‘JIPJIP MONEY’ สินเชื่อแบรนด์เนมที่แรกในโลก ลงทุนวันนี้ Win Sure - Forbes Thailand

‘JIPJIP MONEY’ สินเชื่อแบรนด์เนมที่แรกในโลก ลงทุนวันนี้ Win Sure

จากคำพูดของแจ็ค หม่า ที่ว่า “เมื่อคุณอายุ 40 ปี ให้มุ่งทำในสิ่งที่ถนัด” ช่วยพลิกมุมมองของ “เสาวนีย์ ผไทวณิชย์” หรือ จิ๊บ นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจมาแล้วมากกว่า 20 อย่างตั้งแต่เรียนจบ ให้หันกลับมาโฟกัสสิ่งที่ชอบและถนัดที่สุด คือสินค้าแบรนด์เนม โดยเปิดตัวบริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัด เพื่อทำธุรกิจสินเชื่อแบรนด์เนมที่แรกในประเทศไทย และที่เดียวในโลกภายใต้แบรนด์ ‘JIPJIP MONEY’ ที่ได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย และเป็นธุรกิจที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท


     เสาวนีย์ ผไทวณิชย์ เจ้าของ บริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัด ต้อนรับทีม Forbes Thailand ที่บริษัทย่านถนนแจ้งวัฒนะ ด้วยผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “Jip Jip สังขยา & นมสด” ซึ่งเป็นหนึ่งใน 20 ธุรกิจที่เธอได้พัฒนาขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นธุรกิจที่เติบโตและสร้างรายได้ในระยะยาว จากการขยายไปกว่า 10 สาขาในช่วงก่อนโควิด แต่พอเจอวิกฤตโควิดทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องลดขนาดลง 

    ระหว่างนั้นเธอได้ไปอ่านเจอคำพูดของแจ็ค หม่า ที่ว่า “เมื่อคุณอายุ 40 ปี ให้มุ่งทำในสิ่งที่ชอบและถนัดที่สุด” ทำให้เธอหันมามองตัวเอง และย้อนคิดถึงช่วงวัยเริ่มต้นทำงานที่ทำรายได้หลักล้านบาทจากการซื้อ-ขายกระเป๋าแบรนด์เนม เปิดจุดเริ่มต้นให้เกิดธุรกิจสินเชื่อแบรนด์เนม ภายใต้แบรนด์ ‘JIPJIP MONEY’

    “จิ๊บเคยขายสินค้าแบรนด์เนมมาตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ ด้วยความชอบตั้งแต่เด็ก ก็ซื้อมา ขายไป ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ทำเป็นอาชีพหลัก เพราะทำธุรกิจหลายอย่าง แต่การขายกระเป๋าแบรนด์เนมแม้จะทำเพราะความชอบ แต่สามารถสร้างรายได้เป็นหลักล้านบาท เพราะกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นสินค้าที่มีมูลค่า ที่สำคัญราคามีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลด กระเป๋าบางใบสร้างกำไรได้ 100% ขายทุกวัน มีเงินโอนเข้าทุกวัน” เสาวนีย์เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจจากธุรกิจกระเป๋าแบรนด์เนม

    ช่วงวัยเด็กของเสาวนีย์ ได้รับการปลูกฝังจากครอบครัวนักธุรกิจ การเลือกใช้สินค้า โดยเฉพาะกระเป๋า ต้องใช้ของดี มีแบรนด์ จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับคนใช้ กลายเป็นค่านิยมให้เสาวนีย์มักเลือกใช้ของแบรนด์เนมเป็นหลัก และสิ่งสำคัญสินค้าแบรนด์เนม ถ้าเลิกใช้สามารถขายต่อได้ โดยที่มูลค่าไม่ลดลงเหมือนสินค้าอื่นๆ ทำให้ปัจจุบันมีเม็ดเงินหมุนเวียนในธุรกิจสินค้าแบรนด์เนมไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทในประเทศไทย 

    และจากการที่เธออยู่ในแวดวงสินค้าแบรนด์เนมมาตลอดเห็นว่ามีความต้องการในตลาดนี้ค่อนข้างสูงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เธอจึงเริ่มธุรกิจด้วย “bagforcash” ในช่วงต้นปี 2566 ก่อนขยายเป็นธุรกิจสินเชื่อแบรนด์เนม ‘JIPJIP MONEY’ เดือนตุลาคม 2566


 

จากขายฝากสู่สินเชื่อแบรนด์เนม

    จากการที่อยู่ในแวดวงนี้มานาน เสาวนีย์ เห็นความต้องการของผู้ซื้อ ผู้ขาย ที่ต้องการฝากขายกระเป๋าแบรนด์เนมมาโดยตลอด ทั้งในลักษณะจำนำ หรือขายฝาก ซึ่งการรับจำนำอย่างถูกต้อง มีข้อจำกัดเรื่องการให้มูลค่าสูงสุดเพียง 1 แสนบาท ขณะที่กระเป๋าบางใบมีมูลค่ามากกว่านั้น ส่วนการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมา แล้วแต่ร้านตั้งราคา บางรายคิดดอกเบี้ยถึง 30% จึงมองเห็นช่องทาง และโอกาส อยากดำเนินการให้ถูกต้อง 

    เธอจึงเริ่มจัดตั้งบริษัท เงินเรื่องจิ๊บ จำกัดขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท เริ่มด้วยการทำธุรกิจ “bagforcash” ขายฝากแบรนด์เนม ในระหว่างรอใบอนุญาตดำเนินธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้กำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อได้รับใบอนุญาตเรียบร้อย จึงพร้อมเริ่มดำเนินธุรกิจสินเชื่อแบรนด์เนมภายใต้แบรนด์ ‘JIPJIP MONEY’ ในเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา

    “bagforcash” กระเป๋าแลกเงิน เป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์สาวกแบรนด์เนมที่ต้องการใช้เงินด่วน เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนกระเป๋าของคุณให้เป็นสภาพคล่อง” ถือเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทยที่ให้ดอกเบี้ยเรทดีที่สุด 1.25% ต่อเดือน รวดเร็วทันใจด้วยการประเมินผลรับเงินใน 45 นาทีจากทีมผู้เชี่ยวชาญและระบบ AI ที่ทันสมัยและแม่นยำ ให้ราคาสูง เป็นธรรม ไม่กดราคา พร้อมตู้นิรภัยมาตรฐานระดับโลก เก็บรักษากระเป๋าแบบ 1 ต่อ 1 หายห่วงเรื่องความปลอดภัย 

    ปัจจุบันให้ห้องนิรภัยของบริษัทฯ มีกระเป๋าแบรนด์เนมมาฝากที่ “bagforcash” ไม่ต่ำกว่า 1,000 ชิ้น ระดับราคาตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาท บางชิ้นเป็นของสะสม หายากที่ประเมินค่าไม่ได้

    ด้วยประสบการณ์ในแวดวงแบรนด์เนมเกือบ 20 ปี ทำให้ เสาวนีย์ สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นแบรนด์เนมของแท้หรือของปลอมเพียงแค่กวาดตา แต่ถึงกระนั้นก็มีผู้เชี่ยวชาญประจำคอยตรวจสอบสินค้า รวมทั้งมีระบบ AI ช่วยตรวจสอบอีกทางหนึ่ง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าได้สินค้าของแท้แน่นอน ซึ่งบริการของ JIPJIP MONEY จะช่วยคัดกรองสินค้าให้กับลูกค้าอีกทางหนึ่ง เพราะถ้าไม่ใช่ของแท้เราจะไม่ปล่อยสินเชื่อ ปัจจุบันบริษัทฯ มีคู่ค้ากว่า 30 รายให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ

    ตลาดแบรนด์เนมในประเทศไทยใหญ่มาก จิ๊บอยู่ในวงการนี้มานาน เห็นความต้องการซื้อ ขาย ขายฝากอยู่ตลอดเวลา แต่ที่ผ่านมา ด้วยความที่ไม่มีมาตรฐาน จึงถูกกดราคา ขณะที่ตลาดมีการหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว มองว่าหากทำให้ถูกต้องตลาดมีโอกาสเติบโตสูง 

    เธอจึงตั้ง “bagforcash” ขึ้นมาเพื่อรับขายฝากในอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด จากนั้นจึงขยายไป JIPJIP MONEY ขึ้น เพื่อให้บริการสินเชื่อ อำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์เนม เริ่มจากกระเป๋าก่อน และจะขยายกลุ่มสินค้า เช่น นาฬิกา และเครื่องเพชร เป็นต้น "เราเชื่อว่าเมื่อมีแฟร์เกม ลูกค้าได้รับการปกป้องอย่างถูกกฎหมาย ตลาดก็สามารถเติบโตได้” เสาวนีย์กล่าว

    แม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่สินเชื่อแบรนด์เนม JIPJIP MONEY ก็มีเข้ามาไม่ต่ำกว่า 50 เคส ยอดสินเชื่อเกือบ 10 ล้านบาท และจากการให้สินเชื่อ 3 รอบบิลที่ผ่านมา มียอดสินเชื่อที่เป็นหนี้เสีย หรือ NPL เป็นศูนย์ แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายของ JIPJIP MONEY จะเป็นคนวัยเริ่มต้นทำงาน รวมถึงผู้บริหารระดับต้น 

    แต่สิ่งที่พบแม้แต่คนรวยก็มาขอสินเชื่อ เพราะไม่อยากใช้เงินสด ด้วยอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน หรือไม่เกิน 15% ต่อปี และผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน ตามกฎธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นแรงจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายมาขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ เสาวนีย์ ตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 120 ล้านบาทต่อปี 

    นอกจากนี้ จะขยายธุรกิจสินเชื่อแบรนด์เนมไปสู่สินค้าลักชัวรีกลุ่มอื่น ๆ เช่น นาฬิกา เครื่องเพชร เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มยอดสินเชื่ออีก 40-50 ล้านบาทต่อเดือน อย่างไรก็ตาม บริษัทให้ความสำคัญในการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยปัจจุบันให้วงเงินสินเชื่อสูงสุด 2 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณาให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยอยู่ระหว่างการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อให้เกิดความมั่นใจ

    หลังจากเปิดให้บริการมาลูกค้าค่อนข้างแฮปปี้ เพราะกระเป๋าได้ดูแลจัดเก็บอย่างดี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้มีต้นทุนการเงินไม่สูง เราขอใช้เวลาประมวลผลธุรกิจอีก 3-6 เดือน เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนของเทรนด์และพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อให้มั่นใจในการทำธุรกิจมากขึ้น 

    "เรามีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อระดมทุนในการขยายธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มีบริษัทใหญ่ต้องการเข้ามาเป็นพันธมิตรกับเราหลายราย อยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินใจดำเนินธุรกิจร่วมกัน รวมถึงเข้ามาขอซื้อหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินทุน แต่มองว่าหากมีเงินทุนเพิ่มขึ้น ธุรกิจก็มีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ เป็นต้น” เสาวนีย์ระบุ


 

แบรนด์เนมสินค้าสภาพคล่องสูง

    จากการที่ครอบครัวปลูกฝังเรื่องการใช้สินค้าดี มีแบรนด์ ทำให้ เสาวนีย์ หลงใหลและชื่นชอบกระเป๋าแบรนด์เนมตั้งแต่เด็ก พอทำงานสิ่งแรกที่อยากซื้อ คือกระเป๋าแบรนด์เนม พอทำงาน หรือทำธุรกิจอื่น ๆ เมื่อได้เงินมา ก็จะซื้อกระเป๋าเป็นของสะสม ปัจจุบันมีมากกว่า 100 ใบ รวมมูลค่าหลายล้านบาท 

    เสาวนีย์ อยากให้คนเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสินค้าแบรนด์เนม เพราะสำหรับเธอแบรนด์เนมไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย แต่การซื้อแบรนด์เนมเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเรียกว่ามากกว่าทอง ไม่มีขาดทุน ที่สำคัญเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงมาก จากที่เธออยู่ในวงการนี้มาตลอดสินค้าแบรนด์เนมมีแต่ราคาขึ้นไม่มีลง และราคาจะปรับขึ้น 10-15% ต่อปี 

    ดังนั้น ถ้าเป็นผู้ซื้อ และใช้ด้วย ซื้อมาใช้ 5-7 ปี นำไปขายต่อไม่ขาดทุน แถมมีกำไร โดยเฉพาะรุ่นที่ตลาดนิยม สามารถขายต่อได้แน่นอน และหากต้องการใช้เงินกระเป๋าแบรนด์เนมสามารถขายและได้เงินทันที ไม่เหมือนสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ต้องมีขั้นตอนกว่าจะได้เงิน

    “จิ๊บอยากให้เปลี่ยนมุมมองใหม่ การใช้สินค้าแบรนด์เนม ไม่ใช่เรื่องของการฟุ่มเฟือย การใช้แบรนด์เนมช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้คนใช้ สร้างความน่าเชื่อถือ และถ้ามีกำลังซื้อ ซื้อแบรนด์เนมเป็นการลงทุน ที่ราคามีแต่จะขึ้น 

    ดังนั้นการที่คนรุ่นใหม่มีความต้องการซื้อแบรนด์เนมเงินผ่อนไม่แปลก เพราะถือเป็นการลงทุนที่ Win Sure เมื่อเทียบกับการลงทุนหุ้น หรือทองคำ เพราะให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นทุกปี ที่สำคัญ ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องดีที่สุด คุณขายวันนี้ ได้เงินเลย เทียบกับบ้าน ที่ดิน ต้องใช้เวลาดำเนินการกว่าจะได้เงิน” เสาวนีย์กล่าว

    สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจะลงทุนกับแบรนด์เนม เสาวนีย์มีข้อแนะนำว่าให้ซื้อแบรนด์หลัก ๆ อย่าง แอร์เมส ชาแนล หลุยส์ วิตตอง และ กุชชี่ 4 แบรนด์นี้ขายต่อได้กำไรแน่นอน และให้เลือกซื้อรุ่นยอดนิยม จะสามารถขายต่อได้ไม่ยาก หากอยากเริ่มต้นลงทุนด้วยการซื้อแบรนด์เนมมือสองก่อน ระดับราคาอยู่ที่หลักหมื่น และด้วยสินเชื่อของ JIPJIP MONEY จะทำให้คนเป็นเจ้าของแบรนด์เนมได้ง่ายขึ้น 

เสาวนีย์ เชื่อมั่นว่าจากนี้ไปค่านิยมของสินค้าแบรนด์เนมในความรับรู้ของคนรุ่นใหม่ ๆ จะเปลี่ยนไป พวกเขาจะเห็นคุณค่าของแบรนด์เนมมากขึ้น โดยเฉพาะการเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีมูลค่า และโอกาส “เจ๊ง” แทบไม่มี และด้วยระบบการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องของ JIPJIP MONEY ธุรกิจสินค้าแบรนด์เนมมีแต่จะ Win Sure



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : คนแรกของไทยและอาเซียน! "แบมแบม" ขึ้นแท่นเฮาส์แอมบาสเดอร์ Louis Vuitton คนล่าสุด

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine