ดื่มด่ำสัมผัสบนปลายลิ้นกับช่วงเวลา ‘จิบชาคู่อาหาร’ ที่ 1823 Tea Lounge by Ronnefeldt - Forbes Thailand

ดื่มด่ำสัมผัสบนปลายลิ้นกับช่วงเวลา ‘จิบชาคู่อาหาร’ ที่ 1823 Tea Lounge by Ronnefeldt

1823 Tea Lounge by Ronnefeldt บนชั้น 1 ศูนย์การค้าเกษร ต้อนรับเราด้วยสไตล์ร้านชาฝรั่งตกแต่งด้วยเส้นสายโลหะสีทอง และชุดโต๊ะเก้าอี้โซฟาหินอ่อนสีเทา   Rami Sambath ผู้จัดการทั่วไปและ Tea Master ของร้าน ต้อนรับด้วย ç เป็นชาแบบเย็นจากสูตรชาพิเศษ Gaysorn Blend ชาขาวผสมกับผลไม้เมืองร้อนและซิตรัส รสชาอ่อนๆ เย็นสดชื่น เหมาะกับวันอันร้อนระอุของกรุงเทพฯ และเตรียมพร้อมเราสู่มีตติ้ง แนะนำการจับคู่ชากับอาหาร (Tea and food pairing) คลอไปกับการบรรยายให้ความรู้เรื่องชาโดย Rami Tea Master ประจำร้าน  
ชา Gaysorn Blend
“ต้นตำรับของชาอยู่ที่ประเทศจีน ตำนานเล่าว่าวันหนึ่งจักรพรรดิ Shennong ประทับพักผ่อนและดื่มน้ำร้อนใต้ต้นไม้ บังเอิญใบชาได้ตกลงมาในแก้วน้ำทำให้น้ำในแก้วรสชาติดีขึ้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมการดื่มชาและอุตสาหกรรมชาในเมืองจีน” Rami กล่าวเริ่มต้น
อาหารชุดแรกถูกยกเสิร์ฟ ชาเขียว Japanese Kabusecha รสอ่อนๆ มาคู่กับอาหารเรียกน้ำย่อย เป็นเมนูหอยเชลล์ Hokkaido มิลเฟย รสนุ่มละมุนผสมขมเล็กน้อยจากส้มโอทับทิม ที่สำคัญมีส่วนประกอบของน้ำมันชาเขียวมัทชะและ bubble ประดับจากทชามะลิ จึงมีกลิ่นชาผสมอยู่ในรสอาหาร
  Rami บรรยายต่อว่าร้าน 1823 Tea Lounge by Ronnefeldt แบ่งชาเป็น 5 ประเภท คือ 1.ชาขาว 2.ชาเขียว 3.ชากึ่งหมัก (semi-fermented) 4.ชาดำ และ 5.ชาที่ผ่านการแต่งกลิ่นและรส ซึ่งแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันจากกระบวนการผลิตชา ชาขาว คือชาที่มีรสอ่อนจาง เนื่องจากผ่านการผลิตเพียงแค่เก็บใบชา ล้าง และผึ่งแดด แต่ใบชาที่เก็บจะเป็นส่วนยอดอ่อน ซึ่งมีน้อย ทำให้ชาขาวเป็นชาที่แพงที่สุด ชาขาวที่คุณภาพดีเยี่ยมจะเรียกว่า Silver Tips ชาประเภทนี้นิยมดื่มเพื่อให้เกิดความสดชื่น เหมาะกับฤดูร้อน และคาเฟอีนต่ำทำให้ดื่มได้ทุกเวลา ชาเขียว จะมีรสเข้มขึ้นกว่าชาขาว หลังเก็บ ล้าง และผึ่งแดดแล้วจะนำมาผ่านความร้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คือชาเขียวแบบจีน จะนำชาไปคั่วในกะทะทองเหลือง ซึ่งทำให้ชาเขียวจีนมีสีเข้ม ส่วนชาเขียวแบบญี่ปุ่นจะให้ความร้อนด้วยการนึ่ง จึงมีสีสดใสกว่า ชาเขียวมีคาเฟอีนประมาณ 10% เห็นได้ว่ายิ่งผ่านกระบวนการมากจะยิ่งมีคาเฟอีนสูง
ชุดอาหารชุดที่ 2 ที่นำออกมาเป็น ชาดำ Yunnan Black Mao Feng สีน้ำตาลเข้ม กลิ่นหอมกรุ่นติดจมูก มาพร้อมปลาฮาเกะเคี่ยวใน Tarry Lapsang Court Bouillon เสิร์ฟคู่กับเห็ดแชมปิยอง และมีส่วนผสมของชา Dashi
Rami กล่าวต่อไปว่า ชากึ่งหมัก ความแรงของชาจะอยู่ระหว่างชาเขียวกับชาดำ กระบวนการหลังผึ่งแดดจะนำไปหมัก 3-7 ชั่วโมง มีชากึ่งหมักที่รู้จักกันดีคือ ชาอู่หลง เป็นชาจากไต้หวัน และ Blue Tea คือชากึ่งหมักของจีน ชากลุ่มนี้จะให้รสแบบเปลือกไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่า และบางชนิดจะออกหวานโดยธรรมชาติ คาเฟอีนพุ่งขึ้นมาที่ 50-60% เหมาะสำหรับดื่มหลังอาหารเพื่อช่วยย่อย ส่วน ชาดำ เพิ่มความเข้มข้นด้วยการหมักแบบ fully-fermented คาเฟอีน 100% เสมือนดื่มกาแฟ ดังนั้นมักจะดื่มตอนเช้าและบ่ายเป็นหลัก ชาดำเป็นประเภทที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะในจีน อินเดีย ศรีลังกา แอฟริกา แต่ชาดำที่ดีที่สุดคือ ชา Darjeeling ของอินเดียซึ่งปลูกบนเทือกเขาหิมาลัย
ชาและอาหารชุดที่ 3 มาถึง เมนคอร์สนี้เป็นชา Darjeeling Springtime ชาดำที่ดีที่สุด ชาสีทองสดใสแต่แฝงด้วยความเข้มข้น มาคู่กับเมนู ข้าวอบชา Ceylon และไข่ปลาแซลมอน โรยด้วยเห็ดทรัฟเฟิล เข้มข้นหนักแน่นเหมาะทานคู่กับชา Darjeeling
สุดท้ายคือชาแต่งกลิ่นและรส ที่รู้จักกันดีคือ ชากุหลาบ ชามะลิ ชา Earl Grey ชาแต่งกลิ่นที่มีราคาถูกเกิดจากการใช้สารแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ แต่ที่ 1823 Tea Lounge by Ronnelfeltd จะใช้น้ำมันสกัดแท้จากดอกไม้หรือผลไม้ หรือผสมผลไม้จริงลงในชา
อาหารชุดที่ 4 คือขนมหวานไอศกรีม Earl Grey ทานคู่กับซอสราสเบอร์รี่และช็อกโกแลต มาพร้อมกับชาดำ Golden Assam ไอศกรีมหอมกลิ่นชาและหวานติดปากตบท้ายด้วยชาที่คงรสและกลิ่นเปลือกไม้ในปาก
  เป็นมื้ออาหารที่ได้ทั้งรสชาติและความรู้เต็มเปี่ยมเกี่ยวกับชา ซึ่งมีความพิถีพิถันไม่แพ้เครื่องดื่มชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นไวน์หรือกาแฟ ทั้งนี้ 1823 Tea Lounge by Ronnelfeltd เตรียมจัดมีตติ้ง “แนะนำการจับคู่ชากับอาหาร” ให้กับผู้สนใจในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยรับจำนวนจำกัดรอบละไม่เกิน 15 ท่าน มีเพียง 1 รอบต่อเดือนเท่านั้น