Breguet รังสรรค์เรือนเวลา Type XX Chronographe รุ่นใหม่ แรงบันดาลใจจากฟากฟ้า นำทางด้วยเวลาและจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย - Forbes Thailand

Breguet รังสรรค์เรือนเวลา Type XX Chronographe รุ่นใหม่ แรงบันดาลใจจากฟากฟ้า นำทางด้วยเวลาและจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย

FORBES THAILAND / ADMIN
06 Jun 2025 | 10:30 AM
READ 168

เนื่องในโอกาสครบรอบ 250 ปี ของ Breguet (เบรเกต์) การเฉลิมฉลองเริ่มต้นขึ้นที่กรุงปารีสกับเรือนเวลา Classique Souscription 2025 ต่อด้วยเซี่ยงไฮ้กับ Tradition 7035 ล่าสุด Breguet แวะเยือนมหานครนิวยอร์ก พร้อมเปิดตัวเรือนเวลารุ่น Type XX Chronographe หมายเลขอ้างอิง 2075 สองเวอร์ชั่น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโมเดลระดับตำนานที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1955


    นาฬิกาโครโนกราฟรุ่นใหม่ของ Breguet นี้มาพร้อมฟังก์ชั่น flyback อันเป็นการยกย่องอัจฉริยภาพของมนุษย์และความกล้าหาญของเหล่านักสำรวจแห่งกาลเวลา Abraham-Louis Breguet ช่างนาฬิกาผู้ก่อตั้งแบรนด์, Louis Breguet ทายาทรุ่นเหลนผู้เป็นนักผลิตเครื่องบิน, และคู่หูนักบิน Dieudonne Costes และ Maurice Bellonte ผู้สร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นคนกลุ่มแรกที่บินจากปารีสสู่นิวยอร์กได้สำเร็จ โดยภารกิจนี้สำเร็จภายในเวลาเพียงประมาณ 37 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 1 - 2 กันยายน ปี 1930 ด้วยเครื่องบินรุ่น Breguet 19TR Super Bidon ซึ่งชื่อนี้มีที่มาจากถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ ที่ทั้งสองข้างตัวลำเครื่องบินมีประดับด้วยเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่



    เรือนเวลาทั้งสองรุ่นใหม่นี้รังสรรค์จาก Breguet Gold หรือ ทองคำเบรเกต์ ซึ่งเป็นโลหะอัลลอยด์ผสมขึ้นพิเศษที่มีเฉดสีทองบลอนด์อันเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมหน้าปัดสองแบบ ได้แก่ หน้าปัดอะลูมิเนียมอโนไดซ์สีดำ และหน้าปัดเงิน ซึ่งทั้งสองรุ่นได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิการุ่นเอกลักษณ์อย่าง “civil” ที่ Breguet เผยโฉมในปี 1955 โดยหมายเลขตัวเรือนของเรื่อนต้นฉบับนั้นคือ 1780 เรือนเวลารุ่นใหม่นี้จึงสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมทางเทคนิคของ Breguet และการเคารพในประวัติศาสตร์อันล้ำค่าของแบรนด์อย่างภาคภูมิ


Breguet ชื่อที่เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรม

    ในขณะที่ Abraham-Louis Breguet เป็นผู้เปิดประตูสู่กาลเวลา นำพาผลงานการประดิษฐ์นาฬิกาให้ก้าวล้ำไปอย่างยิ่งใหญ่ ทายาทรุ่นเหลนของเขา Louis Breguet ก็เป็นผู้เปิดโลกสู่ท้องฟ้านภาอันกว้างไกล

    วิศวกรผู้สำเร็จการศึกษาจาก Ecole Superieure d’Electricite ผู้นี้ นับเป็นนักบุกเบิกแห่งวงการการบิน โดยได้ก่อตั้งบริษัทผลิตเครื่องบินของตนเองขึ้น และตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ก็ได้พัฒนาอากาศยานล้ำสมัย ทั้งเครื่องบินแบบปีกสองชั้น และเครื่องบินแบบปีกเดียว โดยหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Breguet 19 เครื่องบินทิ้งระเบิดและลาดตระเวนซึ่งนิยมใช้ในภารกิจการบินระยะไกล


การบินจากปารีสสู่นิวยอร์กด้วยเครื่องบิน กับเครื่องหมาย “คำถาม”

    หลังจากที่ Charles Lindbergh นักบินชาวอเมริกัน ทำการบินเดี๋ยวจากนิวยอร์กไปยังปารีสได้สำเร็จในปี 1927 ได้เกิดกระแสคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่าแล้วการบินจากปารีสไปยังนิวยอร์กนั้นจะเป็นไปได้เช่นกันหรือไม่ เมื่อสื่อมวลชนสอบถามถึงโอกาสที่ภารกิจใหม่นี้จะประสบความสำเร็จ Louis Breguet พร้อมกับสองนักบิน Dieudonne Costes และ Maurice Bellonte ก็ตอบกลับอย่างเรียบง่ายด้วยเครื่องหมายคำถาม

    เครื่องบิน Breguet 19 รุ่นดัดแปลงพิเศษของพวกเขา มีชื่อว่า Super Bidon “Point d’Interrogation” โดยมีเครื่องหมายคำถามสีขาวขนาดใหญ่ประดับอยู่ทั้งสองด้านของลำตัวเครื่องบินสีแดง แม้ว่าทั้งทีมงานและหลายฝ่ายจะยังสงสัยว่าภารกิจนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ แต่พวกเขาก็สามารถพิชิตเส้นทางการบิน ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากปารีสสู่มหานครนิวยอร์กแบบไม่หยุดพักได้สำเร็จในปี 1930



Type XX ตำนานแห่งท้องนภา

    เมื่อต้นทศวรรษ 1950 กองทัพอากาศฝรั่งเศสได้เปิดให้ยื่นเสนอแบบนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟสำหรับประวัติศาสตร์นี้ Breguet ได้นำเสนอไลน์ Type XX สำหรับนักบิน โดยใช้รหัสโครงการว่า “Type 20” และหนึ่งในบริษัทที่ชนะการประกวดแบบก็คือ Breguet นั่นเอง ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ผลิตเรือนเวลาหลายรุ่นให้แก่วงการการบิน

    ปี 1952 จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของนาฬิกาจาก Breguet ในฐานะเครื่องมืออุปกรณ์ โดยมีสองเวอร์ชั่นสำหรับการทหาร ได้แก่ Type 20 สำหรับกองทัพอากาศ และ Type XX สำหรับกองการบินนาวี รวมถึงรุ่น Type XX อีกมากมายที่สร้างสรรค์ขึ้นสำหรับตลาดพลเรือน

    ด้วยแรงบันดาลใจจากบทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์นี้ Breguet ได้นำเสนอไลน์ Type XX ขึ้นใหม่ในคอลเล็กชั่นร่วมสมัยของแบรนด์ โดยเจเนอเรชั่นที่ 4 ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2023 และเพื่อสืบสานตำนานอันน่าหลงใหลนี้ พร้อมฉลองวาระครบรอบ 250 ปีของแบรนด์ Breguet จึงเปิดตัวรุ่น Type XX หมายเลขอ้างอิง 2075 ซึ่งมีออกมาด้วยกันสองเวอร์ชั่น โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาพลเรือนรุ่นทองคำที่เปิดตัวในปี 1955 ซึ่งจากฐานข้อมูลเอกสารของแบรนด์ ระบุว่าเรือนต้นฉบับมาพร้อมหน้าปัดเงินขัดลายซาติน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหน้าปัดสีดำในภายหลัง

    วันนี้ Breguet ได้เปิดตัวสไตล์ที่ผ่านการตีความใหม่สองแบบ ได้แก่ หน้าปัดอะลูมิเนียมสีดำ และเวอร์ชั่นลิมิเต็ดเพียง 250 เรือน มาพร้อมหน้าปัดเงิน สืบทอดอดีตสู่ปัจจุบัน

    “นาฬิกา Type XX ใหม่ล่าสุดสองเรือนนี้ มาพร้อมตัวเรือนขนาดเล็กลงและกลไกขึ้นลานด้วยมือ สะท้อนแนวทางการออกแบบของรุ่นต้นแบบอย่างแท้จริง” Gregory Kissling ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแบรนด์ Breguet กล่าว “เราใส่ใจอย่างยิ่งในการถ่ายทอดอัตลักษณ์การออแบบจากรุ่นประวัติศาสตร์ เพื่อให้สามารถผสานเข้ากับคอลเล็กชั่นอื่นของแบรนด์ได้อย่างกลมกลืน และในขณะเดยวกันก็ดึงดูดผู้ที่หลงใหลในศาสตร์แห่งนาฬิกาและประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆ กันด้วย”


กลไกอันทรงประสิทธิภาพ

    กลไกที่อยู่ภายในนาฬิกาทั้งสองรุ่นใหม่นี้เป็นอีกเวอร์ชั่นของกลไกคาลิเบอร์ 728 อันทรงประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนด้วยความถี่สูง 5 เฮิรตซ์ ซึ่ง Breguet เปิดตัวครั้งแรกในปี 2023 กลไกนี้มาพร้อมฟังก์ชั่น flyback ที่ช่วยให้สามารถรีเช็ดเข็ม จับเวลาเป็นศูนย์และเริ่มจับเวลาใหม่ได้ทันที ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว ณ ตำแหน่ง 4 นาฬิกา



    สำหรับสองรุ่นใหม่นี้เป็นครั้งแรกที่ Breguet นำเสนอคาลิเบอร์ 728 เวอร์ชั่นขึ้นลานด้วยมือซึ่งทั้งคู่เคลือบด้วย Breguet gold รุ่นหน้าปัดสีดำ ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 7279 มาพร้อมเคาน์เตอร์จับเวลา 15 นาที ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ส่วนรุ่นหน้าปัดเงินขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 7278 ซึ่งมาพร้อมเคาน์เตอร์จับเวลา 30 นาทีที่ตำแหน่งเดียวกัน ทั้งสองรุ่นมีหน้าปัดย่อยแสดงวินาทีที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา

    ฝาหลังแบบใสเผยให้เห็นงานแกะสลักด้วยมือทั้งหมดซึ่งทำขึ้นอย่างประณีตภายในเวิร์กช็อปของ Breguet โดยลวดลายดังกล่าวแสดงภาพเครื่องบิน Breguet 19 ขณะกำลังเหินเวหา พร้อมเส้นทางการบินตามจริงในปี 1930 เหนือแผ่นดินยุโรปและอเมริกาเหนือที่ขัดแต่งแบบด้านตัดกับมหาสมุทรแอตแลนติกที่ขัดแต่งแบบเงาได้อย่างงดงามลงตัว


หน้าปัดสองสไตล์สะท้อนมรดกหนึ่งเดียว

    เพื่อเป็นการยกย่องอัจฉริยภาพของ Louis Breguet ผู้บุกเบิกการใช้แผ่นโลหะ Duralumin (ดูราอลูมิน ซึ่งเป็นโลหะผสมที่มีอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ 95%) ในการสร้างเครื่องบิน Breguet จึงเลือกใช้วัสดุดังกล่าวในการผลิตหน้าปัดของนาฬิกา Type XX 2075 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้วัสดุนี้ในคอลเล็กชั่นของแบรนด์ สัญลักษณ์ “Al” ที่ปรากฏอยู่ระหว่างตำแหน่ง 7 และ 8 นาฬิกาอย่างกลมกลืน แสดงให้เห็นถึงการเลือกใช้โลหะชนิดนี้อย่างชัดเจน

    เพื่อสร้างสรรค์เฉดสีดำที่ใกล้เคียงกับรุ่นประวัติศาสตร์ในปี 1955 Breguet ใช้กระบวนการ anodization ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างชั้นออกไซด์ที่หนาขึ้น เพื่อเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน สำหรับกรรมวิธีในครั้งนี้ Breguet ได้เลือกใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยกระบวนการ anodization ในเฉดสีดำเข้มที่มีความทนทานสูง ซึ่งปัจจุบันใช้ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ส่งผลให้สามารถอ่านค่าได้ชัดเจนมากขึ้น และมีความทนทานยิ่งขึ้นกว่าเดิม

    ส่วนนาฬิกา Type XX รุ่นใหม่ อีกหนึ่งเวอร์ชั่นที่ออกมานั้น ถ่ายทอดอัตลักษณ์เรือนเวลารุ่นประวัติศาสตร์ N° 1780 แบบดั้งเดิมไว้ นั่นคือหน้าปัดที่รังสรรค์จากวัสดุเงิน



    สำหรับรุ่นหน้าปัดเงินนี้ มาพร้อมการขัดแต่งลายแบบแนวตั้ง มอบความเงางามที่เรียบหรูและเปี่ยม ด้วยความประณีต ตอกย้ำความงามเหนือกาลเวลาบริเวณระหว่างตำแหน่ง 7 และ 8 นาฬิกา สลักคำว่า “Ag925” อย่างประณีต ซึ่งเป็นรายละเอียดที่บ่งบอกถึงการใช้โลหะอันทรงคุณค่าที่อยู่ภายในและยังโดดเด่นด้วยสเกลจับความเร็ว (Tachymeter) สำหรับคำนวณความเร็วที่ใช้ในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางตามระยะเวลาที่กำหนด

    หน้าปัดของทั้งสองรุ่นประดับชื่อ “Breguet” ด้วย Breguet gold อย่างประณีต โดยรุ่นหน้าปัดสีเงิน ยังมาพร้อมตัวเลขอารบิก และหลักชั่วโมงซึ่งรังสรรค์ด้วย Breguet gold เช่นกัน


เรือนเวลา Breguet ในตัวเรือนทองคำ

    ตัวเรือนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 38.3 มม. เท่ากันกับเรือนเวลา รุ่นประวัติศาสตร์ดั้งเดิมที่เปิดตัวในปี 1955 และมีความหนา 13.2 มม. ทั้งตัวเรือนผลิตขึ้นทั้งหมดจาก Breguet gold ซึ่งเป็นโลหะผสมพิเศษ สูตรเฉพาะที่ประกอบด้วยทองคำ เงิน ทองแดง และแพลเลเดียม สีทองสูตรพิเศษนี้เปิดตัวเป็นครั้งแรกกับนาฬิการุ่น Classique Souscription 2025

    ขอบตัวเรือนสามารถหมุนได้แบบสองทิศทางดีไซน์บาง โดยตัวเลขมาในสีดำสำหรับรุ่นหน้าปัดสีดำ และสีน้ำเงินสำหรับรุ่นหน้าปัดสีเงินเม็ดมะยมประดับด้วยตัวอักษร B ซึ่งย่อมาจาก Breguet

    ทั้งสองรุ่นใหม่มาพร้อมสายหนังแบบถอดเปลี่ยนได้ โดยรุ่นหน้าปัดสีดำมาพร้อมสายหนังสีดำไล่เฉดส่วนรุ่นหน้าปัดสีเงินจับคู่กับสายหนังสีน้ำเงินไล่เฉด



Breguet และการบิน

    ชื่อของ Breguet นอกจากจะสื่อถึงความเป็นเลิศด้านการรังสรรค์เรือนเวลาแล้ว ยังสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของวงการการบินอีกด้วย โดย Louis-Charles Breguet ทายาทรุ่นเหลนของ Abraham-Louis Breguet ช่างนาฬิกาชื่อดังเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการการบินของฝรั่งเศส

    ในช่วงต้นสตวรรษที่ 20 Louis Breguet ผู้หลงใหลในจักรกลและการบิน ได้ออกแบบเฮลิคอปเตอร์ต้นแบบรุ่นแรกๆ ที่เรียกว่า gyroplane (ไจโรเพลน) ขึ้นในปี 1907 ซึ่งสามารถยกตัวขึ้นจากพื้นพร้อมกับนักบินหนึ่งคนได้ นับเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอันยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ต่อมาเขาได้ก่อตั้งบริษัท Breguet Aviation ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอากาศยานทั้งทางทหารและพลเรือน

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เครื่องบินของบริษัทโดยเฉพาะรุ่น Breguet XIV ซึ่งเป็นเครื่องบินปีกสองชั้นระดับตำนาน ที่ใช้ในการลาดตระเวนและทิ้งระเบิด มีการผลิตขึ้นในจำนวนมากและขึ้นชื่ออย่างมากในด้านสมรรถนะ ต่อมาในช่วงหลังสงคราม Breguet ก็ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในวงการการบินเชิงพาณิชย์ และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการคมนาคมทางอากาศ

    ในฐานะนักคิดที่มีมุมมองอันก้าวไกลและนักปฏิบัติผู้เปี่ยมวิสัยทัศน์ Louis Breguet ยังมีส่วนร่วมในการก่อตั้งสายการบิน Air France อีกด้วย ชื่อของเขาจึงผูกพันแน่นแฟ้นกับยุคแห่งการบุกเบิกอันรุ่งโรจน์ เมื่อมนุษย์ได้ทำการท้าทายฟากฟ้าอย่างกล้าหาญและสง่างาม

    Emmanuel Breguet ผู้เป็น Head of Patrimony ประจำแบรนด์ยังเล่าเพิ่มเติมว่า บริษัท Breguet Aviation ได้จารึกประวัติศาสตร์สำคัญในวงการการบินของฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศทั่วโลก ในฐานะผู้บุกเบิกพัฒนาเครื่องบินทั้งการทหารและพลเรือน โดยสร้างชื่อเสียงจากเครื่องบิน Breguet 14 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ตามมาด้วยนวัตกรรมอย่าง Breguet Deux-Ponts และ Breguet 941

    “ในปี 1971 Breguet Aviation ได้ควบรวมกิจการกับ Dassault กลายเป็น Avions Marcel Dassault-Breguet Aviation และต่อมาในปี 1990 ก็ได้มีการย่อชื่อบริษัทเป็น Dassault Aviation แต่ถึงแม้ว่าบริษัทจะไม่ได้ดำเนินกิจการแล้ว จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมของ Breguet ยังคงสืบทอดอยู่ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของฝรั่งเศสจวบจนปัจจุบัน” Emmanuel Breguet กล่าว


ภาพ: Breguet


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : L&E Beyond ร่วมสร้างสีสันให้ KAWS:HOLIDAY BANGKOK รังสรรค์ระบบแสงเติมเต็มบรรยากาศ สู่ปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่บนลานสนามหลวง

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine