกิดแรงบันดาลใจว่าจะพัฒนาแอพพลิเคชั่นสุดยอดให้โลกนี้ใช้”</div>
<div></div>
<div>วันฉัตรพยักหน้าเห็นด้วยกับอภิศิลป์ แล้วเสริมว่าในมุมของเขา Digital Economy ต้องตอบโจทย์ทุกภาคส่วน หลายครั้งที่มีผู้ให้ทุน startup เพื่อผลิตซอฟท์แวร์ แต่หลังจากนั้นไม่มีแผนธุรกิจเพื่อผลักดันไปให้สุด Digital Economy จึงควรเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกระบวนการต่างๆ เข้าด้วยกัน</div>
<div></div>
<div>“เวลานึกถึง Digital Economy ก็จะนึกถึงการดึงเข้าตัว แต่นั่นไม่ใช่คาแรคเตอร์ของเรา ผมไม่ได้ทิ้งคำนั้น แต่ผมมองว่า Digital Ecology มันคือเราและจะยั่งยืนด้วย เราเป็นพื้นที่ให้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญแต่ละเรื่องได้มาแลกเปลี่ยน เมื่อมี platform มากขึ้น เขาอาจออกไปใช้พื้นที่ตรงนั้นต่อยอดสิ่งที่เขารู้ เราต่างเอื้อกันและกัน”</div>
<div></div>
<div>ความมุ่งมั่นของ 2 ขุมพลังแห่ง Pantip.com ต่อจากนี้คือ สร้างการเติบโตให้สอดคล้องกับแนวคิด knowledge sharing platform ของเว็บไซต์ ให้การค้นหาข้อมูลผ่าน Google สามารถเจอคำตอบจากกระทู้ในเว็บไซต์ Pantip ได้ 99% จากปัจจุบันที่ 1%</div>
<div></div>
<div>

“เราเป็นลูกครึ่งระหว่าง Facebook ที่มีความสนุกเป็นกันเอง กับ Wikipedia ที่เป็นวิชาการ Pantip เหมือนเพื่อนคุยกัน สโลแกนของเราคือ learn, share and fun ซึ่งสะท้อนตัวเองอยู่แล้วว่าให้คนมาเรียนรู้ แบ่งปัน และสนุกไปกับมัน” อภิศิลป์ปิดท้าย

<hr />

อ่าน <strong>"สร้าง Digital Ecology ก้าวต่อไปของ Pantip.com"</strong> ฉบับเต็มได้ใน <em>Forbes Thailand</em> ฉบับ JANUARY 2015

</div>

Digital Ecology ก้าวต่อไปของ Pantip.com

<h2>“ขยะสามารถสร้างประโยชน์ได้ ทั้งการผลิตเป็นสินค้า แก๊ส หรือพลังงานทดแทน เมื่อเราเข้าไปศึกษาอย่างจริงจังจึงพบว่า เราสามารถนำขยะที่สกปรกผ่านกรรมวิธีที่ถูกต้องตาม know-how ของแต่ละประเทศกลายเป็นวัตถุดิบที่สามารถใช้พัฒนาเป็นสินค้าต่อไปได้”</h2>
ไพบูลย์ จุลศักดิ์ศรีสกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จำกัด ลูกชายคนเล็กวัย 31 ปีของเสรี จุลศักดิ์ศรีสกุล แห่งคิงส์กรุ๊ป ผู้นำทัพรุ่นสองของบริษัทผู้ผลิตและส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติกรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และติดอันดับ 1 ใน 3 ของเอเชีย ในขณะศึกษาต่อปริญญาโทด้าน International Business Economics  มหาวิทยาลัย East Anglia ประเทศอังกฤษ ได้ศึกษาการทำธุรกิจเพื่อประโยชน์ของสังคมตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียง

“ช่วงที่ทำวิทยานิพนธ์ เราทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และได้มองเห็นประโยชน์ของ social enterprise ที่ทำเพื่อสังคมตั้งแต่ต้นทาง โดยผู้เกี่ยวข้องได้รับผลกำไร เงินเดือน และคอมมิชชั่น เช่นเดียวกับเราที่ได้รับเป็นเงินเดือน ส่วนผลกำไรที่เกิดขึ้นกับบริษัทหลังหักต้นทุนจะได้รับการนำไปคืนให้กับสังคมผ่านรูปแบบการพัฒนาต่างๆ”

ทั้งที่ตัวเขารู้ดีว่าหลังเรียนจบต้องกลับมาสร้างธุรกิจของครอบครัว ต่อยอดธุรกิจคิงส์กรุ๊ป ซึ่งมีคิงส์แพ็คเป็นผู้ผลิตและส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติกไปทั่วโลก จนต้องเก็บความฝัน social enterprise ไว้ในลิ้นชักจนกว่าโอกาสจะมาถึง

หลังกลับจากอังกฤษ ไพบูลย์เลือกเข้ามารับผิดชอบด้านการตลาดต่างประเทศ โดยวางเป้าหมายให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ พลาสติกของภูมิภาคเอเชีย และเป็นบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ก้าวต่อไปสู่ความเป็นผู้นำระดับโลก ด้วยความเชื่อมั่นว่าธุรกิจ household packaging ยังทำการตลาดได้อีกมากในต่างประเทศ

ความเปลี่ยนแปลงของคิงส์แพ็คมาถึง เมื่อเขาลดสัดส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่บริโภคเพียงครั้งเดียวที่เป็นต้นทุนขององค์กร จากสัดส่วนกว่า 60% ในอดีตเหลือ 26% เพื่อเพิ่มสัดส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่สามารถผลิตซ้ำหรือใช้ใหม่ได้ ทำให้รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับจากเริ่มงานปี 2552 ที่ 2,926 ล้านบาท เป็น 6,378 ล้านบาทในสิ้นปี 2556

ขณะเดียวกันยังได้ลูกค้าครอบคลุมตลาดสำคัญ ได้แก่ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ทั้งหมด 5 อันดับแรกในโลก ห้างค้าปลีก 3 อันดับแรกของประเทศออสเตรเลีย และห้างค้าปลีก 5 อันดับแรกของอังกฤษ รวมทั้ง ห้างค้าปลีกอันดับ 1 ใน สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และเยอรมนี เป็นต้น

หลังวางรากฐานธุรกิจไว้อย่างแข็งแกร่งแล้ว ไพบูลย์จึงนำความฝัน social enterprise จากลิ้นชักขึ้นมาปัดฝุ่น เพื่อพิสูจน์ว่าบริษัทที่เติบโตจากพลาสติกที่สร้างปัญหาขยะให้สังคม จะสามารถแก้ปัญหาขยะล้น และนำกำไรทั้งหมดสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้ โดยนำโมเดลจากฐานการผลิตในต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส สเปน อังกฤษ อเมริกา และออสเตรเลียมาปรับใช้ อีกทั้งยังสามารถสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจทางอ้อมได้อีกด้วย
<div>

“เราไม่จำกัดเป้าหมายสูงสุด เพราะเรามั่นใจว่าธุรกิจนี้ไม่มีทางหยุดการเติบโต ขึ้นอยู่กับเราพอใจกับมันแค่ไหน เพราะพลาสติกเป็นสินค้าที่ใช้ทั่วไปทุกที่ ขณะที่วัตถุดิบของเรามีไม่จำกัด เพียงแต่วันนี้เราไม่ต้องการเสี่ยงมาก จึงพอใจแค่ระดับปีละ 20%” ไพบูลย์กล่าวย้ำแนวทางธุรกิจว่า ยิ่งเพิ่มต้องยิ่งลด เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในยุคผลัดใบของคิงส์แพ็ค

<hr />

ติดตามอ่าน <strong>"คิงส์แพ็ครุกตลาดถุงพลาสติกเวิลด์คลาส ปักธงธุรกิจ “ยิ่งเพิ่ม ต้องยิ่งลด”"</strong> ฉบับเต็มใน <em>Forbes Thailand</em> ฉบับ FEBRUARY 2014

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events