มนุษยชาติกำลังเข้าใกล้การสูญพันธุ์ใช่หรือไม่? มวลมนุษย์กำลังจะพบจุดจบแบบเดียวกันกับนกโดโดและไดโนเสาร์กระนั้นหรือ?
ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้มนุษย์ต้องพบกับจุดจบแบบนั้นไม่ใช่อุกกาบาต การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ หรือโรคระบาดครั้งมหึมา และเป็นที่เข้าใจกันดีว่า อวสานของมนุษยชาติยังคงไม่มาถึงในเร็ววันนี้ อย่างไรก็ดี ความจริงแล้วมนุษย์อาจเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์แรกบนโลกใบนี้ที่ทำลายตัวเอง อัตราการเกิดทั่วโลกลดต่ำลงและเป็นแบบนั้นมานานหลายทศวรรษแล้ว ไม่ว่าประเทศยากจน ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่มั่งคั่งต่างก็พบเจอกับปรากฏการณ์นี้ทั้งสิ้น
สิ่งที่นักประชากรศาสตร์เรียกว่า “อัตราการเจริญพันธุ์รวม” เป็นค่าเฉลี่ยของจำนวนการมีบุตรต่อหญิง 1 คน ในการที่จะรักษาจำนวนประชากรให้คงที่นั้นอัตราการเกิดทดแทนอยู่ที่ทารก 2.1 คนต่อผู้หญิง 1 คน สัดส่วนที่สูงกว่านั้นหมายถึงจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
โดยตัวเลขดังกล่าวนี้ประมวลผลจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรงเป็นครั้งคราวอย่างการระบาดของกาฬโรคในช่วงกลางทศวรรษ 1330 ก็ตาม ในกรณีที่อัตราการเกิดทดแทนลดลงต่ำกว่า 2.1 นั่นหมายความว่า จำนวนประชากรจะลดลงในที่สุด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กำลังรอผู้คนบนโลกอยู่เบื้องหน้า แต่ความจริงแล้วเราอาจเลยผ่านจุดนั้นมาแล้วก็เป็นได้
จำนวนประชากรโลกปัจจุบันอยู่ที่กว่า 8.2 พันล้านคน และยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า จำนวนประชากรโลกจะแตะจุดสูงสุดที่ 1.03 หมื่นล้านคนในช่วงกลางทศวรรษ 2080 และจากนั้นตัวเลขจะเริ่มลดลง อย่างไรก็ดีการหดตัวของจำนวนประชากรอาจเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้นักประชากรศาสตร์ต้องปรับลดตัวเลขประมาณการจำนวนประชากรลงแล้วหลายต่อหลายครั้ง
อัตราการเกิดต่ำพบมากที่สุดในประเทศที่มีสภาพเศรษฐกิจก้าวหน้า โดยอัตราการเจริญพันธุ์รวมอยู่ที่น้อยกว่า 1.5 ในประเทศเกาหลีใต้อัตราส่วนดังกล่าวต่ำอย่างใจหายอยู่ที่ 0.7 เท่านั้น ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่ผ่านมาจำนวนทารกเกิดใหม่ลดลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ กล่าวคือ มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 รายต่อทารกเกิดใหม่ 1 คน ประชากรของประเทศอิตาลีอาจหดหายไปในช่วงต้นศตวรรษหน้า
สหรัฐฯ ซึ่งเคยยืนหยัดได้ในสถานการณ์ดังกล่าวมาอย่างยาวนานแต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว อัตราการเจริญพันธุ์รวมของสหรัฐฯ ลดลงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1.6 ในบรรดากลุ่มประเทศมั่งคั่งมีเพียงประเทศอิสราเอลเท่านั้นที่ไม่พบปัญหาจำนวนทารกเกิดใหม่น้อยเกินไป
รัฐบาลนานาประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดที่ลดต่ำลงและเป็นเรื่องที่น่าตกใจ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแน่ๆ
เมื่อไม่นานมานี้ทั่วโลกเดิมทีต่างวิตกกันว่า เรามีจำนวนประชากรบนโลกมากเกินไป ในปี 1798 ซึ่งขณะนั้นจำนวนประชากรทั่วโลกอยู่ที่เกือบ 1 พันล้านคน Thomas Malthus ได้เขียนหนังสือซึ่งกลายเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่ว Malthus เตือนว่าท้ายที่สุดแล้วการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรจะแซงหน้าปริมาณเสบียงอาหาร ดังนั้น มนุษยชาติจะไม่มีวันได้สัมผัสกับมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเลย
จำนวนประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่าตัวนับจากผลงานเขียนของ Malthus และมาตรฐานการดำรงชีวิตของมนุษย์เราโดยทั่วไปก็เพิ่มสูงขึ้นมากกว่านั้นอีก ในช่วง 2 ศตวรรษเศษที่ผ่านมาประชากร 90% มีฐานะยากจนขั้นสุด โดยมีรายได้คิดเป็นค่าเงินปัจจุบันอยู่ที่เพียง 2.15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อวัน ทุกวันนี้ประชากรที่มีฐานะยากจนขั้นสุดมีจำนวนไม่ถึง 10% ในปี 1800 เด็กเกือบครึ่งหนึ่งไม่สามารถมีชีวิตรอดได้จนมีอายุครบ 5 ปี แต่ปัจจุบันเด็ก 96 คนจาก 100 คนทั่วโลกมีชีวิตรอดผ่าน 5 ขวบปีได้
ถึงแม้ว่าจะพิจารณาถึงสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจริง แต่ทฤษฎีของ Malthus ก็ยังมีอิทธิต่อความคิดความเชื่อในยุคนั้นเป็นอย่างมาก ในปี 1968 ศาสตราจารย์จาก Stanford อย่าง Paul Ehrlich ได้เขียนหนังสือขายดีซึ่งมีเนื้อหาว่า ภาวะขาดแคลนอาหารขั้นรุนแรงที่ลุกลามไปทั่วโลกจะเป็นสิ่งที่เราต้องพบเจอในไม่ช้า นี่เป็นคำพยากรณ์ที่ผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้นานาประเทศต่างก็ต้องการให้ประชากรในประเทศของตนมีจำนวนเพิ่มขึ้น หากแต่ความพยายามของรัฐบาลที่จะเพิ่มอัตราการเกิดโดยผ่านการให้สิทธิพิเศษทางภาษี การให้เงินสนับสนุนโดยตรง หรือแคมเปญประชาสัมพันธ์ถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการเกิดลดต่ำลงเช่นนี้?
ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งระบุว่า ต้นทุนของเวลาและค่าครองชีพที่สูงเป็นตัวการของปัญหา ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่งชี้ว่า ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ส่งผลก็คือ วิกฤตทางจิตใจ นั่นก็คือ การมองอนาคตในแง่ลบ แต่ไม่ว่าอะไรจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก็ตาม ดูเหมือนว่าจำนวนมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้จะลดลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : “ชุติมา-นันทนัช” เรียนรู้ข้อผิดพลาดสู่ยอดขาย 1 พันล้าน