"โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7" ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ Pet Parent รักสัตว์เลี้ยงดุจสมาชิกในครอบครัว - Forbes Thailand

"โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7" ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ Pet Parent รักสัตว์เลี้ยงดุจสมาชิกในครอบครัว

"โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7" ธุรกิจของกลุ่มคุณหมอเพื่อนร่วมรุ่นที่ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ Pet Parent รักษาสัตว์เลี้ยงดุจสมาชิกในครอบครัว พร้อมชูจุดแข็งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยแนวทางดังกล่าวหนุนรายได้ธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องจากสาขาแรกซ.อารีย์ ขยายเพิ่มสาขา 2 เจาะกลุ่มลูกค้าบางนา-ศรีนครินทร์


    ปัจจุบันไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่และกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอีกทั้งอัตราการตัดสินใจแต่งงานหรือมีบุตรลดน้อยลง ซึ่งในทางกลับกันกลุ่มคนเหล่านี้มักเลือกที่จะมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาโดยดูแลประคบประหงมอย่างดีดุจดั่งสมาชิกสำคัญในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น

    ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ไว้ว่า "มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยง" ในไทย จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 66,748 ล้านบาทในปี 2026 ขณะที่วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผยผลสำรวจล่าสุด ณ เดือนมกราคม ปี 2566 โดยระบุว่า ตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงในไทย เติบโตสวนกระแส Covid-19 เป็นอย่างมาก ซึ่งพบว่า 49% ของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มมักจะเลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) โดยมีค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยอยู่ที่ 14,200 บาทต่อตัวต่อปี และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลรักษาสัตว์อย่าง "โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7" ต้องขยายพื้นที่รองรับกลุ่มลูกค้าเพิ่มจากเดิมสาขาแรกตั้งอยู่ที่ซ.อารีย์ มายังสถานที่แบบ stand alone ในย่านบางนาโดยมีพื้นที่กว้างขวางขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 2 เท่า


จาก "บ้านไม้" ขยายมา "บ้านปูน" รองรับธุรกิจเติบโต

    จุดเริ่มต้นธุรกิจและที่มาของชื่อ "โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7" น.สพ.ธิติ ลือพงศ์ลัคณา Managing Director, สพ.ญ.ชนิดา ลือพงศ์ลัคณา Executive Director และ สพ.ญ. มนัสนันท์ ริปุญชัยพงศ์ Marketing Director ต่างช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวให้ทีมงาน Forbes Thailand ฟังว่า มาจากการรวมตัวของเหล่าสัตวแพทย์เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันในยุคแรกจำนวน 7 คน ที่ช่วยกันปลุกปั้นบ้านไม้สองชั้นในย่านซ.อารีย์ ให้กลายมาเป็นโรงพยาบาลรักษาสัตว์เลี้ยงเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนยุคใหม่สไตล์ Pet Parent มากยิ่งขึ้นโดยการเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 

    ด้วยรูปลักษณ์ของบ้านไม้สองชั้นที่เลือกตกแต่งได้อย่างสวยงาม น่ารัก อบอุ่น สร้างความรู้สึกอุ่นใจให้แก่เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่นำพาน้องหมาน้องแมวมารักษาอาการป่วย, Location สถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในย่านซ.อารีย์ แหล่งอาศัยหนาแน่นของกลุ่มคนเมืองและยังถือเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างโรงพยาบาลสัตว์เล็ก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลสัตว์ ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน ที่เอื้อต่อการรับเคสสัตว์ป่วยมาดูแลต่อ หรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาลดังกล่าวในกรณีที่อาการป่วยรุนแรงได้ และยังมีคุณหมอสัตวแพทย์คอยสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืนแตกต่างจากโรงพยาบาลอื่นในย่านเดียวกัน 


    ทั้งหมดนี้จึงถือเป็นจุดแข็งที่โดดเด่นชัดเจนตามคอนเซ็ปต์และสโลแกน "Your Little Family, Our Family" ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจนับตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อนได้กระแสตอบรับดีเกินคาด แล้ว 3 ปีหลังจากนั้นธุรกิจจึงได้มีการย้ายไปยังพื้นที่แห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 2 เท่าเพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าแต่ยังคงเลือกอยู่ใน location ย่านซ.อารีย์ตามเดิม

    "จุดเปลี่ยนของเราก่อนที่จะย้ายจากบ้านไม้มายังบ้านปูนซึ่งเป็นที่ตั้งของสาขาซ.อารีย์และถือเป็นสาขาแรกนั้น มาจากรายได้ของธุรกิจที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 30-40% ต่อปี เมื่อธุรกิจและฐานลูกค้าเริ่มขยายใหญ่ขึ้น เราจึงตัดสินใจย้ายมาสถานที่แห่งใหม่ในย่านทำเลเดิมแม้ว่าค่าเช่าที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า แต่ด้วยพื้นที่ที่ขยายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า และสามารถเพิ่มจำนวนห้องตรวจวินิจฉัยโรคจากเดิมที่มีอยู่ 2 ห้อง ให้กลายมาเป็น 4 ห้อง รองรับลูกค้าได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า ก็ถือว่าเราตัดสินใจเดินหน้าธุรกิจมาได้อย่างถูกต้อง" สพ.ญ.ชนิดา ลือพงศ์ลัคณา Executive Director กล่าว


ขยายสาขา 2 ทำเล "ย่านบางนา" ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

    เมื่อธุรกิจดำเนินมาได้ด้วยดีอย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปี...พอก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 ทีมหุ้นส่วนของโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้ ก็เริ่มมองหาโอกาสของการขยายธุรกิจให้เติบโตเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทางทีมงานจึงได้มีการค้นคว้าหาข้อมูลว่านอกจาก Location ในย่านซ.อารีย์ที่มีกลุ่มคนเมืองอาศัยอยู่หนาแน่นทั้งแบบคอนโดและเรสซิเดนซ์แล้ว ย่านไหนอีกที่น่าจะเป็นทำเลดีเหมาะแก่การขยายสาขาแห่งที่สอง

    พื้นที่ย่านบางนาและศรีนครินทร์คือทำเลที่ตอบโจทย์และเหมาะสมมากที่สุด เพราะสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดที่เดินทางขับรถขึ้น-ลงทางด่วนได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งทำเลที่ตั้งก็ยังติดกับรถไฟฟ้าเดินทางไปมาง่าย นอกจากนี้ในพื้นที่ย่านดังกล่าวยังมีหมู่บ้านและคอนโดที่ผู้อยู่อาศัยนิยมเลี้ยงหมาและแมวรวมถึงสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กอีกเป็นจำนวนมาก


จากซ้าย : สพ.ญ.ชนิดา, น.สพ.ธิติ และ สพ.ญ. มนัสนันท์

    สาขาใหม่ ใหญ่กว่าเดิม...การลงทุนในสาขา 2 ย่านบางนาแห่งนี้ต้องใช้เงินมากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัวแม้ว่าการเช่าพื้นที่เปล่าจะต้องใช้เงินลงทุนก่อสร้างและตกแต่งสถานที่เป็นจำนวนมากแต่ทว่าพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ สามารถจอดรถเพื่อรองรับลูกค้าได้หลายคัน ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งหลังจากสาขาใหม่แห่งที่ 2 เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการไปในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็ได้ผลตอบรับดีเกินคาด เพราะนอกจากจะมีฐานลูกค้าเก่าตามมาใช้บริการที่สาขานี้เพราะใกล้บ้านแล้วก็ยังมีกลุ่มลูกค้าใหม่ทยอยเลือกเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางทีมงานผู้บริหารโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้ยังบอกด้วยความมั่นใจด้วยว่า รายได้ของสาขานี้ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100% ได้อย่างแน่นอน

    สำหรับแนวทางสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มลูกค้าในย่านบางนาซึ่งเป็นสาขาใหม่นั้น สพ.ญ. มนัสนันท์ ริปุญชัยพงศ์ Marketing Director บอกว่า ที่ผ่านมาธุรกิจจะเน้นทำการตลาดผ่านออนไลน์เป็นหลักด้วยการยิงโฆษณาสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มลูกค้ากลุ่มเป้าหมายผ่านทาง Facebook รวมถึงจัดทำโปรโมชั่นต่างๆ ผ่านทางออนไลน์ และการทำข่าวประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มลูกค้ารู้จักโรงพยาบาลแห่งนี้มากขึ้น

    "ลูกค้าของเราจะเชื่อมั่นในการบริการเพราะมีหมอผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยโรคและหมอรักษาโรคเฉพาะด้านที่เก่งๆ อยู่หลายท่าน นอกเหนือจากบุคลากรทางการแพทย์ที่คอยสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 2 สาขาแล้ว เรายังมีอุปกรณ์ตรวจรักษาที่ทันสมัย ไว้คอยบริการสัตว์เลี้ยงต่างๆ คุณหมอและพนักงานของเรายังเน้นการให้บริการสัตว์เลี้ยงต่างๆ เสมือนสมาชิกในครอบครัว ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการนี้ประทับใจจนเลือกใช้วิธีแนะนำบอกต่อให้ลูกค้าท่านอื่นมาใช้บริการต่อเนื่อง" สพ.ญ. มนัสนันท์ กล่าว

    ทั้งนี้ ระหว่างที่พูดคุยกับผู้บริหารของโรงพยาบาล ทีมงาน Forbes Thailand ยังได้เยี่ยมชมสัมผัสบรรยากาศภายในพื้นที่สาขา 2 แห่งนี้ไปด้วย โดยคอนเซ็ปต์ดีไซน์การตกแต่งนั้นก็ยังคงไว้ในรูปแบบเดิมนั่นก็คือ "Your Little Family, Our Family" ที่มีการเลือกใช้โทนสีเขียว-ขาวสบายตาตัดกับโทนสีไม้ที่ให้ความรู้สึกน่ารักอบอุ่นประหนึ่งนั่งอยู่ในโรงเรียนอนุบาลเพื่อรอรับลูกน้อยซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักอย่างน้องหมา น้องแมว รวมถึงสัตว์อื่นๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการได้อย่างแท้จริงเพราะมีการแยกโซนประตูทางเข้าระหว่างสุนัขหรือน้องหมา และน้องแมวรวมถึงสัตว์เลี้ยง Exotic เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายของสัตว์แต่ละชนิดที่มีพฤติกรรมการแสดงออกที่แตกต่างกัน 

    ซึ่งในอนาคตนั้น "โรงพยาบาลสัตว์พญาไท 7" สาขาบางนาแห่งนี้ ยังเตรียมพร้อมที่จะเปิดให้บริการห้องพักสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีอาการป่วยหนักโดยเจ้าของสัตว์สามารถนอนพักเฝ้าดูแลอาการได้ด้วยเพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นและยังถือเป็น Customer Experience สร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าด้วยบริการที่แตกต่างไปจากเดิม


"ทัศนคติ และ บุคลากร" คือหัวใจสำคัญงานบริการ

    จากอดีตที่เริ่มต้นธุรกิจโดยมีหมอรวมถึงพนักงานให้บริการไม่ถึง 10 คน จวบจนปัจจุบันโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้ขยายการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 2 สาขา มีสัตวแพทย์ซึ่งเป็นหมอประจำรวมถึงหมอรักษาโรคเฉพาะทาง 20 คน และพนักงานอีก 40 คน น.สพ.ธิติ ลือพงศ์ลัคณา ในฐานะ Managing Director บอกว่า ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง Mindset หรือ "ทัศนคติ" ของบุคลากรในองค์กรมากๆ นับตั้งแต่การสัมภาษณ์ตัวบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้ามาทำงานเพราะโรงพยาบาลสัตว์จะเน้นเรื่องการให้บริการที่ดีแก่ลูกค้ารวมถึงสัตว์เลี้ยงที่ป่วยมาเป็นหลัก ซึ่งการทำงานให้เข้ากันได้กับเพื่อนร่วมงานหรือความเป็น teamwork ในองค์กรก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ 

    "การดูแลใส่ใจเสมือนสมาชิกในครอบครัวถือเป็นทัศนคติที่ดีในการทำงานของคุณหมอรวมถึงพนักงานที่นี่แบบส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่น ส่วนการบริหารบุคลากรอย่างพนักงาน Gen Z หรือคนรุ่นใหม่นั้นก็ต้องมีการปรับการทำงานให้เหมาะสมทั้งสองฝ่ายด้วยเช่นกัน" ซึ่งในส่วนของการดำเนินธุรกิจร่วมกับเพื่อนฝูงหรือคนสนิทจะมีวิธีการอย่างไรที่ทำให้เกิดความขัดแย้งน้อยที่สุดนั้น 

    น.สพ.ธิติ ยังให้ความเห็นว่า "เราจะมีการแบ่งแยก Leader ในฐานะผู้นำซึ่งมีอำนาจตัดสินใจเป็นหลัก และ partner ในฐานะหุ้นส่วนผู้ร่วมงานไว้อย่างชัดเจน เมื่อถึงเวลาตัดสินใจสิ่งสำคัญในการดำเินธุรกิจ เหล่าบรรดา partner ก็จะมีส่วนในการแสดงความเห็นต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย แต่ท้ายที่สุดก็จะเคารพการตัดสินใจของผู้ที่เป็น leader ซึ่งตัวผมเองก็จะต้องคิดให้รอบคอบก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงอะไรภายในองค์กรสักครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิดผลกระทบในแต่ละฝ่ายขององค์กรน้อยที่สุด"



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : “แสนสิริ” 9 เดือน กำไร 4,760 ล้าน สูงสุดในรอบ 39 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine