บลจ.อีสท์สปริง มองครึ่งปีหลัง 68 ตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวนมากขึ้นจากประเด็นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งผลการเจรจาจะส่งผลต่อดัชนีหุ้นไทย ในกรณีฐานหากไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่ 20% คาดว่าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,040-1,200 จุด แต่หากเจอภาษีฯ 36% ดัชนีอาจร่วงไปถึง 940-1,040 จุด ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจึงแนะนำกระจายการลงทุนทั่วโลกและเอเชียใน 5 ธีมหลัก
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า ตลาดการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ยังมีความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ แม้บางประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาได้ แต่ภาพรวมของอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศคู่ค้า อาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า แม้การเจรจาการค้าจะยังต้องใช้เวลาและมีความซับซ้อน แต่อีสท์สปริงมองว่า เป็นจังหวะที่ควรกระจายการลงทุนมาในเอเชียและตลาดเกิดใหม่

นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า แม้จะประเมินว่าประเด็นสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น อาจมีผลต่อประเทศไทยในช่วงสั้น แต่ยังมองสมมติฐานผลกระทบต่างๆ ไว้ 3 กรณี ได้แก่
- กรณีดี ถ้าไทยถูกเรียกเก็บภาษีน้อยกว่า 20% และมีมาตรการกระตุ้นที่ชัดเจน เศรษฐกิจฟื้นตัว และเริ่มเห็นกระแสเงินทุนไหล (Fund Flow) ไหลกลับเข้ามา คาดว่าสิ้นปี 68 ดัชนีหุ้นไทยหรือ SET Index จะอยู่ที่ 1,200 - 1,250 จุด
- กรณีฐาน ถ้าไทยถูกเรียกเก็บภาษีระดับ 20% เท่ากับเวียดนาม ภายใต้บริบทเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวได้ 1.5 - 2% การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐส่งผ่านได้รวดเร็ว แต่ยังเห็น Fund Flow ไหลออก คาดว่าสิ้นปี 68 SET Index จะอยู่ที่ 1,040 - 1,200 จุด
- กรณีเลวร้าย ถ้าไทยถูกเรียกเก็บภาษีระดับ 36% จะส่งผลให้ความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวต่ำกว่า 1.5% และต่างชาติเทขายต่อเนื่อง ประเมินว่าสิ้นปี 68 SET Index จะอยู่ที่ 940 - 1,040 จุด

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างไทย - สหรัฐฯ หากไทยจะถูกเก็บภาษีฯ ที่ 18-23% แม้ผู้ผลิตในภาคการส่งออกจะเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เชื่อว่ายังเป็นระดับที่ “สู้ไหว” และต้องติดตามผลกระทบในรายเซคเตอร์ ขณะที่มองว่าระดับภาษีฯ ที่ต่ำกว่า 18% ซึ่งช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันได้มากขึ้น แต่ระหว่างการเจรจานี้ยังต้องติดตามว่าภาครัฐจะมีนโยบายการช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างไร รวมถึงการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า หากดีลการเจรจาการค้าจบยังมีโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นต่อ แต่อาจไม่สูงนักเพราะมีปัจจัยลบค่อนข้างมาก เช่น ภาพเศรษฐกิจไทยที่โตช้ากว่าคาด และเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ดังนั้นกลุ่มที่ยังเข้าไปลงทุนได้ คือ หุ้น Defensive เช่น โรงพยาบาล สื่อสาร หรือกลุ่มธนาคารที่ยังปรับตัวลดลงน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่น

ในภาพรวมครึ่งปีหลัง 2568 นี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงซึ่งทั้งปีจะขยายตัวเพียง 1.4% แต่ยังมีหุ้นกลุ่ม Tech และกลุ่มอื่นๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนจีนคาดว่าปี 68 นี้เศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้ราว 4.5% โดยราคาหุ้นยังอยู่ในระดับน่าสนใจ ส่วนอินเดียถือว่าการเติบโตยังสูงกว่าประเทศอื่นๆ คาดว่าปี 68 เศรษฐกิจจะขยายตัว 6.4% ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะเติบโตที่ 1.8%
ดังนั้น คำแนะนำการลงทุน ยังเน้นการกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งระยะนี้ยังไม่ควรซื้อในลักษณะ Index แต่ควรคัดเลือกลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตมากกว่า นอกจากนี้ยังแนะนำกรอบการลงทุน 5 ธีมหลัก เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมมหภาคที่เปราะบาง ได้แก่
1. D = Diversify Globally : กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Core (ES-GCORE) กองทุนหลักเน้นการกระจายความเสี่ยงทั่วโลก โดยลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงจากตลาดพัฒนาแล้ว
2. R = Resilient US Leaders : กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) กองทุนหลักเน้นลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน
3. I = Income from Innovation : กองทุนเปิดอีสท์สปริง Nasdaq Equity Premium Income (ES-NDQPIN) ที่ใช้กลยุทธ์ Covered Call ซึ่งเป็นการขายออปชั่นบนหุ้น NASDAQ-100 เพื่อสร้างกระแสรายได้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมรักษาการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี
4. V = Value from Asia : กองทุนเปิดอีสท์สปริง Asian Low Volatility Equity (ES-ALOVE) ) ซึ่งคัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีความผันผวนต่ำจากทั่วเอเชีย
5. E = Enhanced Bond Income : กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME) ซึ่งลงทุนเชิงรุกในพันธบัตรหลากหลายประเภททั่วโลก และหลายประเภทตราสารเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างรายได้และกระจายความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ภาพ: บลจ.อีสท์สปริง
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : แบงก์กรุงศรี ครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิอยู่ที่ 15,830 ล้าน ยังโตที่ 0.5%YoY
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine