SCB WEALTH เผยทิศทางลงทุนปีหน้า แนะควรแบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ - Forbes Thailand

SCB WEALTH เผยทิศทางลงทุนปีหน้า แนะควรแบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ

SCB WEALTH เผยผลการดำเนินงานของ SCB WEALTH ที่แม้ปีนี้เต็มไปด้วยความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ผันผวนด้วยปัจจัยต่างๆ ที่กดดันตลาด แต่สินทรัพย์ด้านการลงทุนของ SCB WEALTH ยังเติบโตกว่า 7% พร้อมแนะนำปีหน้าให้ระมัดระวังการลงทุน ควรแบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ Investment Grade


    ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ WEALTH ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายท่ามกลางภาวะการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวนตลอดปี แต่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง SCB WEATH ยังคงมุ่งมั่นปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

    โดยปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้า Wealth และลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะเป็น Wealth อยู่มากกว่า 1 ล้านคน ด้วยความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาด ได้มีการคัดสรรและนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย เช่น ผลิตภัณฑ์การลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ ในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำระยะสั้นหรือกองทุนกลุ่มตราสารตลาดเงิน (Money Market) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ Capped Floored Floater Note หรือ Callable Note เป็นต้น

    ทำให้สินทรัพย์การลงทุนภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่มลูกค้า SCB WEALTH เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 4%



    นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกัน และสินเชื่อเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง (Wealth Lending ประเภท Property Backed Loan และ Lombard Loan) ที่มียอดสินเชื่อเติบโตขึ้นมากกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน Regular Unit-linked ยังครองอันดับ 1 ในตลาดประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในปีนี้

    และธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งผลการดำเนินงานที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่า รายได้จากกลุ่มธุรกิจ Wealth ในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

    “SCB Wealth มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า และวางเป้าหมายในการเป็นดิจิทัลแบงก์อันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง จะเป็น Thought partners ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า และจะอยู่กับลูกค้าทุกช่วงจังหวะการลงทุนอย่างใกล้ชิด”


ระมัดระวังการลงทุน แบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ

    ศรชัย สุเนต์ตา CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 2566 นี้เป็นปีแห่งความผันผวน เริ่มต้นปีด้วยความกังวลเศรษฐกิจถดถอย มาสู่ปลายปีด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวแบบจัดการได้

    ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและค้างนาน (Higher for longer) กำลังนำไปสู่ความคาดหวังว่าธนาคารกลางหลักจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย (Rate pause expectation)

    ส่วนประเด็นสงคราม ก็ยังมีทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ขณะที่การไหลออกของเงินทุนจากตลาดไทยไปต่างประเทศยังคงมีอยู่ และความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ชัดเจน และล่าช้าออกไป

    ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่เศรษฐกิจปี 2567 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ (Uneven slowdown) ทำให้นักลงทุนคาดหวังเห็นการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567

    ส่วนความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ ภาวะ Stagflation หรือ เศรษฐกิจเติบโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง, ธุรกิจที่มีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก อาจมีความเสี่ยงที่ต้องกู้ยืมใหม่ (rollover) ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก, ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในประเทศหลักๆ ที่จะทำให้ตลาดการลงทุนมีความผันผวน และสภาพคล่องทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงจากการใช้นโยบายดูดเงินในระบบกลับออกมา (Quantitative Tightening : QT)

    ด้วยเหตุผลนี้ เราแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน แบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ ที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย โดยควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็น การทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade) หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield)



    ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ควรทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่มีงบดุลที่แข็งแกร่ง มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ สามารถรองรับธุรกิจชะลอตัว และรักษาอัตรากำไรได้ดี เช่น 7 บริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และอินเดีย

    ขณะที่ตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนจากการส่งออก ท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ ท่ามกลาง Valuation ที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม



    พอร์ตลงทุนที่แนะนำเพื่อคาดหวังผลตอบแทน 7-10% กรณีเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealth) รับความเสี่ยงได้สูง เข้าใจผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน คือ แบ่งเงิน 15% ไว้ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือเลือกรับผลตอบแทนระหว่างรอแลกอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องการ ด้วยผลิตภัณฑ์ Dual Currency Note Pricing (DCI) ที่ให้ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนที่ลูกค้าต้องการ

    เลือกลงทุนตราสารหนี้ 15% เน้นตราสารหนี้ระยะยาว ลงทุนในหุ้น 30% ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่เป็นกลุ่มคุณภาพ เติบโตสูง โดยควรมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสร้างผลบวกด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในพอร์ตด้วย

    พร้อมกันนี้ควรลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ Capped Floored Floater Noted ที่จำกัดผลตอบแทนต่ำสุด แลกกับการจำกัดผลตอบแทนสูงสุด 10% หุ้นกู้อนุพันธ์อื่นๆ 10% สินทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Asset) 10% และสินค้าโภคภัณฑ์อีก 10% เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ


ลุยใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล

    ด้านการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการลงทุนให้ลูกค้า ในส่วนของ SCB Easy เราได้นำเสนอบริการ Wealth4U โดยมีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์กองทุนที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าแต่ละบุคคล พร้อมเปรียบเทียบทางเลือกการลงทุนที่ลูกค้าสนใจ เพื่อแนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดให้ลูกค้า

    นอกจากนี้ เรายังพัฒนาบัญชีหุ้นกู้ SCB Easy-D ซึ่งสามารถเสนอขายครั้งแรก (IPO) ให้บุคคลธรรมดาบนสมาร์ทโฟน และรับฝากหุ้นกู้ผ่านช่องทางดิจิทัลแบบ 100%

    พร้อมกันนี้ เรายังเป็นธนาคารที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สามารถเสนอขายพันธบัตรรัฐบาลกับนักลงทุนผ่านแพลตฟอร์ม และสามารถซื้อขายกองทุนรวมจากหลากหลาย บลจ. ได้

    ไม่เพียงเท่านี้เรายังมีแผนยกระดับ wPlan แพลตฟอร์มสำหรับให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลลูกค้าใช้งาน ใน 4 ด้าน ได้แก่

    1) การนำเสนอโซลูชันดูแลความมั่งคั่งของลูกค้าแบบครบวงจรในแบบเฉพาะบุคคล เช่น การทำ Portfolio Allocation ออกแบบการจัดสรรสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตลงทุนตามแต่ระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

    2) การพัฒนาความสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละบุคคลมากขึ้น

    3) การเพิ่มขีดความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนจากช่องทางการลงทุนที่หลากหลาย (Omni-Channel) ให้ลูกค้าแบบไร้รอยต่อ

    4) การยกระดับควบคุมระดับความเสี่ยงให้เหมาะสมกับลูกค้า ควบคู่กับการมี 2 ช่องทางดิจิทัล ให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้สะดวกและง่าย ในการเรียกดู Statement การลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแพลตฟอร์ม WealthDIY และ Line โดย SCB WEALTH

    ซึ่งในอนาคตจะมีการยกระดับขีดความสามารถของ Line SCB WEALTH ให้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละท่านมากขึ้นและสามารถรับสิทธิพิเศษเหนือระดับต่างๆ สำหรับลูกค้า Wealth ของธนาคารได้ผ่านช่องทางนี้


ตั้งเป้า SET Index สิ้นปี 1,750 จุด

    สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2024 ยังคงมีความผันผวนแต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปี 2023 เนื่องจากระดับ SET Index ในปัจจุบัน ถือว่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (undervalue)

    โดยคาดว่าตลาดยังมีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีแรก และปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเมินเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 1,750 จุด

    ปัจจัยที่คาดว่าจะสร้างความผันผวนให้กับตลาด ได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2024 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ฮามาส ซึ่งมีความเสี่ยงกระทบต่อราคาอาหารและพลังงานให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

    นอกจากนี้ความแปรปรวนของภูมิอากาศโลกและปรากฏการณ์เอลนีโญในประเทศไทย มีโอกาสสร้างผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ในขณะที่ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย เป็นปัจจัยที่ตลาดมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบไม่รุนแรงมาก เป็นเพียง Soft Landing หรือ Mild Recession

    ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 2024 ช่วยสร้างโอกาสให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า

    ส่วนปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย มาจากปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนเพิ่ม แม้ว่าจะยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Digital wallet อยู่บ้างก็ตาม

    เนื่องจากโดยภาพรวมคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3-4% สูงกว่าปี 2023 ที่ขยายตัวต่ำกว่า 3% ในขณะเดียวกัน คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวได้ 10-15% ซึ่งถือว่าดีกว่าปี 2023 ที่ชะลอตัว 10%

    สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนในปี 2024 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

    1) กลุ่มที่ผลการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการแพทย์ กลุ่มขนส่ง

    2) กลุ่มที่ราคาลดลงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้า และ REIT/IFF

    3) หุ้นที่ได้ ESG Score สูง ระดับ AAA จาก SET แต่ราคาลดลงมามาก


กฎหมายภาษีมีผล แนะปรับทิศทางลงทุน

    ดร.สาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เทรนด์กฎหมายในปีหน้า ยังคงต้องติดตามกฎหมายต่างๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น การเก็บภาษีการรับมรดกที่อาจมีการปรับปรุงกฎหมาย และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้การจัดเก็บภาษีสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

    ส่วนกฎหมายภาษีการลงทุนต่างประเทศ ตามที่กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 เมื่อเดือนกันยายน 2566 และ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 ซึ่งมีผลให้นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 180 วันขึ้นไป หากมีเงินได้จากต่างประเทศ เช่น เงินปันผล กำไรจากการขายหุ้น ดอกเบี้ย และได้นำเงินเข้ามาในประเทศไทยไม่ว่าจะนำเข้ามาในปีใดก็ตาม จะต้องนำมารวมเสียภาษีในประเทศไทยในปีนั้น ซึ่งตามหลักแล้วจะต้องเสียภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้า โดยหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะใช้สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

    การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์นี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนที่ได้ไปลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ Wealth Planning and Family office จึงขอแนะนำนักลงทุนไทยที่ลงทุนต่างประเทศ อาจจะพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมไทยที่ไปซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศ หรือกองทุนไทยที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ
ข้อดีคือผู้ลงทุนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหากได้กำไรจากการลงทุน แต่หากมีปันผลจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เทรนด์ลงทุนเพื่อความยั่งยืนโต ESG Bond ในไทยมูลค่าคงค้าง 6.9 แสนล้าน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine