ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 เหลือโตร้อยละ 3.8 (กรณีมีโครงการดิจิทัล วอลเล็ต) และร้อยละ 3 ในปี 2568 จะเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย หากไม่แก้ไขจะโตลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทิศทางการลงทุน มองไปข้างหน้า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังมีความน่ากังวลอยู่มาก
การปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 – 2568 แม้มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นมาในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 แต่ยังต้องระมัดระวังจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน
ซึ่งสัญญาณเริ่มเห็นตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2566 ที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่ำกว่าที่คาด ทำให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับลดจีดีพีในปี 2566 เหลือเติบโตร้อยละ 2.5 จากเดิมคาดว่าจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 3
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ ประเมินว่า ปี 2567 หากมีโครงการดิจิทัล วอลเล็ต จะทำให้จีดีพีขยายตัวที่ร้อยละ 3.8 ซึ่งเดิมในการประชุมครั้งที่แล้วคาดการณ์ว่าจีดีพีจะขยายตัวถึงร้อยละ 4.4
สาเหตุที่ปรับลดลง เพราะมองว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ตจะถูกเลื่อนระยะเวลาและรูปแบบในการแจกเงิน ขณะที่หากไม่มีโครงการดิจิทัล วอลเล็ต เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 3.2 และร้อยละ 3 ในปี 2568
สิ่งที่ กนง.กังวล คือแม้เศรษฐกิจจะอยู่ในทิศทางการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงโควิด-19 แต่มีปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบโดยเฉพาะท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ
ตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ราว 500,000 คน โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักยังไม่กลับมา ทำให้รายได้ท่องเที่ยวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่ส่งออกแม้คาดว่าแนวโน้มจะดีขึ้น แต่ด้วยสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อุตสาหกรรมไทยยังไม่ปรับตัว อาจทำให้การส่งออกของไทยได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังเสี่ยง
สอดคล้องกับ ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย ในปี 2567 มี 4 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้
1.ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2567 จะอยู่ในภาวะที่แต่ละประเทศชะลอตัวไม่เหมือนกัน (Uneven slowdown) จากภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้นต่อเนื่องและค้างไว้เป็นเวลานาน (Higher for longer) ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ไปจนถึงช่วงกลางปี 2567 เป็นอย่างน้อย
โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จะมาจากการชะลอตัวของภาคการส่งออก และภาคธุรกิจที่อ่อนไหวสูงต่ออัตราดอกเบี้ย ได้แก่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคก่อสร้าง โดยประเทศที่ยังมีตลาดแรงงานและค่าจ้างเติบโต จะมีกำลังซื้อในประเทศ ช่วยทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังชะลอตัวแบบจัดการได้ (soft landing) เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/HpRDbhLQN3XaFyFZ7zXF.jpg)
ส่วนประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมาก และมีปัจจัยถ่วงเฉพาะตัว เช่น การฟื้นตัวช้าของภาคอสังหาริมทรัพย์ มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวค่อนข้างมาก เช่น จีน และ เวียดนาม
2.ดอกเบี้ยแม้จะสูงนาน แต่ตลาดก็มีความคาดหวังจะเห็นการลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง (market expectation on policy rate cuts) จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ โดยในส่วนของ SCB CIO มีมุมมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3/2567
ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น คาดว่า จะปรับมาตรการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control : YCC) ให้เข้มงวดขี้น ในช่วงเดือน เม.ย. 2567 แล้วจึงจะยกเลิกทั้งมาตรการ YCC และนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (NIRP) ในเดือน ต.ค.2567
ส่วนธนาคารกลางกลุ่มประเทศ Emerging markets ส่วนใหญ่ เช่น จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และ อินเดีย มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย ในปี 2567 แต่ในส่วนของนโยบายการคลังนั้น หากประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงอยู่แล้วมีแนวโน้มจะทำมาตรการการคลังขนาดใหญ่ ก็จะทำให้ตลาดมีความกังวล และส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น และค่าเงินอ่อนค่าลง
3.ความเสี่ยงที่นักลงทุนควรติดตาม ได้แก่ ความเสี่ยงด้าน Stagflation คือเศรษฐกิจโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง โดย SCB CIO ประเมินว่ากลุ่มประเทศในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้สูงกว่าภูมิภาคอื่น
ในขณะที่ภาคธุรกิจที่มีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะต้องกู้ยืมใหม่ (rollover) ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield to Worst) ของกลุ่มหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ในสหรัฐฯ ที่ล่าสุดอยู่ในระดับ 8.6% (เทียบกับ 5.1% ในช่วงต้นปี 2563) หรือกรณี yield หุ้นกู้ไทย rating BBB อายุ 5 ปี ที่ล่าสุดอยู่ที่ 5.6% (เทียบกับ 4.2% ในช่วงต้นปี 2563)
4.ความไม่แน่นอนด้านการเมืองและนโยบาย จากการเลือกตั้งในหลายประเทศเศรษฐกิจหลัก เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา เพราะอาจนำมาสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบาย รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ได้
โดยในปี 2567 จะมีการเลือกตั้งในไต้หวันในวันที่ 13 ม.ค. อินโดนีเซีย ในวันที่ 14 ก.พ. อินเดีย ในช่วง เม.ย.-พ.ค.และ สหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. เป็นต้น ซึ่งในช่วงการหาเสียงและประกาศนโยบาย อาจมีผลทำให้ตลาดการลงทุนเกิดความผันผวน จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศได้
“เราคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว (interest rates peaked) ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมากระจุกตัวอยู่ในเงินฝาก และตลาดเงิน (money markets) ค่อนข้างมาก ฉะนั้น ในปี 2567 นี้ จึงคาดว่า นักลงทุนจะมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมีมากขึ้น (increasing risk appetite)
“อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงแม้เริ่มลดลงมาบ้าง รวมถึงหนี้สินในบางภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง นักลงทุนควรเน้นคัดเลือกลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง” ดร.กำพลกล่าว
ตลาดหุ้นไทยเผชิญความเสี่ยงต่อ
ด้านมุมมองของ Henny Sender ผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการของ Apsara Advisory ซึ่งเป็นที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์สำหรับบริษัทที่ให้บริการทางการเงิน ก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทการลงทุน BlackRock มองว่า ตลาดหุ้น Nasdaq ได้ดึงเม็ดเงินลงทุนจากตลาดหุ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อตลาดจีนและตลาดเกิดใหม่ ทำให้ดัชนีหุ้นประเทศต่างๆ ต่ำกว่าปีที่แล้ว เช่น ไทยลดลงร้อยละ 12.1 ฟิลิปปินส์ลดลงร้อยละ 4.6 ในขณะที่มาเลเซียลดลงร้อยละ 2.3 และเธอยังมองว่าด้วยว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและสถานการณ์ในประเทศเหล่านี้จะไม่พลิกฟื้นกลับมาในเร็ววัน
นอกจากนี้ จีน ซึ่งเป็นที่พึ่งพิงของตลาดเกิดใหม่ยังให้การสนับสนุนน้อยลงกว่าเมื่อก่อน หลังจากวิกฤตโควิดเป็นต้นมา เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่ต้องดึงเงินกลับประเทศเพื่อสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงปัญหาภูมิศาสตร์ทำให้แนวโน้มเหล่านี้รุนแรงขึ้น ซึ่งในปัจจุบันทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนต่างให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่าการเติบโต ซึ่งส่งผลให้แต่ละประเทศต้องปรับรูปแบบและฟื้นฟูห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง
“และแม้ว่าสหรัฐฯจะมีแนวโน้มยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ย และทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง แต่เงินไม่น่าจะไหลกลับมาที่ตลาดเกิดใหม่อย่างรวดเร็ว” Henny Sender ระบุ
สำหรับแนวโน้มการลงทุนสัปดาห์นี้ (4-8 ธ.ค.) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดัชนีหุ้นไทยยังมีแรงกดดันต่อเนื่อง หลังสัปดาห์ที่แล้วยังคงร่วงต่อหลัง กนง.ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ขณะที่มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มท่าอากาศยาน และแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงกดดันหุ้นในสัปดาห์นี้เช่นเดียวกัน
โดยสัปดาห์นี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,375 และ 1,360 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,410 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ย. ของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เทรนด์ลงทุนเพื่อความยั่งยืนโต ESG Bond ในไทยมูลค่าคงค้าง 6.9 แสนล้าน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine