<h2>​'คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น' ประโยคสุดฮิตที่หลายๆ คนคงเคยได้ยินและได้เห็นจากคนรอบข้างที่ชอบลุ้นเสี่ยงโชคในช่วงต้นเดือน-กลางเดือนกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งเมื่อถาม ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน เขามองว่า "ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงใช่ แต่ยุคสมัยนี้แล้ว คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึง เล่นหุ้นได้ง่ายกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ต้องศึกษาข้อมูลจับจังหวะให้ดีๆ และต้องเน้นกระจายพอร์ตลงทุนหลายๆ ทาง ถือเป็นการออมและทำเงินให้งอกเงยได้ดีอีกทางหนึ่ง"</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทีมงาน Forbes Thailand สบโอกาสดีที่ได้เจอ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน มารับหน้าที่เป็นพิธีกรงานอีเวนต์แห่งหนึ่ง โดย ดร.วิทย์ ขึ้นชื่อได้ว่ามีความเชี่ยวชาญด้านงานสื่อสารพีอาร์และเศรษฐกิจ และหลายๆ คนในยุคนี้ก็น่าจะรู้จักเขาเป็นอย่างดีจากการเป็นผู้จัดรายการพอดคาสต์ที่บอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์ภายใน 8 นาที แบบที่ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ง่ายไม่ต้องใช้เวลานานๆ&nbsp; &nbsp; หลังจากสวัสดีทักทายกันพอหอมปากหอมคอ ทีมงานของเราก็ไม่รอช้ารีบยิงคำถามใส่ ดร.วิทย์เลยว่า คิดเห็นอย่างไรกับคำว่า "คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" ในยุคปี 2025 นี้ ​&nbsp; &nbsp; "สมัยก่อนในอดีตคนจนหรือคนฐานะไม่ดีเขาไม่มีโอกาสเข้าถึงในเรื่องของการลงทุนหุ้นได้ตามอย่างที่ว่าจริงๆ ครับ แต่ในปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว คนที่มีรายได้ไม่เยอะก็สามารถที่จะลงทุนทั้งในหุ้นตลาดบ้านเราและตลาดต่างประเทศได้แบบสบายๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยกตัวอย่าง หุ้นบางตัวที่เราไม่สามารถซื้อเต็มหุ้นได้แต่ก็ยังมีบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทลงทุนอื่นๆ ที่สามารถช่วยจัดการให้เราสามารถซื้อเสี้ยวหุ้นได้และยังซื้อเป็นเงินบาทได้อีกด้วย ตรงนี้ยังถือเป็นอีกหนึ่งข้อดีด้วยเหมือนกันนะครับ ที่จะทำให้เราสามารถกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและยังค่อยๆ สะสมไปทีละน้อยเพื่อสร้างรายได้หลายๆ ทางเข้ามา ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการเก็บออมเงินได้อีกด้วย"​ &nbsp; &nbsp; ปัจจุบันการฝากออมเงินผ่านธนาคารหลายๆ แห่งมีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมาก หลายคนกังวลใจและอยากจะขอคำแนะนำเพิ่มเติมว่าควรจะหันไปหาการเก็บออมหรือลงทุนในรูปแบบใด ดร.วิทย์ ยังบอกด้่วยว่า ให้ลองเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศดูสิครับ เพราะดอกเบี้ยของสหรัฐก็ยังให้อยู่ในระดับ 4-5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันนี้เราลองไปดูหุ้นของต่างประเทศอย่าง S&amp;P 500 ดูสิครับ สถิติ 100 ปีเขาจะโตเฉลี่ย 10% ทุกๆปี อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าลงทุน ซึ่งในส่วนของตลาดอื่นหลายคนอาจจะมองว่าโลกสั่นสะเทือนเพราะ Donald Trump แต่มันจะไม่เป็นแบบนี้ตลอดไป&nbsp;&nbsp; &nbsp; "เราควรหาจับจังหวะดีๆ เพราะการจับหวะช้อนหุ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมคือสิ่งสำคัญที่สุด พร้อมกระจายพอร์ตลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หุ้นบางตัวที่พื้นฐานดีแล้วราคาร่วงลงก็เหมาะกับการที่จะลงทุน แต่ถ้าเรายังรู้สึกไม่ชัวร์กับการลงทุนครั้งนี้ก็อย่าพึ่งไปรีบร้อน แล้วหันไปเลือกลงทุนในกองทุนน่าจะดีกว่า"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการลงทุนผ่านทองคำ หรือซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณเก็บไว้ เฮียวิทย์ที่เป็นที่นับถือของใครหลายๆ คน ยังบอกทิ้งท้ายอีกด้วยว่า "จะมีเงินมากหรือเงินน้อย ก็ซื้อๆ เก็บไปเถอะ เพราะยังไงมันก็เป็นการเก็บออมที่ดีต่อตัวเราในอนาคต ดีกว่าไปใช้เงินจนหมดและซื้อทองเก็บไว้วันนี้ ยังไงอีก 5-10 ปี ราคาทองก็ขึ้นเงินที่เราลงทุนไปก็ต้องได้กำไรกลับมาอย่างแน่นอน"&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/forbes-life/rotor-thongchua-lifestyle-financial-management" alt="&quot;ถ้าเริ่มเร็ว ก็จะเรียนรู้ได้เร็วก่อนคนอื่น&quot; 1 ในแต้มต่อทางธุรกิจของ &quot;โรเตอร์ ทองเจือ&quot;">"ถ้าเริ่มเร็ว ก็จะเรียนรู้ได้เร็วก่อนคนอื่น" 1 ในแต้มต่อทางธุรกิจของ "โรเตอร์ ทองเจือ"</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น' จริงหรือ? ดร.วิทย์ แนะคนเล่นหุ้น 'จับจังหวะดีๆ และกระจายพอร์ตลงทุน'

<h2>รายงานของ Forbes เมื่อเดือนมีนาคม 2023 เผยว่าชาวอเมริกันวัยมิลเลนเนียลและ Gen Z เกือบ 80% มองหาคำแนะนำทางการเงินจากโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะ TikTok, YouTube หรือ Instagram แต่ข้อมูลเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้แค่ไหน?</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานล่าสุดโดย Social Capital Markets ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 พบว่า 71% ของคำแนะนำทางการเงินบนโซเชียลมีเดียที่ชาวมิลเลนเนียลและ Gen Z เสพนั้นขาดความน่าเชื่อถือ สร้างความเข้าใจผิด โดยในบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่ออกมาแบ่งปันข้อมูลด้านการเงิน มีเพียง 13% ที่มีคุณสมบัติและใบรับรองที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว อันที่จริงช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาในสหราชอาณาจักร มีอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากถูกปรับจากการหลอกลวงผู้ติดตามนับล้านบนโซเชียลมีเดียด้วยคอนเทนต์การเงินผิดๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Social Capital Markets ได้ทำการวิเคราะห์วิดีโอ 2,470 คลิปทั้งจาก TikTok, YouTube และ Instagram รวมถึงแฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ #StockTok, #Investing และ #Stocktips เพื่อตรวจหาโพสต์ที่ชี้นำแบบผิดๆ พบว่ากว่า 85% ไม่มีคำเตือน (Disclaimer), 70% มีการเชิญชวนให้ผู้ชมลงทุนในทรัพย์สินบางอย่างโดยเฉพาะ และ 57% จูงใจผู้ชมว่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างแน่นอน​​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/4XzSF5ALrb2R1r2BXtDt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4XzSF5ALrb2R1r2BXtDt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1536,1188" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในบรรดาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมด TikTok อาการหนักที่สุด โดยมีวิดีโอ 91% ที่ขาดคำเตือน, 70% เชิญชวนให้ซื้อหุ้น และ 65% การันตีว่าจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้อันตรายต่อนักลงทุนหน้าใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ชาวอเมริกันที่ยังมีภาระหนี้จากการกู้ยืมเพื่อการศึกษาและเงินเดือนยังต่ำอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แพลตฟอร์มที่น่าเป็นห่วงรองลงมาคือ Instagram โดยมีวิดีโอเกี่ยวกับการเงิน 88% ที่ขาดคำเตือน และ 65% เชิญชวนให้ซื้อหุ้นบางตัวโดยเฉพาะ ตามมาด้วย YouTube ที่ีวิดีโอด้านการเงิน 76% ขาดคำเตือน, 75% มีการโปรโมตการลงทุนบางประเภทโดยเฉพาะ และ 55% การันตีว่าจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน โดยหลายคอนเทนต์บน YouTube เลือกเชียร์หุ้นบางตัวเป็นพิเศษด้วย​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/XXS1XuAb77Hq1LD4ntHJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XXS1XuAb77Hq1LD4ntHJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1536,876" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในทรัพย์สินที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์เชิญชวนด้วยการพูดถึงบ่อยครั้งคือสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) จากการวิเคราะห์วิดีโอที่เกี่ยวข้อง 1,620 คลิป พบว่ามีการพูดถึง Memecoin หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ได้แรงบันดาลใจจากมีมบนอินเทอร์เน็ต เช่น Dogecoin และ Shiba Inu บ่อยที่สุดถึง 51% บน TikTok, 44% บน Instagram และ 40% บน YouTube&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รองลงมาคือ AI Coin ที่มีการพูดถึง 22% บน Instagram, 20% บน YouTube และ 16% บน TikTok ตามด้วย Web3 Gaming Token หรือโทเคนที่ได้จากการเล่นเกมบนบล็อกเชน ที่มีการพูดถึง 30% บน YouTube, 18% บน TikTok และ 14% บน Instagram&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน NFT ที่เคยได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้คล้ายจะคลายความนิยมลง มีอินฟลูเอนเซอร์บน Instagram 17% ที่ยังพูดถึง NFT, 13% บน TikTok และเพียง 5% เท่านั้นบน YouTube แหล่งที่มา:​<a href="https://socialcapitalmarkets.net/social-media-financial-advice-misleads-gen-z-millennials/" alt="71% of Social Media Financial Advice Misleads Gen Z and Millennials">71% of Social Media Financial Advice Misleads Gen Z and Millennials</a>​ ​<a href="https://www.entrepreneur.com/business-news/riskiest-social-media-platform-for-financial-advice-report/482240" alt="Nearly 3 in 4 Posts on Social Media With Financial Advice Are 'Misleading,' According to a New Report">Nearly 3 in 4 Posts on Social Media With Financial Advice Are 'Misleading,' According to a New Report</a>​ ภาพ: <a href="https://www.pexels.com/photo/influencer-discussing-temporary-cryptocurrency-declines-8370811/" alt="Pexels.com">Pexels.com</a> และ&nbsp;Social Capital Markets เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/simple-and-basic-ways-billionaires-use-to-make-decisions" alt="‘เรียบง่ายแต่ทรงพลัง’ เบื้องหลังการตัดสินใจของมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จ">‘เรียบง่ายแต่ทรงพลัง’ เบื้องหลังการตัดสินใจของมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

พึงระวัง! ก่อนเชื่อคนสอนลงทุนบนโซเชียล รายงานเผยคอนเทนต์ 71% ไม่น่าเชื่อถือ TikTok อาการหนักสุด

SCB WEALTH มองหากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง กลุ่ม AI รับแรงสนับสนุนต่อ พร้อมแข่งกับจีน

SCB WEALTH เผยทิศทางลงทุนปีหน้า แนะควรแบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ

“ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” การลงทุนคือวิถีชีวิต

<h2>คนไทยมีเงินไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายหลังเกษียณอายุ และหลายคนไม่รู้ว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD: Provident Fund) ที่หักจากเงินเดือนและนายจ้างช่วยสมทบนั้น นำไปลงทุนที่ไหน อย่างไร และจะมีเงินคืนกลับมาแค่ไหนเมื่อตนเองเกษียณอายุในวัย 55 ปี</h2>
ด้วยเหตุนี้ทำให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดงาน SEC Retirement Savings Symposium 2017 ขึ้น เพื่อให้ความรู้และกระตุ้นทั้งนายจ้าง-ลูกจ้างให้เห็นความสำคัญของการออมเงินและวางแผนการลงทุน โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับ PVD ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเก็บออมเงินหลังเกษียณ

รพี สุจริตกุล เลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยผลสำรวจก่อนว่า ปัจจุบันสมาชิก PVD กว่า 50% มีเงินก้อนในวันเกษียณไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายหลังเกษียณที่ควรจะมีเงินเก็บอย่างน้อยคนละ 2.1-3.3 ล้านบาท และสมาชิก PVD ซึ่งเป็นการออมภาคสมัครใจก็มีสมาชิกเพียง 3 ล้านคน หรือคิดเป็น 21.5% ของแรงงานในระบบ อีกทั้งมีนายจ้าง 1.7 หมื่นบริษัท หรือคิดเป็น 2.8% เท่านั้นที่เปิดระบบ PVD มีการช่วยสมทบให้กับลูกจ้าง

ถือเป็นตัวเลขที่น่าวิตกเนื่องจากในปี 2568 ประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aging Society) มีสัดส่วนผู้สูงอายุถึง 20% ของประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่าการหวังพึ่งลูกหลานหรือระบบสวัสดิการจากรัฐให้ดูแลตนเองหลังเกษียณย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง เวทีสัมมนา SEC Retirement Savings Symposium 2017 จึงเทียบเชิญวิทยากรมาให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็น อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต, ถนอม เกตุเอม TaxBugnoms กูรูด้านภาษี, นิธิ คงทุน จาก บมจ.ซี.พี.แลนด์ และ จักรพงษ์ เมษพันธุ์ The Money Coach

&nbsp;
<h2>ต้องมีเงินเท่าไหร่หลังเกษียณ</h2>
อุมาพันธุ์ เริ่มให้ข้อมูลก่อนว่า ปัจจุบันอายุขัยคนไทยสูงขึ้นมาถึง 80 ปีแล้วเนื่องจากวิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า ทำให้เงินเก็บออมหลังเกษียณยิ่งต้องเพิ่มมากขึ้น เพราะมีเวลาอีก 20 ปีที่จะต้องใช้จ่ายหลังเกษียณ

โดยอุมาพันธุ์ยกตัวอย่างสมมติว่า ถ้าหากนาย A ต้องการมีเงินใช้สอยหลังเกษียณเดือนละ 3 หมื่นบาท คูณ 20 ปี เท่ากับต้องมีเงินเก็บอย่างน้อย 7.2 ล้านบาท โดยยังไม่คำนวณอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งถ้าสมมติว่าขณะนี้นาย A อายุ 40 ปี ในอีก 20 ปีข้างหน้าเมื่อเขาเกษียณ เงินเฟ้อจะทำให้เงินก้อนสำหรับเกษียณนั้นสูงถึงจำนวน 13 ล้านบาท

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/04461c1fb6acfc8400c995305e492cd3.png" alt="" />

ฟังดูเป็นเงินจำนวนมากจนน่าตกใจ แต่ที่จริงแล้วเงินออมจะถูกเก็บสะสมในเครื่องมือหลัก 3 อย่าง คือ ประกันสังคม, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ในที่นี้จะกล่าวถึงส่วน PVD เป็นหลัก เงินส่วนนี้จะถูกหักออกจากเงินเดือนโดยอัตโนมัติ เป็นสัดส่วน 3-15% ของเงินเดือนแล้วแต่ลูกจ้างเป็นผู้ตัดสินใจและนายจ้างจะสมทบเงินให้ด้วยเช่นกัน จากนั้น PVD จะมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเป็นผู้บริหารการลงทุน ซึ่งแล้วแต่นโยบายบริษัทนั้นๆ จะมีทางเลือกการลงทุนให้เลือกมากแค่ไหน

“PVD ของบางคนเลือกใส่แค่ขั้นต่ำ 3% แต่จริงๆ ระหว่าง 3% กับ 10% เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ ปลายทางต่างกันเยอะมาก เพราะฉะนั้นเราต้องคิดตั้งแต่แรกว่าสัดส่วนที่หักไปเพื่อเก็บเป็นเงินออมนั้นเพียงพอสำหรับหลังเกษียณหรือยัง” อุมาพันธุ์กล่าว

&nbsp;
<h2>สิทธิทางภาษีจาก PVD</h2>
นิธิ คงทุน แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวว่า เงินเก็บหลังเกษียณสำคัญมากในการใช้รักษาพยาบาล เพราะถ้าหากเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีแผนรองรับใดอื่นนอกจากบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) แล้ว ทางเลือกในการรักษาจะหดแคบลงอย่างมาก ดังนั้นอย่างน้อยควรจะสมัครเข้า PVD หักขั้นต่ำ 3% เป็นเงินเก็บ

ด้านกูรูภาษี ถนอม เกตุเอม มองทั้งมุมลูกจ้างและนายจ้างว่า นอกจาก PVD จะช่วยเก็บออมเงินแล้ว ยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี 3 ต่อ คือ ลูกจ้างนำไปหักลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้สูงสุดถึง 5 แสนบาท ทางนายจ้างก็สามารถนำไปลดภาษีได้เช่นกัน และต่อที่สามคือกองทุน PVD เองเป็นกองทุนที่ได้รับการยกเว้นไม่เก็บภาษี

“ในมุมบริษัท การลงทุนสมทบ PVD ให้พนักงานอาจจะไม่ได้ให้ ROI กลับมาชัดเจน แต่สิ่งนี้มีคุณค่าทางใจกับพนักงานมากและยังช่วยพนักงานสร้างวินัยทางการเงินได้เป็นอย่างดี การที่ถูกหักเงินสำหรับสะสมทุกเดือน เมื่อเวลาผ่านไปพนักงานจะเห็นเองว่าเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเงินตนเองและนายจ้างที่ช่วยสมทบ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องยึดมั่นคือเงิน PVD เป็นเรื่องของวินัยที่ไม่ควรขอลาออกจากกองทุนและนำเงินออกมาใช้ก่อนเกษียณเด็ดขาด” ถนอมกล่าว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a1f15b74616bd27fd50c3fecd0b90aa9.png" alt="" width="680" height="488" /><figcaption> สแกน QR code สำหรับเพิ่มเพื่อนในแอพพลิเคชัน Line กับ "ออมสนุกสุขเกษียณ" เพื่อติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ PVD และทำแบบทดสอบประเมินจำนวนเงินออมและความพร้อมหลังเกษียณของตนเอง</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>บริหารเงินเก็บด้วยการลงทุน</h2>
ทั้งนี้ บางบริษัทก็อาจจะมีทางเลือกการลงทุน PVD ที่ไม่ตรงความต้องการ หรือลูกจ้างต้องการจะจัดสรรเงินมาบริหารเองด้วยเครื่องมือการลงทุนอื่นๆ

ส่วนนี้ อุมาพันธุ์ กล่าวเสริมว่า แต่ละคนต้องเลือกความเสี่ยงของการลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ของตน ยิ่งมีการลงทุนในหุ้นมากจะยิ่งเสี่ยงสูง ขณะที่ตราสารหนี้จะเป็นการลงทุนความเสี่ยงต่ำ การประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นคือดูจากอายุตัว ยิ่งอายุมากยิ่งต้องการความเสี่ยงต่ำเพื่อความแน่นอน และอีกส่วนคือการวางแผนการใช้เงิน ยกตัวอย่างเช่น หากวางแผนจะใช้เงินก้อนนี้เพื่อการศึกษาบุตรในอีก 7 ปีข้างหน้า เวลา 7 ปีมากพอที่ทำให้นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ได้ ขณะที่เงินอีกก้อนหนึ่งตั้งใจจะใช้สำหรับศัลยกรรมในอีก 1 ปี ระหว่าง 1 ปีนี้ก็ควรลงทุนในการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ

“แผนเกษียณยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ให้คิดถึงชีวิตหลังเกษียณด้วยสูตร 3 อยู่ คือ อยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร และอยู่กับใคร คิดถึงว่าตอนนั้นอยากเป็นอย่างไร ต้องการจะ early retire หรือไม่ และจะต้องใช้เงินเท่าไหร่” อุมาพันธุ์กล่าว

&nbsp;

<a href="http://www.forbesthailand.com/news-detail.php?did=1999">อ่านเพิ่มเติม "คนไทยมีเงินออมไม่พอใช้หลังเกษียณ...ถึงเวลาต้องเริ่มต้นวางแผนการเงิน (2)" ข้อมูลจาก จักรพงษ์ เมษพันธุ์ The Money Coach</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events