ผมมีโอกาสเข้าร่วมการประชุมระดับโลก World Economic Forum (WEF) ที่ Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมที่ผู้นำประเทศ ผู้นำทางธุรกิจ และผู้นำทางความคิดจากทุกมุมโลกกว่า 5,000 คนมารวมตัวกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์
การประชุมที่ Davos เป็นไปเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด ความเห็น อันจะนำไปสู่ภาวะของโลกที่เราอยากให้ลูกหลานของเราได้อยู่กันต่อไปหรือในพันธกิจของ WEF คือ “Committed to improving the state of the world by engaging business, political, academic, and other leaders of society to shape global, regional, and industry agendas” Davos เป็นหมู่บ้านสกีเล็กๆ บนเทือกเขาสวิสแอลป์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง Zurich ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินประมาณ 3 ชั่วโมง สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,600 เมตร ซึ่งก็สูงใกล้เคียงกับดอยอินทนนท์ของไทย เป็นเมืองที่มีทางเข้าทางเดียว คงทำให้การรักษาความปลอดภัยทำได้ง่าย และเป็นเมืองเล็กที่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ และก็มีข้อดีคือทำให้ผู้นำต่างๆ สามารถนัดพบกันนอกรอบ เพื่อเจรจากันได้โดยสะดวก ส่วนการประชุมดังกล่าวนี้ได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2514 หรือเมื่อ 48 ปีที่แล้ว โดยในการจัดครั้งแรกนั้นจัดภายใต้ชื่อ European Management Forum ซึ่งเป็นการนำผู้นำทางธุรกิจร่วม 500 ท่านของบริษัทชั้นนำของยุโรปมาแลกเปลี่ยนความคิดและนำปรัชญาธุรกิจของสหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้นำในสมัยนั้นมาแลกเปลี่ยนกัน ในปีถัดๆ มาเมื่อมีเหตุการณ์ทางสังคมและการเมืองโลกเกิดขึ้น ก็มีการเชิญผู้เกี่ยวข้องมาร่วมหารือจนกระทั่งในปี 2530 จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น WEF และมีผู้ที่เกี่ยวข้องจากด้านต่างๆ ทั่วโลกมาพบปะ แลกเปลี่ยน และถกแถลงความคิดเห็นต่างๆ ตั้งแต่ก่อตั้งมาร่วม 50 ปี WEF ได้จุดประกายหลายๆ อย่างให้โลกของเรา ไม่ว่าด้านการบริหาร ที่ในปี 2514 แนะนำเรื่อง stakeholders แทน shareholder ซึ่งหมายถึงการดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากผู้ถือหุ้นเพียงอย่างเดียว ให้บริษัทดูแลพนักงาน ชุมชนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อม จนเป็นที่นิยมในปัจจุบัน หรือทางด้านการเมือง เรื่องการเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลางช่วงทศวรรษ 80 ถึงเหตุการณ์ของ Nelson Mandela ในช่วงทศวรรษ 90 และการเชิญเจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือเข้าร่วมประชุมด้วยในปี 2559 ในส่วนของเศรษฐกิจและสังคม ก็ได้จุดประกายเรื่อง "การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ" ตั้งแต่ปี 2547 ผ่าน Partnering Against Corruption Initiative จนถึง Fourth Industrial Revolution หรืออุตสาหกรรม 4.0 ในปี 2560ที่เราเริ่มรู้จักกันอย่างแพร่หลายในเมืองไทยในปีที่ผ่านมาGlobal Shaper ร่วมชี้ทิศทางของความยั่งยืน
ในวันอังคารที่เปิดการประชุมประจำปีของ WEF 2019 ศาสตราจารย์ Klaus Schwab ที่เป็นผู้ก่อตั้งของสถาบัน ได้เป็นผู้ดำเนินรายการและเชิญหนุ่มสาว 6 ท่านจากทั่วทุกมุมโลกที่มีพื้นเพที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางด้านงานสังคม ผู้อพยพ หรือผู้นำทางด้านธุรกิจมาคุยกันในหัวข้อ Shaping Globalization 4.0 ซึ่งเป็นมุมมองของคนรุ่นมิลเลนเนียลหรือที่มีอายุไม่เกิน 35 ปีที่หลายๆ คนเรียกตัวเองว่า “Global Shaper” หรือน่าจะแปลเป็นไทยว่าคนที่คอยตัดแต่งและชี้ชักให้โลกของเราใบนี้ดำเนินไปในทิศทางที่สมดุลมากขึ้น โดยคำนึงถึงผลกระทบในทุกๆ แง่มุม ทำให้รู้สึกว่าเรากำลังจะมีผู้นำรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยรอบด้านที่จะทำให้โลกใบนี้ยั่งยืน โดยไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ด้านใดด้านหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ติดตามอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2562 ที่แผงนิตยสารชั้นนำหรือคลิกเพื่ออ่านในรูปแบบ e-Magazine
