'ทุกวิกฤต ผลักดันให้ธุรกิจแกร่ง' สาหร่าย 'เถ้าแก่น้อย' 20 ปี ทำกำไร ไม่เคยขาดทุน! - Forbes Thailand

'ทุกวิกฤต ผลักดันให้ธุรกิจแกร่ง' สาหร่าย 'เถ้าแก่น้อย' 20 ปี ทำกำไร ไม่เคยขาดทุน!

หากพูดแบรนด์ที่เป็นหัวแถวของสินค้าสาหร่ายอบกรอบ แน่นอนว่าหลายๆ คนก็ต้องนึกถึง 'เถ้าแก่น้อย' แบรนด์ไทยที่อยู่คู่คนไทยมานานถึง 20 ปี !!! มียอดขายเป็นจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ โดยล่าสุดทางแบรนด์ยังได้จัดงานเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ ได้แก่ 'ชมพู่ อารยา และน้องเกล' ในแคมเปญ 'เถ้าแก่เกล' ที่สร้างกระแส Talk of The Town ผ่านสื่อโซเชียลอย่างล้นหลาม


    Forbes Thailand มีโอกาสได้พูดคุยกับ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้งจำกัด (มหาชน) ถึงแผนธุรกิจที่เขาวางไว้ตลอดปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า โดย CEO เถ้าแก่น้อยบอกว่า ปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติเอลนีโญปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตในประเทศเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น จึงทำให้สินค้าขาดตลาด...ต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่างสาหร่ายจากเกาหลีใต้ก็เลยมีราคาพุ่งสูงขึ้น และยังถือเป็นราคาที่แพงมากที่สุดในรอบ 40 ปี ต่อเนื่องไปถึงนโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 19% ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลต่อยอดขาย รายได้ กำไรของบริษัทในปี 2025 และแผนธุรกิจในอนาคตทั้งสิ้น



    "ช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด คนล็อกดาวน์ตัวเองอยู่กับบ้านออกไปไหนไม่ได้ ต่อเนื่องมาถึงเรื่องต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นในรอบ 40 ปี ถือเป็นวิกฤตที่เราต้องเจอ...แต่โชคดีที่เราเรียนรู้ไว ปรับตัวเก่ง เรียกได้ว่าตั้งแต่ผมทำธุรกิจมาตลอด 20 ปี เถ้าแก่น้อยไม่เคยขาดทุนเลยแล้วกัน ซึ่งช่วง 5 ปีแรกธุรกิจผมก็เหมือนคนทำสตาร์ทอัพทั่วไป ต้องมีเรียนรู้ ลองผิด ลองถูกบ้าง และเราอาจจะขาดทุนก็ได้ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ไงครับ เพราะเรายังมองเรื่องบัญชี ตัวเลขต่างๆ ไม่เป็น" CEO เถ้าแก่น้อยเล่าให้ฟังพลางหัวเราะไปด้วยอย่างเป็นกันเอง



    เขาบอกเสริมถึงเรื่องวัตถุดิบหลักว่า พอคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้าได้ก็ทำการเก็บสต็อกสาหร่ายไว้จำนวนมาก และพอสินค้าขาดตลาด มีราคาสูงขึ้นจากเดิมหลายเท่า ต่อให้ต้องเจ็บตัวในเรื่องราคาต้นทุนที่แพงขึ้น ธุรกิจก็ยังพอมีกำไรและยังเจ็บตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

    "ทุกวิกฤตที่ผ่านมา ผมมองว่ามันทำให้เราแกร่งขึ้น เรียนรู้ ปรับตัว และรับมือกับปัญหาได้ไว ธุรกิจก็เดินหน้าได้คล่องตัวกว่าเดิม ช่วงก่อนโควิดผมมีพนักงานทั้งหมดราว 3,500 คน ตอนนั้นเราต้องตัดสินใจปรับลดคนงานลง ณ ปัจจุบันเรามีพนักงานทั้งหมด 1,500 คน แบ่งเป็นฝั่งพนักงานออฟฟิศ 1,000 คน และฝั่งพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต 500 คน ซึ่งเรื่องของยอดขาย รายได้ และกำไรของปีนี้ หลายคนอาจจะมองว่า เถ้าแก่น้อยจะฝ่าวิกฤตเรื่องต้นทุนไปได้หรือไม่ ผมบอกทีมพนักงานทุกคนเลยว่า ใครจะพูดอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่เดี๋ยวพอปัญหาเรื่องผลผลิตที่เกาหลีใต้กลับสู่ปกติ...ทุกอย่างก็จะกลับมาดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน"



    อย่างไรก็ตาม CEO เถ้าแก่น้อยยังบอกด้วยว่า เขาจะพัฒนาธุรกิจให้ลีนกว่าเดิมซึ่งไม่ใช่การปรับลดพนักงานลงแต่อย่างใด หากแต่เป็นการนำเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัยอย่าง ระบบ AI หรือ Data เข้ามาใช้เพื่อช่วยให้กำลังการผลิตและพนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

    นอกจากนี้ เขายังเผยให้ฟังถึงเป้าหมายอนาคตภายใน 5 ปี เขาต้องการให้เถ้าแก่น้อยกลายเป็นครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น เป็น 'FAmily of Snack' ที่แตกไลน์สินค้าใหม่มีแบรนด์ลูกๆ เข้ามาอยู่ในพอร์ตโฟลิโออีก 3-4 แบรนด์ และอีกไม่นานในช่วงปลายเดือนก.ย. หรือต้นเดือน ต.ค.นี้ เราคงจะได้เห็นแบรนด์ขนมขบเคี้ยว สินค้าใหม่จาก ต๊อบ เถ้าแก่น้อย ที่เขาภูมิใจนำเสนอ..."ผมมั่นใจเลยว่าสินค้าตัวนี้จะสร้างรายได้ไม่น้อยไปกว่าสาหร่ายอบกรอบที่คนไทยนิยมบริโภคกันอย่างแน่นอน" ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย



ภาพ : เถ้าแก่น้อย




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'เถ้าแก่น้อย' ทุ่มงบ 50 ล้าน เปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ 'เถ้าแก่เกล' พร้อมจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายเจาะกลุ่มครอบครัวเพิ่ม 40%

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine