ในวันที่เทคโนโลยีและการแข่งขันทางธุรกิจหมุนเร็วกว่าเดิม สาม SME ไทย ‘Mizumi, เจี้ยนชา และนายอ้วนเย็นตาโฟ’ กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า “พลังของความกล้าและความเชื่อในตัวแบรนด์” ยังเป็นหัวใจสำคัญที่พาธุรกิจเติบโต จากธุรกิจเล็กๆ สู่แบรนด์ร้อยล้านและขยายชื่อเสียงไกลในระดับโลก เวที Adman Award & Symposium 2025 จึงหยิบเรื่องราวของพวกเขามาถอดบทเรียน ว่าอะไรคือสูตรลับที่ทำให้แบรนด์ไทยสามารถก้าวข้ามข้อจำกัด และสร้างพลังบอกต่อจนกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญของความสำเร็จ
จุดเริ่มต้นความกล้า ผลิตครีมกันแดด Mizumi ในไทย
วรษฐา สืบพันธ์วงษ์ CEO Mizuchada Group เล่าว่า เมื่อสิบปีก่อน ตลาดครีมกันแดดไทยยังไม่ใช่สมรภูมิการแข่งขันอย่างทุกวันนี้ แต่เลือกเข้าตลาดก่อน เพราะเชื่อว่าคนไทยต้องการกันแดดที่เนื้อสัมผัสเหมาะกับสภาพอากาศและผิวของตัวเอง
“ตลาดจะขยายได้ ไม่ใช่เพราะกล้าอย่างเดียว แต่เพราะมองเห็นโอกาสของผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนไทยจริงๆ” วรษฐาระบุ

เมื่อแบรนด์เติบโตจึงขยับเป็นการตลาดแบบ 360 องศา พร้อมทดลอง Visual Marketing ที่ใช้อนิเมชันและ AI เพื่อรีเฟรชภาพแบรนด์ให้ทันสมัย อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าข้อจำกัดสำคัญคือทุน จึงต้องใช้ความกล้าอีกขั้นในการ educate ตลาดด้วยตัวเองทั้งหมด ในยุคที่ยังไม่มี TikTok ไม่มี e-commerce ใหญ่เหมือนทุกวันนี้ Mizumi เลือกใช้การโปรโมทผ่าน Facebook และ Instagram จนคนเริ่มทดลองใช้ เกิดการซื้อซ้ำ และบอกต่อจนแบรนด์เริ่มขยายตัว
“เงินคือพื้นฐานให้ธุรกิจเดินต่อ แต่เมื่อถึงระดับหนึ่ง แบรนด์ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคและประเทศได้” วรษฐา เสริม
รู้จักเทรนด์โลก ลงมือทำ จนเกิด ‘เจี้ยนชา’
พอลลี่ เฮสันต์ ซีอีโอ เจี้ยนชา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของเจี้ยนชาว่าเธอมองไปถึงเทรนด์ของโลกในยุคปัจจุบัน และศึกษาไปถึงต้นกำเนิดของเครื่องดื่มชา วัฒนธรรมการดื่ม โดยเธอมองเห็นว่า ‘ชาจีน’ จะกลายเป็นเทรนด์โลกหลังจากนี้ จึงเป็นจุดกำเนิดของเจี้ยนชา
เธอใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนในการเปิดตัว “เจี้ยนชา” เพราะเชื่อว่าแบรนด์ไม่มีสูตรสำเร็จ ต้องลงมือทำจริง ปรับจริง และนำมาพัฒนาต่อจากข้อมูลที่ได้ ทั้งนี้ เธอได้เปรียบเจี้ยนชาเหมือน “ผู้หญิงเอเชีย” โดยต้องอาศัยการเล่าเรื่องไม่ใช่แค่ในไทย แต่ในประเทศที่กำลังจะขยายสาขาด้วย เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้แข็งในระยะยาว
Gen 3 นายอ้วนเย็นตาโฟ
ศุภกิจ ตระกูลกิจเจริญ ซีอีโอ นายอ้วนเย็นตาโฟ ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 เล่าว่า ความท้าทายของแบรนด์ที่อยู่มานานอย่างเย็นตาโฟของที่ร้าน คือต้องบาลานซ์ความดั้งเดิม กับการเข้าหาลูกค้ารุ่นใหม่ เขาเริ่มจากการสังเกตพฤติกรรมลูกค้า จนพบว่าจุดขายของร้านคือบรรยากาศแบบกินข้าวกับครอบครัว จึงรักษาส่วนนี้เอาไว้ ส่วนคาแร็กเตอร์แบรนด์ ชื่อร้าน และเรื่องราว ถูกสร้างเพิ่มเติมภายหลัง จนนำไปสู่ชื่อใหม่ “นายอ้วนเย็นตาโฟ”

เขาปรับรสชาติในบางส่วน แต่ยังรักษาตัวตนดั้งเดิม และขยายสาขาเพื่อให้ลูกค้าเก่ากลับมาเจอร้านมากขึ้น รวมถึงใช้ข้อมูลจากเดลิเวอรี่ในการเลือกทำเล และพาแบรนด์ออกสู่งานออฟไลน์ใหญ่ๆ เช่น Big Mountain, S2O และคอนเสิร์ต Blackpink พร้อมออกแบบเมนูรับประทานง่ายสำหรับงานคอนเสิร์ต เพื่อเชื่อมแบรนด์กับผู้บริโภครุ่นใหม่
การคอลแล็บ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ เช่นเดียวกับ “ร้านนายอ้วนเย็นตาโฟ” ศุภกิจเล่าว่าก่อนหน้านี้ร่วมงานกับน้าเน็ก พิธีกรชื่อดัง ซึ่งเขาได้ใช้แบรนด์ตัวเองเป็นช่องทางในการขายเฉาก๊วยของน้าเน็ก ขณะเดียวกันก็ใช้สื่อของน้าเน็กในการโปรโมทธุรกิจให้กับเขาเช่นกัน พร้อมระบุว่า หากฐานลูกค้าของแบรนด์ที่จะคอลแล็บด้วยมีความคล้ายกัน เป็นเรื่องดีในความร่วมมือดังกล่าวซึ่งจะช่วยแชร์ฐานลูกค้าให้ใหญ่ขึ้นไปอีก หรือเรียกว่า “วินทั้งคู่”
วิธีรับมือเมื่อเจอ ‘คอมเพลน-รีวิวลบ’
วรษฐา ให้มุมมองว่าสำหรับผลิตภัณฑ์สกินแคร์ มีโอกาสเจอรีวิวด้านลบได้ค่อนข้างเยอะ พร้อมระบุว่า ทีมงานมาร์เก็ตติ้งของเธอเองต้องมอนิเตอร์ออนไลน์แทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะผ่านการพูดคุยของลูกค้าจริง หรือกลุ่มบิวตี้บล็อกเกอร์ โดยมองภาพรวมไปถึงว่าผู้บริโภคพูดถึงในทางบวก หรือทางลบ หากผลลัพธ์ออกมากลางๆ ขึ้นไปทางบวกก็จะปล่อย หากต้องแก้ทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้
แน่นอนว่าการทำแบรนด์ไม่สามารถทำให้ผู้ใช้ทุกคนพึงพอใจได้ ขณะเดียวกัน ก็พยายามทำผลิตภัณฑ์ให้ออกมาดีที่สุด แต่หากผลลัพธ์ออกมาทางลบ ก็ต้องแสดงจุดยืน เช่น ตอบคำถามผ่านแอดมิน การทำคลิปชี้แจง หรือการประกาศจากทางแบรนด์ โดยจะทำเป็นขั้นตอน เพื่อสร้างความชัดเจนให้ลูกค้า
“สุดท้ายหากเกิดข้อผิดพลาดจริง ให้ยอมรับและรีบแก้ไข เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความใส่ใจของแบรนด์ คนสมัยนี้ใจกว้างที่จะฟังคำอธิบาย แต่จะไม่โอเคมากกว่า ถ้าแบรนด์เลือกไม่พูด หรือไม่ take action อะไรเลย” วรษฐา กล่าว
ด้าน พอลลี่ เล่าว่า เจี้ยนชาได้รับฟีดแบกจากลูกค้าเยอะมากทั้งไทยและต่างประเทศ จนเธอตระหนักได้ว่าจะไม่ตัดสินจากสิ่งที่คนหนึ่งคนคอมเพลนเท่านั้น แต่จะเก็บฐานข้อมูลโดยรวม เพื่อศึกษาและพัฒนาต่อ พร้อมระบุว่า “การคอมเพลนของลูกค้าเปรียบเสมือนห้องเรียนราคาฟรี” และการคอมเพลนที่เกิดขึ้น ลูกค้าได้เสียเวลาเพื่ออยากให้ทางแบรนด์ปรับปรุงจริงๆ
ขณะที่ ศุภกิจ กล่าวว่า ลูกค้าคือครูของแบรนด์จริงๆ แต่ต้องแยกให้ออกระหว่างคอมเมนต์ทางความรู้สึก และทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้แบรนด์สามารถนำไปต่อยอดได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคุณภาพและบริการ พร้อมยกตัวอย่างว่า ทีมงานบางคนทำงานมานาน จนเกิดความเหนื่อย ประกอบกับไม่มีแรงกระตุ้น เขาจึงตัดสินใจเพิ่มเงินพิเศษให้ทีมงานหน้าสาขา และทำให้เห็นว่าทีมงานสามารถเติบโตไปกับแบรนด์ได้อย่างไรบ้าง
“เรารับเขาเข้าทำงาน ในตำแหน่งคนลวกก๋วยเตี๋ยว แต่ถ้าเรามีสเต็ปให้เขาเดิน เริ่มจากคนลวกก๋วยเตี๋ยว ต่อมาเป็นผู้จัดการร้านสาขา เขาจะเริ่มมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริการด้วย” ศุภกิจ เสริม
ความกล้าที่จะเชื่อมั่นในแบรนด์ ในวันที่ธุรกิจสะดุด
วรษฐา เผยว่า โชคดีที่ในระยะเวลา 10 ปี ของแบรนด์ ไม่มีช่วงไหนที่สะดุดมากเป็นพิเศษ แต่ก็มีอุปสรรคที่ท้าทายความมั่นใจบ้างในบางครั้ง ในเรื่องความเชื่อและตัวเลข เธอยอมรับว่า ไม่ได้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะความเชื่อเป็นสิ่งที่ทำให้มีพลังในการเป็นผู้ประกอบการ ขณะที่ “ตัวเลข” ก็เป็นจุดที่ทำให้เห็นภาพจริงว่า “ความจริงของความเชื่อเป็นอย่างไร” จึงเป็นการดูควบคู่ทั้งสองทางมากกว่า
“ความเชื่อต้องมาพร้อมตัวเลข จิตวิญญาณของผู้ประกอบการก็สำคัญ แต่การกลับมาดูฐานข้อมูล เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้” วรษฐา ย้ำ
เพราะชาคือเครื่องดื่มพันปี สู่ความเชื่อขยาย ‘เจี้ยนชา’ สู่ 1,000 สาขาทั่วโลก
ทั้งนี้ ไม่นานมานี้ พอลลี่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าเธอมีแผนขยายสาขาเจี้ยนชาให้ครบ 1,000 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี ทั้งยังสานต่อความสำเร็จ ‘เจี้ยนชา’ ด้วยการแตกแบรนด์น้องใหม่อย่าง ‘OH’ POLLY’ ซึ่งเป็นชาใส-ชานมพรีเมียม โดยปักหมุดสาขาแรกที่สยามพารากอน และจะยึดโมเดลธุรกิจตามเจี้ยนชา และตั้งเป้าขยาย 1,000 สาขาทั่วโลกเช่นกัน
พอลลี่ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นในการตั้งเป้าขยายสาขาของเธอ มาจากความเชื่อในเครื่องดื่มประเภทชา เธอระบุว่า เจี้ยนชาไม่ใช่แบรนด์แรกที่จะทำ 1,000 สาขาใน 5 ปี ชาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดมาหลายพันปี ตั้งแต่ยุคสมัยก่อนที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ชาเดินทางไปทั่วโลก ทั้งยุโรป อินเดีย จีน เธอมองว่าชาคือวัฒนธรรม
“ดังนั้น การตัดสินใจขยายแบรนด์ไปประเทศใหม่ๆ ต้องมั่นใจว่าเจี้ยนชาจะแข็งแกร่งในด้านรสชาติ ภาพจำแบรนด์ ที่ยังไม่มีแบรนด์ไหนในประเทศเหล่านั้นเอาชนะได้ หากดูในรายละเอียด แต่ละประเทศมีสาขาอยู่ 100-200 สาขา มากสุด 300 สาขา ซึ่งยังไม่เยอะจนเกินไป” เธอย้ำ
ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Mizumi – เจี้ยนชา – นายอ้วนเย็นตาโฟ สะท้อนว่า “ความกล้า” และ “ความเชื่อ” ต้องเดินคู่กับข้อมูลจริง การทดลอง และการฟังเสียงลูกค้าเสมอ ทั้งสามแบรนด์ต่างใช้จุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย แต่เติบโตได้เพราะมองเห็นโอกาส ลงมือทำอย่างไม่ลังเล ปรับตัวตามยุคสมัย และสร้างคุณค่าที่ผู้บริโภครับรู้ได้จริง นี่คือพลังของผู้ประกอบการไทยที่พิสูจน์ว่า เมื่อเชื่อมั่นและทำอย่างต่อเนื่อง แบรนด์เล็กก็สามารถก้าวสู่ระดับประเทศและระดับโลกได้
ภาพ Adman Award
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘นาราไทย คูซีน’ สร้างตำนานใหม่ ติดปีก ‘ก๋วยเตี๋ยวเรือมิชลิน’ ขึ้นฟ้า เสิร์ฟบน ‘การบินไทย’ เส้นทางยุโรป-ออสเตรเลีย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


