ไม่มีใครรู้ว่าอะไรทำให้เมื่อราว 10,000 ปีก่อน มนุษย์ผู้หนึ่งเลือกจะเข้าไปยุ่งกับรังของแมลงเหล็กในสุดอันตราย และขโมย-หรืออาจแค่ขอแบ่ง-ผลผลิตจากการทำงานหนักของพวกมันมารับประทาน แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานหลายสหัสวรรษ "น้ำผึ้ง" ยังคงเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยรสชาติหวานอร่อย เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ มีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อร่างกาย และยังมีความหลากหลายตามแหล่งกำเนิด กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดร้าน Honeyful Cafe มีที่ไฮไลต์สำคัญคือ Specialty Honey สารพัดชนิด
น้ำผึ้ง ถูกนำมาใช้เป็นกระสายยาแผนโบราณ เป็นเครื่องปรุงในอาหารทั้งคาวหวาน รวมถึงเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มหลากชนิดที่หลายคนโปรดปราน น้ำผึ้งจากแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกันและผึ้งคนละชนิดกันก็มีคุณสมบัติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากยกตัวอย่างเปรียบเทียบก็คงคล้ายกับกาแฟหรือมัทฉะที่มีรายละเอียดทางกลิ่นและรสชาติแปรผันตามพื้นที่เพาะปลูก
Forbes Thailand ได้รับเกียรติพูดคุยกับ ยุ้ย-ณัฐวรรณ ศุภพงษ์ ผู้ก่อตั้งร้าน Honeyful Cafe ร้านคาเฟ่เล็กๆ ย่านพร้อมพงษ์ที่มีจุดเด่นคือการนำน้ำผึ้งสารพัดแบบมารังสรรค์เมนูเครื่องดื่มและขนมหวานได้อย่างลงตัว มีเอกลักษณ์ และที่สำคัญคือมีเรื่องราวอันลึกซึ้งควรค่าแก่การนำมาเล่าต่อ โดยเธอได้มาแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ ‘น้ำผึ้งพิเศษ’ หรือ Specialty Honey ที่กำลังเติบโตอย่างเงียบๆ บนรากฐานแห่งความยั่งยืน
จุดเริ่มต้นความหลงใหลคือรสชาติอันตราตรึง
ณัฐวรรณไม่ได้หลงใหลน้ำผึ้งหรือการทำอาหารมาตั้งแต่ต้น เจ้าของร้านคาเฟ่วัย 40 ปีเล่าว่าเธอเรียนจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมเคมีจาก UC Berkeley ตามด้วยปริญญาโทด้านการเงินจาก University of San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำงานในวงการการเงินอยู่หลายปี จึงพบว่าไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ณ ขณะนั้นไม่ดีต่อสุขภาพนัก สาเหตุสำคัญเป็นเพราะอาหารการกิน เพราะทำงานหนักเลยไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องการเตรียมของกินในแต่ละวัน บางครั้งก็ต้องทานข้าวไปพร้อมกับทำงาน เธอจึงตัดสินใจไปเรียนต่อด้านการทำอาหารที่สถาบัน Le Cordon Bleu
ถัดจากความรู้และทักษะงานครัวคือแรงบันดาลใจซึ่งเธอได้รับโดยบังเอิญเมื่อครั้งไปเที่ยวประเทศออสเตรเลีย ณัฐวรรณมีโอกาสลิ้มรสน้ำผึ้งชื่อ Honeyful อันโดดเด่นด้วยความหวานหอมของดอกไม้ เป็นรสชาติที่เธอไม่เคยสัมผัสที่ใดมาก่อน
“น้ำผึ้งนี้เราเจอตอนที่ไปเที่ยวออสเตรเลียค่ะ มันเป็นต้นไม้ที่โตแค่บนเกาะแทสเมเนียที่เดียวบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งนี้ก็จะมีแค่ที่เกาะแทสเมเนียที่เดียว” ณัฐวรรณเล่า “มันมีความ floral มีความฟุ้ง เราก็รู้สึกว่าทำไมน้ำผึ้งมันอร่อยกว่าที่เราเข้าใจ เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีทำผึ้งที่อร่อยขนาดนี้อยู่บนโลกใบนี้”
ความมหัศจรรย์ของน้ำผึ้งสุดพิเศษจุดประกายความสนใจในน้ำหวานชนิดนี้ก่อนที่เธอจะถลำลึกลงไปเรื่อยๆ นำมาสู่ร้านคาเฟ่เล็กๆ ตั้งชื่อตามน้ำผึ้งสุดโปรดกับสารพัดเมนูน้ำผึ้งคัดสรรจากทั่วโลก
“เรารู้ว่ามันเป็นคอนเซ็ปต์ที่ใหม่มาก เราไม่เคยไปร้านอาหาร คาเฟ่ หรือร้านขนมที่ไหนที่เขาพยายามจะเล่าเรื่องแบบนี้มาก่อน เราก็เลยรู้สึกว่า โอเค งั้นเราเป็นคนเล่าเองแล้วกัน”

อย่างไรก็ตาม การลงมือทำจริงยากกว่าที่คิด ณัฐวรรณต้องออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อชิมน้ำผึ้งชนิดต่างๆ รวมถึงหาความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับแหล่งที่มาของน้ำผึ้ง การเลี้ยงผึ้ง การผลิตน้ำผึ้ง ต่อเนื่องไปจนถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง เธอใช้เวลาศึกษาทดลองนานถึง 2 ปีก่อนมาเปิดคาเฟ่ในปี 2019 แต่เรื่องราวเกี่ยวกับผึ้งนั้นมีให้เรียนรู้ไม่จบสิ้น กระทั่งทุกวันนี้เธอก็ยังคอยอัปเดตข่าวสารและงานวิจัยอยู่เสมอ
น้ำหวานมหัศจรรย์จากพลังของธรรมชาติ
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าน้ำผึ้งคือผลผลิตที่ได้หลังจากผึ้งบินไปเก็บน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ กลืนลงสู่อวัยวะที่เรียกว่า ‘กระเพาะน้ำหวาน’ (honey stomach) ผสมเอนไซม์ (enzyme) พิเศษในท้อง แล้วนำมาสำรอกไว้ที่รังเพื่อสะสมเป็นอาหาร โดยส่วนประกอบ ได้แก่ น้ำตาลฟรุกโตส น้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโน วิตามิน และอื่นๆ
น้ำผึ้งสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1) Mono-floral Honey น้ำผึ้งจากเกสรดอกไม้ชนิดเดียว เช่น น้ำผึ้งดอกอัลมอนด์ น้ำผึ้งดอกส้ม น้ำผึ้งดอกลำไย เป็นต้น
2) Poly-floral Honey น้ำผึ้งจากเกสรดอกไม้หลากหลายชนิด เกิดจากการที่ผึ้งเก็บน้ำหวานจากดอกไม้มากกว่า 1 ชนิด
กระนั้น หากพิจารณาให้ละเอียดลงไป จะพบว่าน้ำผึ้งที่ผลิตได้แต่ละครั้งนั้นไม่เหมือนกันเลย ปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำผึ้งแต่ละชนิดมีทั้งพืชท้องถิ่นที่ผึ้งเลือกไปเก็บน้ำหวานและผสมเกสร สปีชีส์ของผึ้ง และสภาพแวดล้อม โดยปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความแตกต่างด้านองค์ประกอบทางเคมี แต่ยังก่อให้เกิดคุณลักษณะทางกลิ่นและรส (taste note) เฉพาะตัว ซึ่งณัฐวรรณและทีมงาน Honeyful Cafe ก็จัดทำผัง taste note ของน้ำผึ้งออกมา ดังนี้

ณัฐวรรณเผยว่าผังนี้มีความเป็นสากลในระดับหนึ่ง แต่หากไปลองชิมน้ำผึ้งในประเทศอื่นๆ ก็อาจพบ taste note ที่ต่างจากนี้ เพราะบางรสชาติก็มีความเฉพาะตัวตามแหล่งกำเนิดท้องถิ่น
สำหรับน้ำผึ้งในร้าน Honeyful Cafe ทั้งที่เป็นส่วนประกอบของขนมหวานและขายแยกเป็นขวดนั้นมาจากแหล่งผลิตหลากหลาย อาทิ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทย โดยสัดส่วนน้ำผึ้งจากออสเตรเลียมีมากที่สุด เนื่องจากเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมเกี่ยวกับผึ้งเติบโตก้าวหน้าเพราะมีการส่งเสริมกันมาอย่างยาวนาน นำมาสู่ผลผลิตคุณภาพสูง
ในส่วนของน้ำผึ้งไทย ณัฐวรรณเล่าย้อนว่าช่วงเปิดร้านแรกๆ ยังไม่ค่อยมีน้ำผึ้งไทยที่คุณภาพดีนักเมื่อเทียบกับน้ำผึ้งจากต่างประเทศ ในฐานะคนไทย เธออยากนำเสนอน้ำผึ้งไทยอยู่แล้ว จึงได้ทำการบ้านอย่างหนัก สำรวจแหล่งน้ำผึ้งคุณภาพสูงในไทย ตลอดจนมีการร่วมงานกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตราชบุรี และชุมชนเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งจากจังหวัดต่างๆ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมควบคู่ไปกับการเฟ้นหาน้ำผึ้งที่ดีที่สุดในไทย
สำหรับซีรีส์น้ำผึ้งไทยบรรจุขวดที่มีวางจำหน่ายในร้าน Honeyful Cafe ขณะนี้ เป็นน้ำผึ้งที่คัดสรรจากในปี 2024 ที่ทั้งอร่อยและคุณภาพเป็นเลิศ โดยแบ่งเป็น 4 ประเภทตามแหล่งผลิตและชนิดของผึ้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีคุณลักษณะทางกลิ่นและรสชาติ (taste note) อันเป็นเอกลักษณ์ ดังนี้
1) น้ำผึ้งหลวงป่าหิมพานต์ จากผึ้งหลวงซึ่งเป็นผึ้งขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสายพันธุ์ท้องถิ่นในไทย แหล่งผลิตน้ำผึ้งชนิดนี้คือจังหวัดน่านและแพร่ทางภาคเหนือ taste note โดดเด่นด้วยกลิ่นรสยางไม้ สมุนไพร และตอนปลายมีความคมในคอ
2) น้ำผึ้งมิ้มที่ราบสูงอีสาน ผึ้งมิ้มตัวเล็กกว่าผึ้งหลวง ไม่ดุ และเป็นผู้ผลิตน้ำผึ้งที่มี taste note ออกเปรี้ยวนำหวาน หอมหวนด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์และผลไม้แห้ง ผลิตในจังหวัดกาฬสินธุ์ อุดรธานี และอุบลราชธานี
3) น้ำผึ้งโพรงชุมพร ตามชื่อคือมาจากผึ้งโพรงที่จังหวัดชุมพร มี taste note อันเป็นเอกลักษณ์ด้วยกลิ่นอ่อนๆ ของดอกไม้สีขาว ยอดผักสีเขียว ไขผึ้ง ทานแล้วให้ความสดชื่น
4) น้ำผึ้งชันโรงอิตาม่า ผึ้งชันโรงเป็นผึ้งไม่มีเหล็กในและยังเป็นผู้ผลิตน้ำผึ้งที่ได้ชื่อว่าคุณภาพสูง น้ำผึ้งชันโรงอิตาม่าในร้าน Honeyful Cafe มาจากจังหวัดนราธิวาสและปัตตานี มี taste note คือรสเปรี้ยวจัด และให้กลิ่นผลไม้เปรี้ยวอย่างสับปะรดและมะม่วงเบา
เมื่อได้ถามนิยามของ ‘น้ำผึ้งคุณภาพสูง’ ณัฐวรรณอธิบายว่าเป็นเรื่องซับซ้อน หนึ่งในปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพน้ำผึ้งคือ ‘น้ำผึ้งปลอม’ หมายถึงน้ำผึ้งที่มีการเติมสารปรุงแต่งเข้าไป เช่น น้ำตาล รวมไปถึงการนำน้ำผึ้งจากแหล่งหนึ่งมาติดฉลากว่าเป็นน้ำผึ้งจากแหล่งอื่นที่มีความเฉพาะและหายากกว่าเพื่อหลอกขายในราคาแพง ซึ่งยังไม่มีวิธีการแยกแยะง่ายๆ หากต้องการความมั่นใจมีแต่ต้องส่งไปตรวจโครงสร้างทางเคมีในแล็บเฉพาะเท่านั้น แต่การตรวจสอบแบบนี้ปัจจุบันยังมีราคาแพงมาก รายย่อยอาจเข้าถึงได้ยาก
นอกจากนี้ยังมีการตรวจอีกแบบคือหาคุณประโยชน์ในน้ำผึ้ง เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ความสามารถในการยับยั้งการอักเสบ และอื่นๆ ซึ่งมีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ไม่ใช่แค่ผลผลิต แต่คือชีวิตและความยั่งยืน
ถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายท่านคงนึกสงสัยแล้วว่าในไทยมีกฎระเบียบข้อบังคับใดๆ ในการผลิตน้ำผึ้งเพื่อควบคุมให้กระบวนการต่างๆ มีความเหมาะสม ถูกต้องตามหลักจริยธรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ซึ่งณัฐวรรณตอบทันทีว่า “ไม่มีเลย”
ด้วยชุมชนเกษตรกรเลี้ยงผึ้งและทำน้ำผึ้งของไทยยังอยู่ในช่วงพัฒนา เธอเล่าว่า ณ ตอนนี้ไทยมีศูนย์ประจำแต่ละภาค คอยทำงานร่วมกับชุมชน ตลอดจนโครงการอบรมแลกเปลี่ยนความรู้จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อย่างไรก็ตามยังไม่มีองค์กรใหญ่คอยทำหน้าที่เป็นเสาหลักอย่างเป็นทางการ
ส่วนในระดับสากลนั้นมีการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับผึ้งซึ่งจะจัดขึ้นทุก 2 ปี ชื่อว่า Apimondia โดยสถานที่จัดการประชุมจะเวียนกันไปในหมู่ประเทศสมาชิก ผู้เข้าร่วมจะมาอัปเดตข่าวสารวงการ นำเสนองานวิจัยต่างๆ และแลกเปลี่ยนความรู้ที่เกี่ยวข้องกับผึ้ง
“หนึ่งในดาต้าที่ยุ้ยชอบมากคือเขาจะมีข้อมูลบอกว่า ปริมาณน้ำผึ้งที่ขายทั่วโลกคิดเป็น 3 เท่าของปริมาณน้ำผึ้งที่ผลิตได้” ซึ่งนั่นหมายความว่า 2 ใน 3 ของน้ำผึ้งที่วางขายในท้องตลาดเป็นน้ำผึ้งปลอม และสะท้อนว่าปัญหาน้ำผึ้งปลอมเป็นวาระในระดับโลกกันเลยทีเดียว
น้ำผึ้งปลอมเหล่านี้สร้างความเสียหายให้อุตสาหกรรมน้ำผึ้งมหาศาล เพราะถือเป็นการแข่งขันในตลาดอย่างไม่เป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรายย่อยที่จริงใจให้สูญเสียรายได้ อีกทั้งน้ำผึ้งปลอมบางแบบยังไม่ดีต่อสุขภาพเหมือนน้ำผึ้งแท้ตามธรรมชาติ เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค
แต่การผลิตน้ำผึ้งแท้ให้ได้คุณภาพดีก็ไม่ได้ทำกันง่ายๆ เพราะมนุษย์แทบจะไม่มีบทบาททางในขั้นตอนการผลิตน้ำผึ้งเลย สิ่งเดียวที่มนุษย์สามารถทำได้แน่นอนคือเรื่องของความสะอาดเมื่อนำมาบรรจุขาย
ผึ้งคือตัวเอกในการทำน้ำผึ้ง บทบาทของมนุษย์เป็นได้แค่ผู้สนับสนุน ไม่ใช่ผู้ควบคุม กระนั้นเกษตรกรก็จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องพฤติกรรมของผึ้งชนิดที่ตนทำงานด้วยเป็นอย่างดี และต้องเลี้ยงดูผึ้งเหล่านี้ด้วยความใส่ใจให้เป็นไปบนพื้นฐานของความสัมพันธ์แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย พูดง่ายๆ คือผึ้งผลิตน้ำผึ้ง เราไปขอแบ่งน้ำผึ้งมา และเราก็ควรตอบแทนพวกเขาด้วยการดูแลสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการดำรงชีวิตของพวกเขา พืชพรรณที่เตรียมให้ผึ้งผสมเกสรต้องปราศจากยาฆ่าแมลงและสารเคมี การเก็บน้ำผึ้งแต่ละครั้งต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบความเป็นอยู่ของผึ้งมากเกินไป รวมถึงอาหารที่ใช้เลี้ยงก็ต้องมีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพของผึ้งด้วย
ยกตัวอย่างน้ำผึ้งในร้าน Honeyful Cafe ที่ณัฐวรรณจะมีการสอบถามเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งก่อนรับเป็นซัพพลายเออร์เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าผลผลิตที่เธอจะนำมาใช้ทำขนมและขายต่อนั้นมีคุณภาพควบคู่ไปกับจริยธรรม

“ถ้ากระบวนการมันดี ผลที่ได้มันจะดี เราก็จะถามเขาว่าในช่วง off-season ที่ดอกไม้มันไม่บาน ผึ้งของเขากินอะไร บางที่ก็จะบอกว่าให้น้ำตาลซึ่งเราก็จะรู้ว่าแบบนี้ผึ้งก็จะสุขภาพไม่ค่อยดี เพราะว่าผึ้งก็เหมือนคน ต้องการสารอาหารที่หลากหลาย” ณัฐวรรณบอกว่าเธอจะไม่ทำงานกับผู้ผลิตที่ให้คำตอบแบบนี้
“ผู้ที่เราทำงานด้วยส่วนใหญ่นั้น เขาก็จะบอกว่าเขาจะมีเก็บน้ำผึ้งไว้ส่วนหนึ่งเอาไว้ให้อาหารผึ้งที่เขาเลี้ยงดูในช่วงที่ดอกไม้มันไม่บาน ช่วงที่ผึ้งไม่มีอาหารตามธรรมชาติ หรือบางคนก็บอกว่าน้ำผึ้งบางอันเขาขายไม่ได้อยู่แล้ว เช่น น้ำผึ้งแครอท น้ำผึ้งโหระพา ที่มันเป็นพวกสมุนไพร น้ำผึ้งที่ได้จากดอกพวกนี้มันดีมาก แต่รสชาติมันจะไม่ค่อยอร่อยสำหรับคนเท่าไหร่ เขาก็จะไม่ค่อยขายให้คนกิน แต่จะเก็บไว้ให้ผึ้ง”
ทั้งนี้ กระบวนการเลี้ยงผึ้งในแต่ละประเทศอาจแตกต่างกันด้วยปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศและลักษณะทางภูมิศาสตร์ ยกตัวอย่าง ไทยที่เป็นประเทศเขตร้อนก็จะไม่ได้เห็นผึ้งจำศีล ในขณะที่แคนาดาซึ่งอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า ฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำถึงติดลบ ช่วงนี้ผึ้งก็จะมีพฤติกรรมจำศีลอยู่ในรัง กินอาหารที่สะสมไว้ซึ่งก็คือน้ำผึ้งนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งหลายคนที่เลี้ยงผึ้งไม่ดีเท่าที่ควรใช่ว่าจะมีเจตนาร้าย แค่ยังขาดความรู้เท่านั้น และพวกเขาก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนหากได้รับความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม
น้ำผึ้งหลากหลายชนิด เนรมิตสู่สารพัดเมนู
ดังเช่นที่กล่าวไปข้างต้นว่าน้ำผึ้งแต่ละชนิดมี taste note ต่างกัน เพื่อดึงความโดดเด่นของน้ำผึ้งเหล่านี้ออกมาให้ได้มากที่สุด ณัฐวรรณและทีมงานผู้เชี่ยวชาญ Specialty Honey จาก Honeyful Cafe จึงได้มีการคิดค้น ทดลอง และสร้างสรรค์เมนูจากการจับคู่น้ำผึ้งนานาชนิดให้เข้ากับเครื่องดื่มและขนมหวานอันหลากหลาย
สำหรับเมนูซิกเนเจอร์ของร้านคือ Coco & Co. 2.0 ที่หากใครมาเยือน Honeyful Cafe แล้วอยากลองน้ำผึ้งหลายชนิดในเมนูเดียว ต้องไม่พลาด เพราะเมนูนี้คือบัวลอย 3 รสที่มาพร้อมน้ำผึ้ง 3 ชนิด ได้แก่
1) บัวลอยเผือกไส้น้ำผึ้งดอกมะพร้าว: มีกลิ่นหอมมะพร้าวอ่อนๆ และรสมันในตอนท้าย
2) บัวลอยฟักทองไส้น้ำผึ้งขิง: บัวลอยไส้เยิ้มทำจากน้ำผึ้งหมักกับขิงทำให้หอมกลิ่นขิง แต่ไม่เผ็ด
3) บัวลอยมันหวานไส้น้ำผึ้ง Honeyful: ซิกเนเจอร์ที่ทางร้านภาคภูมิใจ ให้ taste note ของดอกไม้หอมฟุ้ง

ทางร้านใช้นมอัลมอนด์ผสมน้ำผึ้งดอกมะพร้าวแทนน้ำกะทิ ทำให้ได้รสชาติหวานนุ่ม ไม่เข้มข้นจนเกินไป เข้ากันกับบัวลอยทั้ง 3 รสเป็นอย่างดี ส่วนที่ชื่อเมนูมีเลข 2.0 เพราะก่อนหน้านี้บัวลอยฟักทองจับคู่กับน้ำผึ้งดอกลำไย แต่เพราะได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้า ทำให้มีการปรับสูตรและมาลงตัวที่น้ำผึ้งขิง
ณัฐวรรณยังแนะนำเมนู Milk Ice Cream & Eucalyptus Honey ไอศกรีมนมราดน้ำผึ้งจากดอกยูคาลิปตัส น้ำผึ้งชนิดนี้มีรสหวานกลมกล่อมและกลิ่นที่ซับซ้อน คล้ายน้ำตาลทรายแดง แฝงผลไม้แห้ง และทิ้งความสดชื่นไว้ในตอนท้าย เข้าคู่กับรสนมได้อย่างลงตัว

ส่วนคอกาแฟต้องไม่พลาด Manuka Latte เมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของทางร้าน น้ำผึ้งมานูก้ามีกลิ่นแบบวูดดี้และคาราเมล ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในน้ำผึ้งที่อุดมด้วยคุณประโยชน์มากมาย เหมาะสำหรับรับประทานตอนเช้าเพื่อให้ร่างกายซึมซับสารอาหารได้เต็มที่ ทั้งยังเข้าคู่กับนมและกาแฟคั่วกลางที่ทางร้านคัดสรรมาเป็นที่สุด

เพื่อให้มื้อเช้าสมบูรณ์แบบ Honeyful Cafe ยังนำเสนอ Golden Banana Honey Caramel Pancake เมนูใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว แพนเค้กนุ่มฟูหอมนมเนยที่ทางร้านพัฒนาขึ้นเอง ท็อปปิ้งด้วยกล้วยสดที่ torch จนเป็นสีเหลืองทอง ราดด้วยคาราเมลรสน้ำผึ้งกล้วย

ทั้ง 4 เมนูเป็นเพียงส่วนหนึ่งจาก Honeyful Cafe โดยเป็นตัวอย่างการนำน้ำผึ้งพิเศษมารังสรรค์เป็นเมนูอาหารน่ารับประทานได้อย่างน่าชื่นชม
อย่างไรก็ตาม บนโลกนี้ยังมีน้ำผึ้งอีกมากมาย คงจะดีไม่น้อยหากผู้คนหันมาให้ความสนใจน้ำผึ้งและร่วมผลักดันอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผึ้งให้เติบโตกันมากขึ้น ไม่ว่าจะในฐานะนักชิมอาหารเลิศรสหรือในฐานะผู้หลงใหลในความมหัศจรรย์ของแมลงตัวเล็กทว่าทรงพลังชนิดนี้ก็ตาม
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ Honeyful Cafe
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'Tahona' ชวนสัมผัสความอร่อย ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นอันโดดเด่นหลากหลาย กลายเป็นเมนูเลิศรสสุดประณีต
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine